บทที่ 279 สงครามน้ำลาย 2

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 279 สงครามน้ำลาย 2

“สิ่งที่ท่านต้องทำคือทำให้หมู่บ้านสงบสุข ปลอดภัย สนับสนุนผู้อาวุโส และช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยความรังเกียจอย่างสุดซึ้ง “อย่างไรก็ตาม ในหมู่บ้านของเรามีผู้อาวุโสหม้ายที่ไม่มีลูกหลานและมีเด็กหลายคนที่โดดเดี่ยว แต่ทุกคนตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครคิดว่าจะดูแลคนชราและเด็กในหมู่บ้านให้ดีได้อย่างไร แต่ก็มีคนอีกมากที่นำไปพูดลับหลัง นี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ได้ หัวหน้าหมู่บ้านบ้านเหลียง ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าต้องการให้ท่านจัดการผู้ที่พูดจาลับหลังเหล่านั้นเพื่อให้พวกเขารู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านของเราเป็นคนเที่ยงตรงและยุติธรรม เป็นผู้ที่รักชาวบ้านและเป็นหัวหน้าที่ดีของหมู่บ้านอู๋ซีของเรา!”

เดิมทีกู้เสี่ยวหวานวางแผนที่จะตำหนิหัวหน้าหมู่บ้านเหลียง แต่เมื่อคำพูดมาถึงปากของนางมันก็เปลี่ยนไป หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาครึ่งค่อนชีวิตความสัมพันธ์และทรัพยากรของเขาในหมู่บ้านไม่สามารถสั่นคลอนด้วยคำพูดของกู้เสี่ยวหวานเพียงสองสามประโยคได้ ถ้านางทำให้หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงขุ่นเคือง เวลานั้นนางจะต้องทนทุกข์ทรมาน

นางไม่กลัวหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงก็จริง แต่นางยังต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตนเอง นางไม่สามารถรุกรานคนเหล่านี้ได้ ในอนาคตถ้ากู้หนิงอันต้องการจะประกอบอาชีพเป็นขุนนาง นางจึงไม่สามารถทำให้แซ่เหลียงผู้นี้ขุ่นเคืองได้

นางจึงเปลี่ยนคำพูด และสิ่งที่นางกำลังจะติเตียนหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงกลับกลายเป็นคำชมแทน

เมื่อคนรอบข้างที่ได้ยิน ต่างหันซ้ายหันขวา พยักหน้าหงึกหงัก และเมื่อมองดูหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงอีกครั้ง ผู้อาวุโสที่ดูมีอายุมากที่สุดก็กล่าวขึ้นว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน สิ่งที่สาวน้อยกู้กล่าวนั้นไม่ผิด เรื่องในตอนนั้นมีเพียงกุ้ยซื่อผู้เดียวที่เห็นมัน แต่กุ้ยซื่อผู้นี้เป็นคนอย่างไร ข้าเชื่อว่าทุกคนเคยได้ยินเรื่องนี้กันมาแล้วไม่ใช่หรือ?” เมื่อชายชรากล่าว เขาก็เหล่มองกุ้ยซื่อ และใบหน้าของนางแดงก่ำ กุ้ยซื่ออยากจะด่าแม่ของชายชราแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อถึงเวลานั้น ผู้คนในหมู่บ้านคงจะต่อต้านนางจนตาย

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว พวกเราไม่สามารถทำลายชื่อเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ด้วยคำพูดเพียงด้านเดียว!”

“ใช่แล้ว หัวหน้าหมู่บ้าน เราทุกคนต่างสับสนกันมาก และเมื่อได้ยินคำอธิบายของสาวน้อยผู้นี้ นี่เป็นการเสียเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเราไปโดยเปล่าประโยชน์”

“ทุกคน…” หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือละอาย “เหลียงผู้นี้ต้องขออภัย…”

หัวหน้าหมู่บ้านเหลียงตะโกนบอกกุ้ยซื่อว่า “กุ้ยซื่อ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะการนินทาของเจ้า และทำให้ชื่อเสียงหมู่บ้านอู๋ซีของข้าเสียหาย วันนี้ข้าจะเตือนเจ้า ถ้าเจ้ายังคงป้ายสีนินทาผู้อื่นเช่นนี้อีกก็ออกไปจากหมู่บ้านอู๋ซีเสีย”

คำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงเป็นเหมือนมีดที่กรีดในใจของกุ้ยซื่อ แต่นางไม่กล้าไม่เชื่อฟัง

กุ้ยซื่อรู้สึกผิดเล็กน้อย เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นเพียงการคิดเองเออเองของนาง เมื่อลืมตาขึ้นมานางก็ทำได้เพียงกล่าวเรื่องไร้สาระ และในตอนนี้ถูกกู้เสี่ยวหวานโจมตีและยังถูกหัวหน้าหมู่บ้านตักเตือน ในใจของกุ้ยซื่อทั้งกังวลทั้งโกรธเคือง นางอยากก้าวไปข้างหน้าเพื่อฉีกปากของกู้เสี่ยวหวานให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย

กุ้ยซื่อจ้องมองที่กู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธเคือง แต่กู้เสี่ยวหวานก็จ้องมองกลับอย่างไม่เกรงใจ นั่นทำให้กุ้ยซื่อตัวสั่นแล้วหดตัวกลับ และรีบตอบตกลง “ข้ารู้แล้ว หัวหน้าหมู่บ้านเหลียง ในอนาคตข้าจะไม่ทำอีก”

น่าขันยิ่งนัก ถ้าหัวหน้าหมู่บ้านไล่นางออกจากหมู่บ้านอู๋ซีไปจริง ๆ นางจะกล้าไม่ยอมรับหรือ?

เมื่อกุ้ยซื่อถูกสั่งสอน นางจึงต้องการจากไป แต่กู้เสี่ยวหวานจะปล่อยนางไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร

“ช้าก่อน…” กู้เสี่ยวหวานตะโกนเสียงดัง เมื่อเห็นกุ้ยซื่อหยุดเดิน กู้เสี่ยวหวานก็กล่าวกับผู้อาวุโสทั้งหลายว่า “ทุกท่าน โปรดเป็นพยานให้ข้าด้วย กุ้ยซื่อใส่ร้ายและทำลายชื่อเสียงของข้า ข้าควรจะเรียกร้องความยุติธรรมหรือไม่?”

ทุกคนพยักหน้า “ควรเรียกร้อง”

ชายชราที่อายุมากที่สุดกล่าวเสียงดัง “กุ้ยซื่อ เรื่องสกปรกที่เจ้าทำวันนี้ต้องได้รับการแก้ไข ยังไม่รีบไปขอโทษกู้เสี่ยวหวานอีกอย่างนั้นหรือ”

กุ้ยซื่อหันหลังกลับมาแต่ไม่ก้าวไปข้างหน้า เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นนางเช่นนั้นก็รู้ดีว่า ถ้าวันนี้เขาไม่เอ่ยปากก็คงไม่ได้ จึงกล่าวว่า “กุ้ยซื่อ เจ้ายังไม่รีบไปขอโทษอีกหรือ”

เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงจ้องมองตนเองอย่างดุเดือด กุ้ยซื่อก็รู้ว่า ถ้าวันนี้นางไม่ขอโทษ เกรงว่ากู้เสี่ยวหวานคงจะพูดอะไรเพื่อให้นางดูน่าเกลียดอีกเป็นแน่ กุ้ยซื่อหมดหนทางจึงทำได้แค่ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว และกล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “ข้าขอโทษ” เสียงนั้นเบาราวกับเสียงของยุง กู้เสี่ยวหวานเลิกคิ้วและยิ้ม “ท่านพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน!”

กุ้ยซื่อทำได้เพียงกล่าวออกมาดัง ๆ อีกครั้ง “ข้าขอโทษ!”

เสียงนี้ดังพอที่ทุกคนในที่นั้นได้ยิน กู้เสี่ยวหวานจึงยอมปล่อยนางไป “ข้าเชื่อว่าทุกคนคงได้ยินแล้ว กุ้ยซื่อใส่ร้ายความไร้เดียงสาของข้าและก็ขอโทษข้าแล้ว ทุกคนในที่นี้รับรู้ แต่ชาวบ้านคนอื่นไม่รู้”

“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?” กุ้ยซื่อกล่าวอย่างโกรธจัด

“มันง่ายมาก ท่านก็เดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านสามรอบแล้วตะโกนว่า ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรใส่ร้ากู้เสี่ยวหวาน”

“เจ้าฝันไปเถอะ!” กุ้ยซื่อตะโกนเสียงดังโดยไม่ได้คิดอะไร การที่กู้เสี่ยวหวานขอให้นางเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านสามรอบ มันแตกต่างอะไรจากการลงโทษ และยังต้องตะโกนว่าตนเองผิดอีก กุ้ยซื่อผู้นี้จะไม่ทำอย่างนั้นแน่

“อย่างนั้นหรือ?” กู้เสี่ยวหวานยิ้มเยาะ “ใส่ร้ายผู้อื่นแล้วมาขอโทษง่าย ๆ เช่นนี้ก็จบแล้วหรือ? สิ่งที่ท่านใส่ร้ายข้าคือความไร้เดียงสาของผู้หญิง ถ้าข้าอ่อนแอกว่านี้เล็กน้อยและไม่กล้าต่อปากต่อคำ วันนี้ข้าคงต้องถูกลงโทษเพราะเรื่องที่ท่านใส่ร้ายว่าข้านัดพบกับคนรักไม่ใช่หรือ?”

คำพูดของกู้เสี่ยวหวานเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดแทงใจของกุ้ยซื่อ “ถ้าข้าไม่มีความกล้ามากเท่านี้ วันนี้ที่ข้าโดนใส่ร้าย เกรงว่าพรุ่งนี้ข้าคงจะกระโดดลงไปในแม่น้ำเสียแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กุ้ยซื่อผู้นี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง เอาความไร้เดียงสาของหญิงสาวมาพูดเป็นเรื่องตลกเพื่อใส่ร้ายนาง ถ้าในครั้งนี้นางทำสำเร็จจริง ๆ เกรงว่ากู้เสี่ยวหวานคนก่อนคงจะตายอีกครั้ง

“เจ้า…เจ้าพูดอะไร…ร้ายแรงเช่นนั้น…” กุ้ยซื่อที่ได้ยินแล้วก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ไม่ใช่หรือ?” กู้เสี่ยวหวานพ่นลมอย่างเย็นชา “ในเมื่อท่านไม่เห็นว่าความไร้เดียงสาของหญิงสาวมีความสำคัญก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าเห็นกับตาว่ากุ้ยชุนเจียวมาซักเสื้อผ้าที่ริมแม่น้ำและหยอกเย้าอยู่กับเด็กหนุ่ม! เฮ้อ ข้าไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นมาจากไหน และไม่เคยเห็นในหมู่บ้านของเรามาก่อนด้วย?”

ผู้อาวุโสโดยรอบมองไปมาระหว่างกู้เสี่ยวหวานและกุ้ยซื่อ และจ้องไปที่กุ้ยซื่ออีกครั้งเพื่อรอคำตอบ

เมื่อกุ้ยซื่อเห็นแววตาสงสัยของทุกคนก็รู้สึกกระสับกระส่าย จากนั้นก็วิ่งไปข้างหน้าเพื่อจะฉีกปากของกู้เสี่ยวหวานอย่างบ้าคลั่ง ยังดีที่มีผู้คนรอบข้างห้ามเอาไว้ เมื่อไปข้างหน้าไม่ได้ นางจึงทำได้แค่ก่นด่า “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าอย่ามาใส่ร้ายผู้อื่น”