บทที่ 303 ผนึกปฐพี
หมายเลข 1 …นั่นน่าจะหมายถึงว่ามันเป็นหัวหน้าของอีก 11 ตัวที่เหลือ ดังนั้นมันจึงรับมือยากกว่ามาก
ซูอันถอยกลับมาหาเฉียวเสวี่ยอิง เขาสังเกตเห็นว่าผมยาวของนางถูกตัดสั้นจนเห็นติ่งหู ชายหนุ่มหัวเราะเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าจะว่ายังไงถ้าเมื่อกี้ข้าพลาดแล้วไอ้ยักษ์นั่นกระชากผมของเจ้าออกจากหัวจนหมด?”
“ในฐานะที่เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้เมื่อครู่นี้ ข้าจะไม่ถือสาเรื่องนี้กับเจ้า!” หญิงสาวตอบกลับพลางลูบผมของนางเองเบา ๆ และผมของนางก็ยาวขึ้นอย่างรวดเร็วจนมัดเป็นหางม้าได้เหมือนเดิม
ซูอันตกตะลึง เขาอดไม่ได้ที่จะจับผมที่เพิ่งงอกใหม่ของนาง “โอ้? แบบนี้เจ้าก็ไม่ต้องสระผมทุกเช้างั้นสิ แค่ตัดแล้วทำให้มันงอกใหม่ก็ได้แล้ว”
เฉียวเสวี่ยอิงจ้องซูอันขณะที่นางคว้าหางม้าของนางกลับ “เจ้าไม่รู้หรือไงว่าชายและหญิงควรรักษาระยะห่างระหว่างกัน?”
ชายหนุ่มรู้สึกขบขัน “เราเคยใกล้ชิดกันยิ่งกว่านี้อีก ทำไมเจ้าเพิ่งมาพูดถึงเรื่องระยะห่างกับข้า?”
เฉียวเสวี่ยอิงกัดฟันกรอด “เจ้ายังจะกล้าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเหรอ!”
ซูอันระเบิดเสียงหัวเราะ “เอาล่ะ เรามาพูดถึงเรื่องที่จริงจังกันดีกว่า เจ้าต้องยืดผมให้ยาวแบบเมื่อกี้อีกที ข้าจะมัดไอ้ตัวเลข 1ให้ได้”
เนื่องจากยักษ์ทองแดงหมายเลข 1 ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นผมที่เคยมัดขามันไว้ก่อนหน้านี้จึงกระจัดกระจายไปทั่วและไม่อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
“ข้าทำไม่ได้ ข้าใช้พลังไปเยอะแล้ว ระยะเวลาแค่นี้ข้าจะไปฟื้นฟูทันได้ยังไง?” เฉียวเสวี่ยอิงปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้ นางตัดผมที่เปื้อนเลือดค้างคาวทิ้งไปจำนวนมาก แล้วยังมาถูกตัดอีกเมื่อครู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่นางจะฟื้นฟูตัวเองได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป?” ซูอันมองยักษ์ทองแดงที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยอาการคิ้วขมวด
“เจ้าจะนิ่งคิดอีกนานไหม? รีบหลบสิ! แล้วค่อยคิดต่อ ปั้ดโธ่เอ๊ย!” เฉียวเสวี่ยอิงตวาด
ชายหนุ่มส่ายหัวและตอบว่า “ชูเหยียนไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้น ข้าต้องจัดการไอ้ยักษ์นี่ให้ได้เดี๋ยวนี้”
เฉียวเสวี่ยอิงกลอกตา “หยุดโม้ได้แล้ว! ถ้าเจ้าสามารถจัดการมันได้ในทันที ข้าจะ…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ซูอันก็หายตัวไปจากจุดนั้น วินาทีต่อมา เขาก็อยู่ตรงหน้าหน้าผากของยักษ์ทองแดงแล้ว แท่งพิษในมือของเขาพุ่งเข้าใส่ตรงกลางหน้าผากของมัน
จากนั้นแสงในดวงตาของยักษ์ทองแดงก็ค่อย ๆ จางหาย ร่างกายของมันเริ่มล้มลง
ซูอันดึงแท่งพิษออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะถีบตัวแล้วกระโดดถอยหลังออกมา ร่างของยักษ์ทองแดงกระแทกกับพื้นอย่างหนัก ทำให้ฝุ่นผงลอยขึ้นไปในอากาศ
เมื่อได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่นี้ เฉียวเสวี่ยอิงก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “ทำไมจู่ ๆ ตาคนนี้ก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นมานะ?”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ซูอันถามขณะที่เขาเดินกลับมาหานาง
“ม…ไม่มีอะไร” เฉียวเสวี่ยอิงโล่งใจที่เขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไปที่จะได้ยินสิ่งที่นางพูด ไม่เช่นนั้นนางคงทำหน้าไม่ถูก “เจ้าทำได้ยังไง?”
การโจมตีครั้งก่อนนั้นรวดเร็วมากจนเกือบจะดูเหมือนเขาจะหายตัวและไปโผล่ทางด้านหน้าของยักษ์ทองแดงในพริบตา
“อยากรู้งั้นเหรอ?” ซูอันถามขณะที่เขาเอนตัวไปทางนาง
เฉียวเสวี่ยอิงเอนตัวหนีไปทางด้านหลัง ขณะที่นางพยักหน้า
“ใช่!”
“เรียกข้าว่าท่านพี่ แล้วข้าจะบอกความลับนี้ให้เจ้าฟัง!” ซูอันตอบอย่างร่าเริง
มันคือทักษะจ้าววายุ ซึ่งตอนนี้เขามีพลังชี่พอที่จะใช้มันได้สามครั้งต่อวันแล้ว
จ้าววายุเหมาะสำหรับการหลบหลีกและการลอบสังหาร แต่ระดับการบ่มเพาะตอนนี้ต่ำเกินไป เขาจึงสามารถใช้มันได้แค่กับยักษ์ทองแดงที่มีสติปัญญาต่ำ ถ้าชายหนุ่มลองใช้มันกับผู้บ่มเพาะระดับสูงคนอื่น ๆ โอกาสสำเร็จในการลอบสังหารก็จะลดลงมาก
เฉียวเสวี่ยอิงไม่สนใจเขา นางกังวลเรื่องอื่นมากกว่าที่นี่ “นี่เราทำลาย ผนึกมนุษย์สำเร็จแล้วหรือยัง?”
หลังจากที่นางกล่าวคำนั้น ยักษ์ทองแดงทั้งสิบสองตัวก็หายวับไป จากนั้นทั้งสองคนก็ตกอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักอีกครั้งเมื่อสภาพแวดล้อมของพวกเขากลายเป็นภาพเบลอ ก่อนที่จะรู้ตัว พวกเขาก็กลับมาที่สุสานใต้ดินอีกครั้ง
ในตอนนี้เองที่หญิงสาวสังเกตว่ามือของพวกเขาเกาะกุมกันอยู่ ดังนั้นนางจึงรีบสะบัดออก…
ซูอันยักไหล่โดยไม่คิดอะไร
“หืม? เกินคาดเลยนะเนี่ย ที่พวกเจ้าทำลายผนึกมนุษย์ได้” เสียงของ หมี่ลี่ดังขึ้นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าในที่สุดนางก็เห็นแสงแห่งความหวัง
ไม่นานหลังจากนั้นผนึกค่ายกลที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขาก็เปิดออก และทำให้พวกเขาตกลงไปสู่ชั้นที่ลึกมากกว่าเดิม
ซูอันสังเกตว่าที่ชั้นล่างนี้มีผนึกค่ายกลที่คล้ายกันกับเมื่อครู่ซึ่งเขาคิดว่านี่น่าจะเป็นผนึกปฐพี
“ผนึกปฐพีจะยากกว่าผนึกมนุษย์ เจ้าจะพักสักหน่อยก่อนเข้าไปไหม?” หมี่ลี่ถามขึ้น
ซูอันส่ายหัวและตอบว่า “ไม่จำเป็น”
ฉู่ชูเหยียนยังคงรอเขาอยู่ ชายหนุ่มไม่มีเวลามากพอที่จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เฉียวเสวี่ยอิงก็มีความคิดแบบเดียวกัน ทั้งสองคนยืนอยู่บนผนึกปฐพีและเอื้อมมือออกมาเกาะกุมกันโดยสัญชาตญาณ
หลังจากตกอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักอีกครั้ง พวกเขาก็ลืมตาขึ้นและตระหนักว่าพวกเขาอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
“ทำไมเราถึงยังอยู่ในสุสานใต้ดินล่ะ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วในขณะที่เขาพูดอย่างสงสัย
“ไม่ นี่ไม่ใช่สุสานใต้ดินที่เราเคยอยู่เมื่อกี้นี้” เฉียวเสวี่ยอิงกล่าวพร้อมกับส่ายหัว ระดับการบ่มเพาะของนางสูงกว่าซูอันมาก ดังนั้นประสาทสัมผัสของนางจึงเฉียบแหลมกว่า “พื้นที่ที่เราอยู่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย แต่ที่นี่เบาบางกว่ามาก”
ซูอันมองประเมินบริเวณรอบตัวอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วอย่างขมขื่นในทันใด “ถ้าเราไม่ได้อยู่ในสุสานใต้ดิน แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ?”
เฉียวเสวี่ยอิงมองตามมือเขาก่อนจะสะดุ้งด้วยความสยดสยอง ห่างจากพวกเขาหลายร้อยลี้ มีกองทัพทหารดินเผาเข้าแถวอยู่เหมือนกับในสุสานใต้ดิน!
“ผนึกปฐพีเหรอ? ทหารดินเผาเหล่านี้ทำมาจากโคลนและถูกฝังไว้ใต้ดิน ทำให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโลกอย่างแนบแน่น พวกมันต้องเป็นศัตรูที่เป็นเงื่อนไขในการทำลายผนึกปฐพีแน่ ๆ” ซูอันกล่าวอย่างเคร่งเครียด
เฉียวเสวี่ยอิงนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาและถอนหายใจ “น่าเสียดายที่แท่งไฟประหลาดของเจ้าตกลงไปในทะเลสาบซะแล้ว ไม่เช่นนั้น เจ้าคงสามารถจัดการกับพวกมันและทำลายผนึกนี้ได้อย่างง่าย ๆ เลย”
รอยยิ้มลึกลับปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของซูอัน ทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้จากนั้นเขาเรียกไฟฉายวิเศษออกมา “เจ้ากำลังพูดถึงไอ้นี่เหรอ?”
เฉียวเสวี่ยอิงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นไฟฉายวิเศษที่เขาถืออยู่ “อ้าว? มันไม่ได้ตกลงไปในทะเลสาบแล้วเหรอ? ทำไมมันยังอยู่กับเจ้าได้? เดี๋ยวนะ เจ้ามีหลายอันเหรอ?”
นางค่อนข้างแน่ใจว่าซูอันไม่ได้หยิบมันขึ้นมาหลังจากที่ตกลงไปในทะเลสาบก่อนหน้านี้
“ข้าจะมีสิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าแบบนี้หลายอันได้ยังไง? นี่เป็นอันที่เจ้าเห็นนั่นแหละ” ซูอันตอบ “มันแค่เชื่อมโยงกับข้าทางกระแสจิต ดังนั้นมันสามารถกลับมาหาข้าได้เสมอแม้มันจะหล่นลงไปในเหวลึก”
เฉียวเสวี่ยอิงมองชายหนุ่งตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เมื่อหนึ่งเดือนก่อน นางยังคงคิดว่าชายผู้นี้ไร้ประโยชน์อยู่เลย แต่ตอนนี้เขาทำให้นางประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า “ทำไมพวกผีดิบในสุสานใต้ดินถึงกลัวแสงจากแท่งไฟนี่?”
ซูอันหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เจ้ายังไม่ได้เรียกข้าว่าท่านพี่ ไว้เจ้าเรียกเมื่อไหร่ข้าถึงจะบอก”
เฉียวเสวี่ยอิงถ่มน้ำลายลงบนพื้นและพูดว่า “ถุย! ไอ้คนไร้ยางอาย! เจ้าไม่ควรมาหยอกผู้หญิงคนอื่นลับหลังคุณหนู ถึงแม้จะเป็นข้าก็ตาม!”
“เจ้าแตกต่างจากคนอื่น ลืมไปแล้วเหรอว่าชูเหยียนยกเจ้าให้ข้าแล้ว? ในเมื่อภรรยาของข้าเห็นชอบในเรื่องนี้แล้ว จะเรียกว่าเจ้าเป็น ‘ผู้หญิงคนอื่น’ ได้ยังไง?” ซูอันตอบกลับ “แถมตอนนี้เจ้าเป็นคนที่จับมือข้าซะแน่น ข้าคิดว่าตอนนี้เป็นเจ้ามากกว่าที่หยอกข้าจริงไหม?”
เฉียวเสวี่ยอิงรีบดึงมือของนางออกมาทันที ใบหน้าของนางแดงก่ำและพยายามอธิบายอย่างงุ่มง่าม “ก็เจ้าเป็นคนบอกให้เราจับมือกัน เผื่อเราจะพลัดหลงกัน!”