บทที่ 278 พ่อและแม่จะไม่มีวันเลิกรากัน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 278 พ่อและแม่จะไม่มีวันเลิกรากัน
บทที่ 278 พ่อและแม่จะไม่มีวันเลิกรากัน

ขณะที่หลินเหราและเหยาเฉากำลังไปดูบ้าน เหยาซูได้พาเด็ก ๆ กลับไปยังโรงเตี๊ยมแล้ว

นางมอบเงินทองและของมีค่าให้แก่อาจื้อไว้ส่วนหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการขโมยขึ้นในโรงเตี๊ยม

เช่นนี้เด็กชายจึงยืนมองผู้เป็นแม่พาน้องชายและน้องสาวจากไปด้วยความเศร้าสร้อย

กระทั่งหลินเหรากลับมาถึงจวนเซี่ย สิ่งที่เห็นคืออาจื้อนั่งก้มหน้าอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง

เขาเดินเข้าไปตรงหน้า และถามว่า “แม่เจ้าล่ะ?”

อาจื้อเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “กลับโรงเตี๊ยมไปแล้วขอรับ”

เมื่อหลินเหราได้ยินดังนั้นก็รู้สึกจนปัญญา ไม่รู้ว่าตัวเองควรต้องไปตามที่โรงเตี๊ยม แล้วพาเหยาซูและลูก ๆ กลับมาดีหรือไม่

ยามเห็นอาจื้อหน้านิ่วคิ้วขมวด ช่างคล้ายคลึงกับสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมของหลินเหรามากทีเดียว

เด็กชายถามขึ้นอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อ ท่านและท่านแม่ทะเลาะกันใช่หรือไม่?”

หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “เรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

อาจื้อสำลักกับคำพูดของเขา จากนั้นก็เมินหน้าไปทางอื่นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด

เขาหันศีรษะด้านหลังให้หลินเหรา บรรยากาศรอบตัวของสองพ่อลูกห่างเหินเย็นชาลงอย่างฉับพลัน

เมื่อหลินเหราเห็นท่าทางปฏิเสธที่จะพูดคุยของลูกชาย ก็รู้ทันทีว่าคำพูดเมื่อครู่ของตัวเองคงรุนแรงเกินไปอีกแล้ว

เขาหมดหนทาง อาจื้อยังเด็ก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงนิสัยอ่อนไหวง่ายเช่นนี้

ชายหนุ่มทำได้เพียงนั่งลงข้างกายของลูกชาย ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเขาว่า “เรื่องของพ่อและแม่ พ่อไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”

อาจื้อยังไม่ยอมพูด ไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ

หลินเหราทำได้แค่อดทน และอธิบายให้เขาฟัง “พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่น”

อาจื้อจึงหันหน้ากลับมา ใบหน้าขาวเนียนได้อาบไปด้วยหยาดน้ำตาสองข้าง เขากัดริมฝีปากแน่น ไม่ได้ส่งเสียงพูดออกมาสักคำเดียว

ภาพนี้ทำให้หลินเหราตื่นตกใจ

เมื่อครู่เขาทำอะไร? เหตุใดอาจื้อถึงร้องไห้?

ดวงตาของเด็กชายแดงก่ำ ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาด้วยความน้อยใจว่า “ข้าเองก็ไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น…”

ขณะพูด หยาดน้ำตาได้ไหลรินลงมาเป็นสาย ตามมาด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังฝืนแต่ไม่สามารถทำได้

หลินเหราปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย

ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง เมื่อตอนอยู่ในบ้านตระกูลหลิน ถ้ามีสิ่งที่ทำให้ไม่พอใจ พ่อเฒ่าหลินและแม่เฒ่าหวังจะดุด่าและตบตีเขาเสมอ เรื่องนี้เขาเคยชินแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยลงมือกับอาจื้อ แค่พูดรุนแรงไปหน่อย เหตุใดเขาถึงทำเหมือนว่าได้รับความไม่เป็นธรรมจนร้องไห้ออกมาเช่นนี้?

หากเป็นวิธีการปกติ หลินเหราจะตะโกนสั่งห้ามอาจื้อร้องไห้อย่างเข้มงวด

สำหรับเขา เกิดเป็นลูกผู้ชายน้ำตาย่อมต้องไม่ไหลออกมาง่าย ๆ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ร้องไห้ เรื่องนี้เขาจะยอมรับได้อย่างไร

เด็กชายมีน้ำตาซึมออกมา จากนั้นก็ปรายตามองหลินเหราพลางขานเรียกด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านพ่อ…”

อยากร้องแต่ก็ไม่กล้าร้องไห้ อยากเรียกก็ไม่กล้าเรียก ทำให้คนเห็นใจอ่อนยวบลงในทันที

หลินเหรายื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้ลูกชาย พลางเอ่ยถามเสียงเบาว่า “อือ? อย่างไร?”

อาจื้อกัดริมฝีปากหลุบตามองต่ำ ก่อนจะรวบรวมความกล้าถามเขาว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่ชอบข้าใช่หรือไม่?”

หลินเหราขมวดคิ้ว “ได้อย่างไร? เหตุใดถึงคิดเช่นนี้?”

น้ำตาของเด็กชายที่เดิมทีหยุดไหลแล้วก็พลันพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง ไหลรินออกมาเหมือนกับคลื่นที่ซัดสาด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “ท่านพ่อไม่…ไม่เคยชมข้า เอาแต่กล่าวหาว่าข้าทำไม่ดี…ข้าตั้งใจเรียนหนังสือ ฝึกเขียนตัวอักษรวันละสามชั่วยาม แต่ทุกครั้งที่ท่านพ่อ ท่านพ่อมาหาข้า มัก…มักจะดุว่าข้าเข้าใจผิด ตัวอักษรบิดเบี้ยว…”

“ท่านพ่อมักจะกอดเอ้อเป่า พูดจาอ่อนโยนกับซานเป่า… เห็นได้ชัดว่าซานเป่ายังฟังไม่เข้าใจ แต่ท่านพ่อก็ไม่เคยทำเช่นนี้กับข้า…”

“ข้าไม่ดีเลยใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเหตุใดท่านพ่อถึงไม่ชอบข้า?”

หลินเหราเงียบไปครู่หนึ่ง มองดูหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มลูกชายคนโตอย่างนิ่งสงบ พลางครุ่นคิดในใจว่าตัวเองอาจจะทำผิดพลาดไปจริง ๆ

เขาพยายามปลอบใจอาจื้อที่กำลังหวั่นไหว พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ่มต่ำและมีพลัง “พ่อไม่เคยไม่ชอบเจ้า พ่อดีใจที่มีลูกชายที่ยอดเยี่ยมเช่นเจ้า แต่อาจื้อ เจ้าเป็นลูกคนโต พ่อจึงต้องมักเข้มงวดกับเจ้า ไม่ใช่ว่าไม่รักเจ้า”

หยาดน้ำตาของเด็กผู้ชายยังคงหลั่งรินออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและขมขื่น ทำให้หลินเหรานึกถึงวัยเด็กของตัวเองขึ้นมาโดยพลัน

เขาในตอนนั้น ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ทำอะไร ล้วนไม่เคยได้รับการยอมรับและได้รับความรักจากบิดามารดาเลย

แม้ว่าเขาจะไม่เคยร้องไห้เสียน้ำตา แต่กลับรู้สึกขมขื่นมากทีเดียว

เหตุใดพอถึงคราวลูกชายของตัวเอง เขาถึงบังคับให้เด็กชายต้องอดทนกับความเจ็บปวดที่ไม่ควรต้องแบกรับเหล่านี้เล่า?

ขณะที่ครุ่นคิด หลินเหราก็กอดอาจื้อไว้ในอ้อมแขน ช่วงเวลานี้เองที่เขาพบว่าเด็กชายตรงหน้ายังเด็กมากจริง ๆ

ไหล่ของอาจื้อยังแคบมาก แขนก็ยังเรียวเล็กไม่ได้มีเรี่ยวแรงนัก ยามกอดอยู่ในอ้อมแขนช่างไม่ต่างอะไรกับอาซือ

หลินเหรารู้สึกเสียใจอย่างอดไม่ได้

สิ่งที่เหยาซูพร่ำพูดมาเสมอนั้นถูกต้อง เป็นเขาเองที่คิดว่าลูกชายนั้นโตเกินวัยแล้ว

เขาลูบศีรษะของอาจื้อ และพูดกับเขาว่า “พ่อดุเจ้าเกินไปแล้ว”

เด็กชายยิ่งควบคุมอารณ์ของตัวเองไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของหลินเหรา และส่ายหน้า “ข้าทำไม่ดีพอเอง เก่งสู้คนอื่นไม่ได้…”

หลินเหราทอดถอนใจ กอดเขาไว้แน่น

อาจื้อไม่ค่อยทำตัวเหมือนเด็กขี้แยเช่นนี้ นอกจากรู้สึกว่าตัวเองต้องเคร่งขรึมและนิ่งสงบแล้ว เกรงว่าในใจคงคิดเสมอว่าผู้เป็นพ่อไม่รักเขามากพอกระมัง?

มือขวาของหลินเหราที่เคยชินแต่การจับดาบ ต้องมาออกแรงลูบแผ่นหลังของเด็กชายด้วยความอ่อนโยนยิ่งกว่าปกติเพื่อปลอบใจอย่างช้า ๆ และเอ่ยปลอบประโลมความรู้สึกของเขา “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ หรือว่าช่วยดูแลน้องชายและน้องสาวในบ้าน อาจื้อเก่งมาตลอด เจ้าคือความภาคภูมิใจของพ่อเสมอ”

ความจริงแล้วเหยาซูมักจะพูดเช่นนี้กับอาจื้อเสมอ

บัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของหลินเหราเอง ในที่สุดอาจื้อก็สัมผัสได้ถึงความไร้กังวล ความรู้สึกปลอดภัยยามถูกผู้เป็นพ่อโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนที่ผู้เป็นแม่ไม่สามารถให้เขาได้

เด็กชายค่อย ๆ หยุดร้องไห้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็พูดกับหลินเหราด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “ท่านพ่อ อย่าเลิกรากับท่านแม่…”

หลินเหราสัมผัสได้ถึงเรียวแขนที่ไม่ค่อยแข็งแรงของเจ้าลูกชายคู่นั้นกำลังออกแรงกอดรอบอกของเขา พลางพูดเสียงต่ำว่า “พ่อและแม่ไม่มีทางเลิกรากัน”

เด็กชายแสดงท่าทีไม่อยากเชื่ออย่างชัดเจน

การสังเกตและเรียนรู้อารมณ์คนอื่นที่เด็กมีต่อผู้ใหญ่ ว่องไวยิ่งกว่าสัตว์ตัวน้อยที่มีไหวพริบที่สุดเสียอีก

อาจื้อสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลระหว่างผู้เป็นพ่อและแม่ในวันนี้นานแล้ว อีกอย่างเหยาซูก็ยังพาน้องชายและน้องสาวกลับโรงเตี๊ยม…

เขาผละออกจากอ้อมกอดของหลินเหรา มองตาของผู้เป็นพ่อ และพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านพ่อและท่านแม่จะทะเลาะอะไรกัน ข้าไม่รู้ แต่ท่านแม่มักจะใจอ่อนที่สุด ขอแค่ท่านพ่อตั้งใจง้อหน่อย ท่านแม่ไม่มีวันโกรธท่านพ่อไปตลอดแน่นอนขอรับ”

หลินเหราตอบ “อื้อ” ด้วยเสียงต่ำ

กระทั่งเห็นอาจื้อก้มหน้าลง เสียงเล็ก ๆ ได้พูดเสริมออกมาประโยคหนึ่งว่า “ตอนนี้ท่านแม่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมฝูหลาย”

หลินเหรากระตุกมุมปากเล็กน้อย ถือโอกาสสูดดมศีรษะของอาจื้อ จากนั้นก็พูดเสียงต่ำว่า “เด็กดี ข้าเข้าใจแล้ว”

เด็กชายอดหัวเราะออกมาไม่ได้

หลินเหราคิดจะไปรับเหยาซูกลับมาตั้งนานแล้ว บัดนี้อาจื้อบอกชื่อโรงเตี๊ยมกับเขา เขาย่อมทนไม่ไหวอีกต่อไป อยากจะวิ่งไปเสียตอนนี้

ชายหนุ่มก้มหน้าลง พูดกับลูกชายเสียงต่ำว่า “เจ้าฝึกเขียนอยู่ในบ้านก่อน ข้าจะไปรับแม่ น้องชายและน้องสาวของเจ้ากลับมา”

อาจื้อรู้ว่าหลินเหราไม่พาเขาไป จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

จากนั้นก็ยืนส่งแผ่นหลังที่สูงใหญ่ของหลินเหราจากไป อาจื้อนึกถึงยามถูกผู้เป็นพ่อกอดเมื่อครู่ สัมผัสที่สบายใจและปลอดภัย เขาคาดหวังอยู่ในใจว่าผู้เป็นพ่อจะต้องพาแม่ของตนกลับมาได้แน่นอน…

……………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แง อยากกอดอาจื้อ หนูทำดีมากแล้วนะลูก ทำดีที่สุดแล้ว

อยากเขกกระโหลกอาเหราซ้ำสักสิบครั้ง กี่รอบแล้วที่แกทำให้อาจื้อร้องไห้เนี่ยหาาาา ไปตามง้ออาซูกลับเลยไป

ไม่อยากเชียร์ให้หย่ากันต่อให้โมโหเจ้าท่อนไม้นี่ก็ตาม เพราะกลัวนังงูเหลือมตู้จะมางาบไปสบายใจเฉิบนี่แหละค่ะ มือที่สามอย่างนางต้องไม่ได้อาเหราไปแบบฟรีๆ

ไหหม่า(海馬)