บทที่ 279 เหตุใดถึงต้องล่อให้เหยาซูไปคนเดียว?
บทที่ 279 เหตุใดถึงต้องล่อให้เหยาซูไปคนเดียว?
เหยาซูพาอาซือและซานเป่ากลับมาพักที่โรงเตี๊ยม
เด็กทั้งสองคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หลังจากกินข้าวเสร็จจึงพากันเอนกายนอน ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เหยาซูนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนสักนิด
ร้านขายชาดที่เปิดก่อนหน้านั้นมีชื่อเสียงมาก กิจการกำลังไปได้ดีทำเงินได้ไม่น้อย บัดนี้นางสามารถคิดพิจารณาถึงอุตสาหกรรมที่ต้องวางเงินทุนค่อนข้างมากในไตรมาสแรกเหล่านี้ได้แล้ว
กิจการที่ทำเงินได้ มีเพียงร้านอาหารและโรงเตี๊ยมเท่านั้น
การเปิดร้านอาหารค่อนข้างยาก แล้วนับประสาอะไรกับโรงเตี๊ยม?
ระหว่างทางจากเมืองชิงถงมาที่นี่ นางได้แวะพักในโรงเตี๊ยมไปแล้วสองสามแห่ง
เหยาซูพบว่า กิจการในเมืองต้าเหยียนเจริญรุ่งเรืองมาก พ่อค้าที่เดินทางจากทิศตะวันตกไปยังเมืองหลวงมีจำนวนไม่น้อยเลย จึงทำให้กิจการโรงเตี๊ยมรุ่งเรืองไปด้วย
เมื่อถึงเมืองหลวง ทางทิศตะวันตกของเมืองเป็นศูนย์กลางของโรงเตี๊ยม นางรู้สึกว่าธุรกิจนี้สามารถทำได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเงินที่อยู่ในมือนั้นจะเพียงพอหรือไม่?
เหยาซูกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ เมื่อเห็นเด็ก ๆ ยังคงหลับปุ๋ยจึงย่างเท้าเดินออกไปข้างนอก หญิงสาวอยากจะพูดคุยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเสียหน่อย ไถ่ถามสถานการณ์เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมยังคงกระตือรือร้นและคุยเก่งเหมือนเดิม ประกอบกับแขกที่ไม่เยอะนัก ลูกจ้างร้านที่วิ่งวุ่นอยู่ในห้องโถงกลางก็พากันมานั่งคุยกับเหยาซู ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เป็นเวลานาน
กระทั่งนางถามในเรื่องที่ตัวเองอยากรู้จนจบแล้วจึงกลับเข้าห้องบนชั้นสอง แต่กลับพบว่าเตียงว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเด็กสองคนที่ควรจะนอนหลับอยู่ตรงนั้นหนีหายไปไหน
เหยาซูขานเรียก “เอ้อเป่า? ซานเป่า?”
ห้องที่พวกเขาพักอยู่เป็นห้องใหญ่ ด้วยเหยาซูคำนึงถึงวัยที่กำลังหัดเดินของซานเป่า จึงเลือกห้องที่ใหญ่และโล่งที่สุด
เดิมทีคิดว่าเด็กสองคนคงจะเล่นอยู่ข้างใน ทว่าเมื่อเหยาซูก้าวเท้าเดินไปหากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กทั้งสอง
ความสงสัยพลันเกิดขึ้นในใจของหญิงสาว ตามมาด้วยความหวาดกลัวบางอย่างที่เกิดขึ้นจนไม่อาจควบคุมได้
อาซือไม่ใช่เด็กซุกซน ย่อมไม่มีทางซ่อนตัวให้นางเป็นกังวลแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีซานเป่าอีกคน ถ้าอยากซ่อนตัว จะซ่อนตัวที่ไหนได้?
ไม่นานเหยาซูก็ค้นหาทั่วห้องจนแทบพลิกแผ่นดิน นางตะโกนเรียกชื่อเด็กทั้งสองคน ร้อนใจจนเหงื่อผุดซึมเต็มใบหน้า
สามีภรรยาวัยกลางคนที่พักอยู่ห้องถัดไปคู่หนึ่ง ได้ยินเสียงจึงออกมาถาม “แม่หนู เป็นอะไรไปหรือ?”
ใบหน้าของเหยาซูเผยสีหน้าร้อนรนอย่างไม่อาจปิดปังได้ แม้แต่น้ำเสียงที่พูดก็ยังเปลี่ยนไป “พี่ชาย พี่สาว พวกท่านเห็นเด็กสองคนบ้างหรือไม่? คนหนึ่งอายุไม่ถึงห้าขวบ อีกคนเพิ่งจะเดินได้…”
สามีภรรยาต่างมองหน้ากัน ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า “ไม่เห็นเลย”
เหยาซูพูดขึ้นอย่างร้อนใจ “เมื่อครู่ข้าถือโอกาสตอนที่พวกเขานอนหลับ ลงไปข้างล่างครู่หนึ่ง แต่พอขึ้นมากลับไม่เห็นพวกเขาแล้ว!”
ชายคนนั้นเอ่ยถามเหยาซู “เมื่อครู่ตอนเจ้าออกจากห้องข้าเองก็เห็นพอดี เวลาไม่นาน เด็กสองคนนั้นคงจะตื่นแล้วไม่เห็นเจ้า ก็เลยเดินหาเองหรือไม่?”
เหยาซูส่ายหน้า จิตใจว้าวุ่น “ไม่มีทาง! ลูกสาวของข้ารู้ความมาก ถ้าตื่นแล้วไม่เจอข้า นางจะไม่เดินเพ่นพ่านเด็ดขาด ยิ่งไม่มีทางพาน้องชายออกไปด้วย!”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยปลอบใจเหยาซู “อย่าเพิ่งร้อนใจ อย่าเพิ่งร้อนใจไป เด็กบางครั้งอยากออกไปก็ออกไปเสียอย่างนั้น บางครั้งก็ทำให้ผู้ใหญ่ร้อนใจ…”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูด สายตาของชายคนนั้นได้มองข้ามเหยาซู สอดส่ายสายตาเข้าไปในห้อง
ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงออกมา “แม่หนู มีข้อความอยู่บนโต๊ะ นั่นของเจ้าหรือไม่?”
ทั้งสองคนได้ยินดังนั้นก็พากันหันไปมองโต๊ะแปดเหลี่ยมในห้องอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อครู่เหยาซูมัวแต่ตามหาลูก จึงไม่สังเกตเห็นว่าบนโต๊ะในห้องตัวเองมีสิ่งของเพิ่มเข้ามา
นางเร่งฝีเท้าเดินขึ้นหน้า หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา ในใจคิดว่าถ้าเป็นข้อความที่อาซือทิ้งไว้ว่าจะพาซานเป่าออกไปข้างนอกจริง ๆ เมื่อเด็ก ๆ กลับมา นางจะตำหนิอาซืออย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว
แต่ยังไม่รอให้นางโล่งใจ กระทั่งเห็นลายมือแปลกตา ตัวอักษรสีดำบนข้อความนั้น ภาพตรงหน้าก็ตัดไปจนเกือบยืนไม่ไหว
“แม่หนู แม่หนู! เจ้าไม่เป็นไรนะ!”
หญิงวัยกลางคนประคองนาง ครั้นเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของเหยาซูก็พาให้รู้สึกแย่
ชายคนนั้นเอ่ยถามออกไป “ข้อความนั้นเขียนว่าอย่างไร?”
ริมฝีปากของเหยาซูซีดเซียว นางกัดริมฝีปากแน่น บังคับให้ตัวเองสงบลง
กระดาษที่อยู่ในมือสั่นระริก จากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้าของสามีภรรยาวัยกลางคน
“มาที่ศาลเจ้าหลักเมืองแถวชานเมือง มาเพียงลำพัง มิเช่นนั้นเด็กสองคนไม่รอดแน่”
ชายผู้นั้นเห็นความเด็ดเดี่ยวที่แสดงออกมาทางสีหน้าของเหยาซู จึงรีบพูดโน้มน้าวนางทันที “แม่นาง เจ้าอย่าทำอะไรโง่ ๆ นะ! ห้ามไปศาลเจ้าหลักเมืองแห่งนี้”
เหยาซูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสั่นเครือ “หากไม่ไป ลูกสาวและลูกชายของข้าจะเป็นอย่างไร?”
เมื่อครู่สมองของนางได้ผุดความคิดขึ้นมามากมาย ราวกับว่าเวลานี้นางเอาแต่คิดวกวนถึงเรื่องที่สามารถคิดได้
หญิงวัยกลางคนจึงรีบโน้มน้าว “แม่หนูตัวเล็กแค่นี้ หากจะไป ก็ต้องพาใครสักคนไปด้วย…”
เหยาซูส่ายหน้า นัยน์ตาที่ดูสงบนิ่งนั้นเป็นคำตอบให้ทั้งสองคนแล้ว “เมื่อครู่ข้าไม่ได้ออกจากโรงเตี๊ยมเลย แต่พวกเขาสามารถพรากลูกออกจากอ้อมอกของข้าโดยไม่มีคนรู้ ทั้งยังไม่ถูกใครจับได้… พวกเขาจะต้องมีคนเฝ้าที่นี่แน่นอน ถ้ารู้ว่าข้าไม่ไปคนเดียว ชีวิตลูก ๆ ของข้าจะต้องรักษาไว้ไม่ได้แน่”
หญิงสาวร้อนใจ “ถึงกระนั้นก็ไปคนเดียวไม่ได้!”
เหยาซูมองไปทางสองสามีภรรยา จากนั้นก็ค้อมตัวทำความเคารพ ยามที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากความเด็ดเดี่ยวในนัยน์ตาแล้ว ก็ยังแฝงไปด้วยความเว้าวอน “ท่านทั้งสอง…ข้าขอรบกวนท่านทั้งสองได้หรือไม่ ช่วยส่งข่าวนี้ให้ครอบครัวแทนข้าได้หรือไม่? สามีของข้าตอนนี้อยู่ในจวนเซี่ยของทิศตะวันตกในเมือง ข้าต้องไปแล้ว”
สองสามีภรรยาไม่ได้สนใจจะถามอย่างอื่น นอกจากพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ ได้!”
การเคลื่อนไหวนี้อึกทึกไม่น้อย ไม่นานลูกจ้างของโรงเตี๊ยมก็ขึ้นมา เพื่อถามไถ่สถานการณ์ แต่เมื่อเห็นแม่นางเหยาที่พูดคุยและหัวเราะกับเขาอยู่เมื่อครู่ มีใบหน้าซีดเผือด รีบร้อนลงมาจากชั้นบน
“พี่ใหญ่หลี่ พี่สะใภ้หลี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย
สามีภรรยาวัยกลางคนส่ายหน้า จากนั้นก็ทอดถอนใจพลางพูดด้วยความกังวลว่า “โรงเตี๊ยมแห่งนี้มันยังไงกันนะ?! แม่นางผู้แสนดีหิ้วกระเตงลูกมาถึงที่นี่ พริบตาเดียว ก็มีคนขึ้นมาลักพาตัวเด็กไปแล้ว! ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ เมืองหลวงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร? โรงเตี๊ยมพวกเจ้ากลายเป็นรังโจรเสียแล้ว!”
ลูกจ้างในร้านตื่นตระหนก จากนั้นก็ตะลึงงันพลางขวางทั้งสองคนเพื่อถามให้ชัดเจน “ว่าไงนะ? ลักพาตัวเด็กอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเขา และพูดอย่างขุ่นเคือง “เราสองคนมีเรื่องต้องไปทำ กลับมาข้าจะเก็บข้าวของ และย้ายออกไปทันที!”
เมื่อเห็นชายผู้นั้นไม่ยอมพูดอีก ลูกจ้างจึงทำได้แค่ขานเรียกหญิงสาวให้พูดคุยกันดี ๆ ก่อน “สะใภ้หลี่ ที่พี่ใหญ่พูด เราโดนใส่ร้าย! ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หญิงวัยกลางคนอยากจะเดินออกไปเช่นกัน จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัดตัดตอนให้แก่ลูกจ้าง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับสามี
ทั้งสองคน คนหนึ่งก็ตรงไปยังจวนเซี่ยตามคำขอร้องของเหยาซู อีกคนก็ตรงไปยังประตูจวนตรวจการของเมืองหลวง อยากจะขอความช่วยเหลือเผื่อทุกอย่างจะดีขึ้น
ความวุ่นวายเมื่อครู่เพิ่งจะเกิดขึ้น เมื่อทุกคนในโรงเตี๊ยมได้ยินบทสนทนาระหว่างลูกจ้างและสองสามีภรรยาตระกูลหลี่ ข่าวเล็ก ๆ นี้ก็พลันแพร่กระจายออกไป
ยามที่หลินเหราเดินมาถึงโรงเตี๊ยมฝูหลาย ก็ได้ยินบทสนทนานี้เช่นกัน
“ได้ยินว่าแม่นางที่ลูกหายนั้นสกุลเหยา? สกุลนี้หายากยิ่งนัก เกรงว่าคงจะไม่ใช่คนเมืองหรอกกระมัง?”
อีกคนได้พูดว่า “คนเมืองที่ไหนมาพักโรงเตี๊ยมเล่า? พี่ชาย ช่วยตั้งสติหน่อย! มีเด็กหายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เกรงว่าคงพักต่อไม่ได้แล้ว!”
หลินเหราสาวเท้าขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว คว้าคอเสื้อของหนึ่งในกลุ่มนั้น ก่อนจะตะเบ็งเสียงจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก “เจ้าว่าลูกของใครหายนะ?”
คนผู้นั้นอยากจะคุยสนุก ๆ อีกเสียหน่อย แต่กลับถูกมารผจญของพวกสัมภเวสีผู้หนึ่งรัดคอและยกขึ้น พาให้ตื่นตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน
“พี่ พี่ชาย! มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้…”
คิ้วรูปดาบของหลินเหราขมวดเข้าหากันแน่น ร่างทั้งร่างเหมือนถูกห่าฝนขนาดใหญ่ปกคลุม เพียงเสี้ยววินาทีก็ระเบิดออกมาทันใด
ความนิ่งสงบยามปกติของเขาก็น่าเกรงขามมากอยู่แล้ว บัดนี้สีหน้าเคร่งขรึมลง นัยน์ตาฉายแววสังหารพาให้แขกทั้งโรงเตี๊ยมหยุดนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ชายวัยกลางคนที่พูดคุยกับคนผู้นั้นอยู่ข้าง ๆ ก็รีบเข้ามาประนีประนอม “น้องชายผู้นี้! เราสองคนไม่รู้ต้นตอของเรื่องหรอก มิสู้ท่านลองไปถามลูกจ้างในโรงเตี๊ยม เขารู้ชัดเจนเลยเชียว!”
หลินเหราปล่อยมือ สายตาคู่นั้นมาหยุดอยู่ที่คนรอบตัวครู่หนึ่ง กระทั่งมีคนชี้ไปยังลูกจ้างโรงเตี๊ยมที่ขาอ่อนแรงเกาะราวบันไดอย่างกระวนกระวายใจ
ไม่รอให้ปีศาจร้ายเข้าใกล้ ลูกจ้างร้านได้รีบพูดตะกุกตะกักทันทีว่า “ท่านวีรบุรุษ! ฮูหยินท่านนั้นคือแม่ของเด็กที่หายไป แต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโรงเตี๊ยม…”
แต่แล้วก็มีผู้รักความยุติธรรมด้านข้างตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “มีเด็กหายตัวไปในโรงเตี๊ยมของเจ้า ยังจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับอีกหรือ?! เถ้าแก่อยู่ไหน ทำไมยังไม่ไปเรียกเถ้าแก่ออกมาอีก!”
ลูกจ้างเผยสีหน้าลำบากใจ ในใจก็ทั้งกังวลทั้งกลัว เมื่อสบเข้ากับดวงตาของปีศาจร้ายตนนั้น เขาก็รู้ทันทีว่ามือของอีกฝ่ายเคยเปื้อนเปรอะไปด้วยคาวเลือด ทำได้เพียงพูดขอความเมตตา “ท่านวีรบุรุษผู้รอบรู้ ท่านวีรบุรุษผู้ใสสะอาด…”
หลินเหราไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่าย เพียงแต่สัตว์ร้ายที่อยู่ในใจของเขามันสะกดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป หัวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน ทำให้รูปโฉมอันหล่อเหลาที่ไม่ธรรมดาถูกวาดออกมาเป็นลายเส้นที่ดูเย็นชาแสนสุดจะน่ากลัว
ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นชา “นางอยู่ไหน?”
ลูกจ้างในร้านตกตะลึง ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ราวกับถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า คำถามของอีกฝ่ายน่าจะหมายถึงแม่นางสกุลเหยา
เขารีบพูดว่า “ไปศาลเจ้าหลักเมืองแถวชานเมือง! โจรได้ทิ้งข้อความไว้ บอกว่าต้องการให้แม่นางเหยาไปยังศาลเจ้าหลักเมืองเพียงลำพัง!”
หลินเหลาไม่พูดมากความ เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ในทรวงอกได้เผาผลาญสติปัญญาของเขาจนมอดไหม้
อาซือและซานเป่าถูกโจรลักพาตัวไป เหตุใดถึงต้องให้อาซูไปหาคนเดียว?
อาซู…
นางไปคนเดียวจริง ๆ หรือ?
เหตุใดนางถึงได้กล้าหาญเช่นนี้?! เหตุใดนางถึงไม่ไปหาเขาก่อน?
เขาสาวเท้าวิ่งไปยังศาลเจ้าทันที โดยไม่ตระหนักถึงสายตาแปลกประหลาดของผู้คนที่เดินพลุกพล่านยามมองทางเขา ในสมองมีแค่ภาพนางที่กำลังหลับตา ร่างกายที่ไร้ซึ่งความอบอุ่นเท่านั้น…
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใคร! ใครมันบังอาจลักพาตัวอาซือกับซานเป่า แล้วข่มขู่ให้อาซูไปศาลเจ้าคนเดียว? นังตู้ใช่ไหม?
รอดูกันต่อไปค่ะว่าจะเป็นใครลักพาตัวไป แต่ตอนนี้ภาวนาขอให้อาเหราไปช่วยลูกเมียทันก่อน
ไหหม่า(海馬)