ตอนที่ 277 จะโดนทำลายอยู่แล้ว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 277 จะโดนทำลายอยู่แล้ว

ขณะมองห่อขนมในมือของสหายก็พบว่าด้านในเป็นขนมแปลกประหลาดที่ตัดแบ่งเป็น 4-5 ชิ้น มู่เกินเอ๋อร์เกือบน้ำลายไหล เขาสูดน้ำลายแล้วรีบยื่นมือน้อย ๆ ของตนออกไป

เจ้าหนูน้อยมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางสับสนน่าดู เพราะเมื่อก่อนมู่เกินเอ๋อร์ชอบรังแกคนอื่น ทุบตีโก่วเชิ่งเอ๋อร์และยังโยนพวกขยะใส่กลุ่มตน เจ้าหนูน้อยจึงไม่ชอบเด็กคนนี้เลย ! แต่…พี่รองเคยบอกว่าทุกคนล้วนมีข้อเสียทั้งนั้น คนที่รู้จักสำนึกผิดและเปลี่ยนแปลงตนเองถือว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง !

มู่เกินเอ๋อร์แบมือพร้อมยิ้มประจบ เจ้าหนูน้อยแบกรับหน้าที่เปลี่ยนเด็กเลวให้เป็นเด็กดีไว้บนบ่า เขาจึงทำหน้าเคร่งขรึม “ต่อไปเจ้าห้ามรังแกคนอื่น ห้ามโกหก เพราะเด็กที่พูดโกหกล้วนเป็นเด็กไม่ดี…โก่วเชิ่งเอ๋อร์เป็นน้องชายของเจ้า เจ้าควรปกป้องเขา ครอบครัวเดียวกันต้องรักใคร่ปรองดอง…เหมือนข้ากับพี่รอง ! ”

มู่เกินเอ๋อร์พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มประจบสอพลอ “ข้าฟังเจ้าหมดทุกอย่าง คราวหน้าหากพี่รองหลินพาเจ้าไปดักกระต่ายบนเขาอีก เจ้าพาข้าไปด้วยคนได้หรือไม่ ? ”

เจ้าหนูน้อยยื่นห่อขนมให้เขาหนึ่งห่อ แต่พอได้ยินเช่นนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ยังจะกล้าอีก ! เพราะแม่เจ้าไปอาละวาดที่บ้านข้า ท่านแม่จึงด่าพี่รองไปยกใหญ่ หลังจากนั้นพี่รองก็ไม่ยอมรับปากว่าจะพาข้าขึ้นเขาอีกเลย ! ”

มู่เกินเอ๋อร์ก้มหน้าด้วยความผิดหวัง นั่นมันมารดาของตน คนอื่นว่านางได้แต่เขาทำไม่ได้ แม้เจ้าหนูน้อยจะไม่ชอบเขามาก แต่ก็ยังแบ่งมุมเค้กชิ้นเล็กให้เขาหลายชิ้น

มู่เกินเอ๋อร์รีบหยิบขนมเข้าปาก…หอม หวาน นิ่มและอร่อยมากเลย ! เขาไม่เคยกินขนมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน มันอร่อยจน…แทบจะร้องไห้ !

มู่เกินเอ๋อร์ตัดสินใจในทันทีว่าต่อไปนี้จะเป็นสหายกับเจ้าหนูน้อยและเชื่อฟังทุกอย่าง ! ขอแค่ได้กินของที่อร่อยเช่นนี้บ่อย ๆ แม้จะต้องเป็นลูกน้อง เขาก็เต็มใจ !

“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดวันนี้จึงมีเค้ก ? ” เหล่าสหายของเจ้าหนูน้อยส่ายหน้า เขาจึงกล่าวต่อ “เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของพี่โม่หาน ! มา ข้าจะสอนพวกเจ้าร้องเพลงอวยพรวันเกิด ! ”

ผ่านไปไม่นาน ชาวฉือหลี่โกวที่ผ่านเข้าออกหน้าหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงเด็กร้องเพลง ‘‘อวยพรวันเกิด (จู้หนี่เซิงรื่อไคว่เล่อ)’’ แบบทำนองผิดเพี้ยนเป็นครั้งคราว…สุขสันต์วันเกิด สุขสันต์วันเกิด สุขสันต์วันเกิด สุขสันต์วันเกิดพี่โม่หาน !

ดังนั้นชาวบ้านแทบทุกคนในฉือหลี่โกวจึงรู้ว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของบัณฑิตเจียง ! มีครอบครัวแกนนำสองสามครอบครัวไปหาผู้ใหญ่บ้าน แต่ละบ้านออกเงินกันคนละเล็กละน้อยแล้วให้บุตรชายของผู้ใหญ่บ้านขับเกวียนเข้าเขตเริ่นอันเพื่อซื้อพวกพู่กัน แท่งหมึก กระดาษและที่ฝนหมึก เมื่อถึงยามเย็นก็นำพวกมันไปมอบให้เจียงโม่หาน…

ส่วนเจ้าหนูน้อยก็หลงคิดว่าตนฝึกซ้อมจนดีแล้วจึงพาพวกสหายวิ่งกลับไปบ้านตระกูลหลิน เมื่อต่อแถวตรงหน้าเจียงโม่หานแล้ว พวกเขาก็เริ่มแหกปากร้องเพลงหลายต่อหลายรอบ เจียงโม่หานแทบอยากเอาถังคลุมศีรษะ…แต่ละประโยคไม่มีทำนองแม้แต่น้อย หูของเขาจะโดนทำลายอยู่แล้ว

หลินเว่ยเว่ยเห็นสีหน้าของบัณฑิตน้อยจึงหัวเราะจนตัวงอ แต่นางก็ยังใจดีช่วยเขาไล่พวกเด็ก ๆ ให้ออกไปเล่นข้างนอก !

เจียงโม่หานวางตำราแล้วเดินมาหาหลินเว่ยเว่ยเพื่อดูว่าของขวัญวันเกิดของตนคือสิ่งใด หลินเว่ยเว่ยชำเลืองมองเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดจะหลบหน่อยหรือ ? เจ้ามองเช่นนี้จะไม่เหลือสิ่งใดให้ประหลาดใจแล้ว ! ”

“ตอนนี้ข้าก็พอเดาออกว่าเจ้าคิดจะทำสิ่งใด ยังมีอันใดให้แปลกใจอีกหรือ ? ” เจียงโม่หานตอบกลับนางด้วยน้ำเสียงสบาย จากนั้นก็หยิบมุมเค้กที่ถูกตัดออกมากินหนึ่งคำ

“เช่นนั้นก็ช่างเถิด ! ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยัดไม้ไผ่ที่ใช้ในการตีไข่ให้เขาพร้อมชามที่มีไข่ขาวอยู่ด้านใน “ออกแรงตีไปทางเดียวกัน ดูนะ ทำแบบนี้ ! ”

เจียงโม่หานเริ่มขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่านางต้องเป็นคนทำของขวัญวันเกิดให้เขาหรอกหรือ ? แล้วเหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นเขาแทน ? หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ได้ให้เจ้ารู้สึกมีส่วนร่วมหรือ ? ตามคำกล่าวที่ว่าออกแรงทำเองถึงจะอร่อยที่สุด”

เจียงโม่หานขมวดคิ้วพลางถือชามใบใหญ่ไว้ในมือและออกแรงตีไข่ขาวต่อไปเรื่อย ๆ หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาตีจนมีฟองจำนวนมากแล้วจึงใส่นม น้ำมัน น้ำตาลครึ่งหนึ่งลงไปแล้วปล่อยให้บัณฑิตหนุ่มตีอีก หลังไข่ขาวเริ่มหนืดแล้ว นางก็ใส่นมวัวและน้ำตาลอีกครึ่ง แน่นอนว่ายังต้องตีต่อไปอย่างต่อเนื่อง…

เจียงโม่หานบ่นในใจ เมื่อยมือชะมัด…

กระทั่งไข่ขาวกลายเป็นเนื้อครีม แม้ไม่ถึงกับตั้งยอดทว่าเนื้อไม่ขาดออกจากกันก็ถือว่าครีมที่ตีด้วยมือเป็นอันสำเร็จ ! เจียงโม่หานวางชามลง พอคว้าตำราขึ้นมาถือแล้ว เขาก็รีบออกไปหลบยังที่ห่างไกลทันที

หลินเว่ยเว่ยยกยิ้มมุมปากอย่างได้ใจ งานเหนื่อยที่สุดของการทำเค้กผ่านไปแล้ว ขั้นตอนอื่นล้วนเป็นงานที่ต้องใช้เทคนิค บัณฑิตน้อย เจ้าหมดประโยชน์แล้ว !

หลินเว่ยเว่ยควักตรงกลางของเค้กแต่ละขนาดออกแล้วใส่ครีมลงไป จากนั้นก็วางลูกท้อเชื่อมสีเหลืองทอง ทับด้วยแยมบลูเบอร์รี่เพื่อเพิ่มรสชาติ หลังจากนั้นปาดครีมด้านนอกให้เรียบ ทำแบบนี้กับเค้กอีกสองขนาดแล้ววางซ้อนกันเป็นเค้กสามชั้น เติมสีสันของครีมด้านนอกด้วยน้ำผลไม้เบาบาง จากนั้นก็เริ่มตกแต่งบริเวณฐานของเค้กแต่ละชั้นด้วยดอกไม้แสนงดงาม

ดอกกุหลาบสีแดงบานสะพรั่ง ดอกโบตั๋นสีเหลือง ดอกกล้วยไม้สีขาวถูกบีบด้วยมือนางดอกแล้วดอกเล่า ชั้นล่างสุดเป็นดอกกุหลาบ ถัดขึ้นมาเป็นดอกกล้วยไม้และฐานของชั้นบนเป็นดอกโบตั๋น

ครีมดอกไม้ที่ราวกับเป็นของจริงพวกนี้เบ่งบานอยู่ตรงฐานเค้กทำให้ทุกคนในบ้านอดมองไม่ได้ เจ้าหนูน้อยตัวสูงไม่พอจึงต้องเหยียบบนเก้าอี้อีกที ทันใดนั้นเขาก็ต้องเอ่ยด้วยเสียงสูง “ว้าว ! สวยมาก ! พี่รอง ดอกไม้พวกนี้กินได้หรือไม่ ? ”

“ได้สิ ! ” ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เลือกเชอร์รี่ป่ามาวางบนหน้าเค้กเพื่อเพิ่มสีสัน ท้ายที่สุดก็ใช้แยมเขียนคำว่า “สุขสันต์วันเกิด บัณฑิตน้อย” ลงไปที่หน้าเค้ก !

ไม่ทราบว่าเจียงโม่หานยื่นศีรษะเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ลายมือน่าเกลียดมาก ! ”

หลินเว่ยเว่ยเถียงกลับทันที “แบบข้าเรียกว่าศิลปะ ! เจ้าเข้าใจศิลปะหรือไม่ ? ”

“ศิลปะจำเป็นต้องเขียนตัวอักษรผิดด้วยหรือ ? ” เจียงโม่หานชี้ไปยังตัวอักษรแบบตัวเต็มของคำว่า ‘สุข’ อย่างไร้ความปรานี

หลินเว่ยเว่ยรีบลบคำนั้นออกเพื่อไม่ให้หลงเหลือหลักฐาน ! จากนั้นก็ยกถุงแยมขึ้นมาใหม่อีกรอบ แต่มือนางหยุดอยู่ตรงหน้าเค้กเป็นเวลานาน ก่อนจะหันมาถามหลินจื่อเหยียนว่า “คำว่าสุขแบบตัวเต็มเขียนอย่างไร ? ”

“ข้าเขียนเป็น ข้าเขียนเป็น ! ” เจ้าหนูน้อยเริ่มกระโดดบนเก้าอี้ตัวน้อย หลินจื่อเหยียนกลัวว่าเขาไม่ทันระวังจะไปทำเค้กแสนสวยพัง จึงรีบอุ้มเขาออกมาให้ห่างจากเค้ก

เจ้าหนูน้อยมุ่ยปาก “ข้าเขียนเป็นจริง ๆ นะ ! ”

เจียงโม่หานดึงมือซ้ายของนางมาแล้วเขียนคำว่า ‘สุข’ ลงบนฝ่ามือให้ แถมปากยังพูดอย่างไม่ถนอมน้ำใจ “เห็นหรือไม่ น้องสี่ยังรู้จักอักษรมากกว่าเจ้าเสียอีก ต่อไปเจ้าต้องฝึกคัดลายมือกับเอ้อร์ฮว๋าวันละสองหน้า ! ”

ขณะที่หลินเว่ยเว่ยเขียนคำว่า ‘สุข’ ลงบนหน้าเค้ก นางก็บ่นพึมพำ “ข้าไม่ได้ไปสอบจอหงวนเสียหน่อย จะฝึกไปเพื่อเหตุใด ? แค่อ่านออกก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ? ”

“ต่อไปถ้าเจ้าจะเขียนจดหมายถึงข้าหรือเขียนบางอย่างที่เป็นความลับ เจ้าก็จะขอให้คนอื่นเขียนแทนหรือ ? ” เจียงโม่หานถลึงตาใส่นาง…ไม่เรียนย่อมไม่รู้วิชาและไม่เจริญก้าวหน้า !