ตอนที่ 278 ตีเหล็กยังต้องอาศัยกำลังตนเอง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 278 ตีเหล็กยังต้องอาศัยกำลังตนเอง

หลินเว่ยเว่ยเอ่ยด้วยความมั่นใจ “พวกเราอยู่ด้วยกันทุกวัน มีสิ่งใดก็พูดกันต่อหน้า ยังจะเขียนจดหมายอันใดอีก ? อ้อ…เจ้าอยากให้ข้าเขียนจดหมายรักเช่นนั้นหรือ ? ไม่ต้องเขียนหรอก ข้าบอกซึ่งหน้าเลยก็ได้…บัณฑิตในชุดฟ้าคราม หัวใจข้าห่วงใยเจ้า ! ไม่พบหนึ่งวันเหมือนนานสามเดือน ! ”

“แล้วก็ แล้วก็ ! นกจีจิวส่งเสียงเรียกหาคู่ เสนาะหูบนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ หนุ่มแสนดีอีกทั้งยังรูปงาม ช่างลือนามหมายปองของสตรี ! ” หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าเหมือนนักปราชญ์อาวุโส

“ข้าไม่เพียงท่องเป็น แต่ยังร้องได้ด้วย เจ้าอยากฟังหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “กกอ้อ…เขียวใบเรียวแสนผุดผ่อง ตะวันส่องต้องน้ำค้าง…เหมันต์ใส บัณฑิตน้อย…งดงาม คนึงหาอยู่…ริมฝั่งน้ำ…”

ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็หลุดหัวเราะออกมา “ฮ่า” แต่เขาก็รีบปิดปากแล้วลอบมองสีหน้าของศิษย์พี่เจียง

ตามคาดว่าสีหน้าของเจียงโม่หานไม่ได้เปลี่ยนแปลง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยดังเดิม “คำสารภาพรักที่เจ้ากล่าวออกมา ข้ารับไว้แล้ว แต่คราวหน้าช่วยหาสถานที่ไม่มีคนหน่อย คนเยอะเกินไป ข้าอาย ! แต่…อักษรก็ยังต้องฝึกคัดอยู่ดี ! ”

หลินเว่ยเว่ยหูลู่หางตกทันใด แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะต่อรอง “ข้างานยุ่งจะตายไป ฝึกคัดแผ่นเดียวได้หรือไม่ ? ”

“ถ้าหนึ่งแผ่นของเจ้าทำได้ตามมาตรฐานของข้า เช่นนั้นก็ได้ ! ” ดวงตาของเจียงโม่หานเปื้อนยิ้ม เขาใช้นิ้วปาดกลีบกุหลาบชั้นนอกมากิน

หลินเว่ยเว่ยรีบหยิบถุงบีบครีมมาแต่งเติมดอกไม้พร้อมบ่นพึมพำว่า “ช่างเถิด มาตรฐานของเจ้าสูงขนาดนั้น อย่าว่าแต่หนึ่งแผ่นเลย แม้จะเขียนสักร้อยแผ่นก็ยากเกินกว่าจะถึงมาตรฐานของเจ้า ข้ายอมรับชะตากรรมเขียนสองแผ่นต่อไปดีกว่า ! ”

หลังทำเค้กเสร็จแล้วนางก็นึกถึงเตาเผาที่ทำไว้เมื่อวานจึงเดินออกไปทางประตูหลังบ้าน เจียงโม่หานเดินตามโดยไม่คิดแม้แต่น้อยและด้านหลังของเขายังมีหนอนตามมาด้วยสองตัวและมีเจ้าดำอีกหนึ่งตัว

หลินเว่ยเว่ยลอกชั้นโคลนด้านนอกออกแล้วหยิบถ่านออกมา ถ่านพวกนี้มาจากไม้ของต้นผลไม้ หากนำไปย่างหมูหันแล้วรสชาติจะต้องดีกว่าเดิม !

เจียงโม่หานช่วยนางหยิบถ่านใส่ตะกร้าพร้อมถามอย่างเหนื่อยหน่ายใจว่า “มีสิ่งใดที่เจ้าทำไม่เป็นบ้างหรือไม่ ? ”

เด็กน้อยคนนี้แม้แต่เผาถ่านก็ทำเป็น ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดนางชอบชมตัวเองว่า ‘ทำเป็นทุกอย่าง’ อยู่บ่อยครั้ง !

“เจ้าพูดถึงการเผาถ่านนี้หรือ ! เมื่อก่อนเคยเห็นในอินเทอ…ในหนังสือ เมื่อวานก็เพิ่งลองทำเป็นครั้งแรก ข้าฉลาดบวกกับโชคดีเล็กน้อยจึงทำสำเร็จ ! ” หลินเว่ยเว่ยยกยอตนเองอย่างไม่ถ่อมตน ท่าทางภาคภูมิใจทำให้คนมองทั้งรักทั้งเกลียด !

อาหารกลางวันเป็นอาหารที่บัณฑิตน้อยชอบกินทั้งหมดและยังมีหมูหันอีกตัว หมูป่าน้อยที่มีอายุประมาณหนึ่งเดือนตัวนั้นถูกย่างออกมาได้ความสุกกำลังพอดี !

“สหายเจียงผู้ประเสริฐ ! ” เมิ่งจิ่งหง หลิ่วจงเทียนแล้วก็ยังมีเผิงหยูเหยี่ยนคู่หมั้นของบุตรสาวคนโตตระกูลหลินอีกคนมาเคาะประตูบ้านตระกูลหลินราวกับรู้เวลาเฉลิมฉลองอยู่แล้ว

เมื่อเห็นคู่หมั้นของตน บุตรสาวคนโตตระกูลหลินก็รีบเข้าไปซ่อนตัวในครัวด้วยความเขินอาย ส่วนเผิงหยูเหยี่ยนแค่เห็นเงาของคู่หมั้นก็ดีใจจนยิ้มโง่งมแล้ว ปากอ้าไม่หุบเลยทีเดียว

งานแต่งของพวกตนถูกกำหนดให้จัดขึ้นก่อนเทศกาลฤดูหนาวของปีหน้า ( ประมาณวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม ) เดิมที ความหมายของตระกูลเผิงคือจะจัดงานแต่งให้เด็กทั้งสองในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่บ้านตระกูลหลินมีความเห็นแตกต่างออกไป หรือจะกล่าวว่าจริง ๆ แล้วก็คือหลินเว่ยเว่ยไม่เห็นด้วย !

ตอนนั้นบุตรสาวคนโตตระกูลหลินหลงเข้าใจผิดว่าน้องรองแค่อยากก่อกวนจึงโมโหจนไม่สนใจกันไปพักใหญ่ !

หลินเว่ยเว่ยจึงเปิดประชุมครอบครัวเพื่ออธิบายเจตนาอันดีของตน

“ตีเหล็กยังต้องอาศัยกำลังตนเอง ! แม้จะบอกว่าตอนนี้ฐานะครอบครัวเราไม่แย่ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเผิงแล้ว ในสายตาคนอื่นเรายังใฝ่สูงอยู่ดี ! พี่ใหญ่ หรือเจ้าอยากให้คนอื่นนินทาว่าร้าย บอกว่าเจ้าพึ่งพาน้องเขยของตนมาทำให้มีงานแต่งนี้เกิดขึ้น ?

ข้าไปสืบมาแล้วว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลเผิงมีฐานะครอบครัวและสินเดิมเยอะมาก พี่สะใภ้น้องสะใภ้เป็นสิ่งที่คนมักเอาไปเปรียบเทียบได้ง่ายที่สุด หรือเจ้าอยากจะเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นตลอดไป ? ” หลินเว่ยเว่ยหันไปมองพี่สาวแล้วถามด้วยใจจริง

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินพยักหน้าด้วยความลำบากใจ “ข้าอยากเป็นเช่นนั้นที่ไหนเล่า ? แต่…สถานการณ์ของบ้านเราในตอนนี้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว…แม้ต้องเลื่อนการแต่งงานไปตอนสิ้นปีแล้วจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ ? ”

“ได้อยู่แล้ว ! ” แววตาของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจ “เจ้าดูบ้านเราสิ จากครอบครัวยากจนเปลี่ยนมามีฐานะเช่นในตอนนี้ เราใช้เวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น ก่อนถึงเทศกาลฤดูหนาวในปีหน้ายังเหลือเวลาอีกปีกว่า เจ้าคิดว่าจะเปลี่ยนสิ่งใดไม่ได้เลยหรือ ? เจ้าไม่เชื่อในตัวข้าหรือไม่เชื่อในตนเองกันแน่ ? ”

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินรีบเงยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมกำหมัดไว้ใต้โต๊ะ “ข้าเชื่อเจ้า ! เจ้าบอกมาเลยว่าต้องทำเช่นไรบ้าง ! ”

“ดี ! จงฟังข้า ! ปีหน้าสินเดิมของเจ้าจะเป็นโรงงานทอผ้า ! ให้คนทั่วหล้าได้รู้ว่าเผิงหยูเหยี่ยนแต่งเข้าแล้วได้ดี ไม่ใช่เจ้าแต่งออกแล้วได้ดี ! ” หลินเว่ยเว่ยเอื้อมมือไปตบบ่าพี่สาว ทว่านางออกแรงตบจนตัวพี่สาวแทบจะหมอบลงด้านหน้าและศีรษะก็โขกกับโต๊ะอย่างแรง

“ขอโทษที ข้าตื่นเต้นเกินไปจึงไม่ทันควบคุมแรงให้ดี ! ” หลินเว่ยเว่ยมองรอยแดงบนหน้าผากของพี่สาวแล้วขอโทษด้วยความจริงใจ !

แต่บุตรสาวคนโตตระกูลหลินไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อยเพราะนางก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าสิ่งใด “ว่าอย่างไรนะ ? โรงงานทอผ้า ? ผ้าไม่ได้มาจากทางใต้หมดหรือ ? แล้วเราจะเอารังไหมมาจากไหน ? ถ้าไปเอามาจากทางใต้แล้วต้นทุนต่าง ๆ จะต้องเพิ่มขึ้น มันไม่คุ้ม…”

“เจ้าโง่หรือไร ! ทางเหนือของเราก็เลี้ยงหนอนไหมมาช้านานแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ถามบัณฑิตน้อยสิ ! ”

ทันใดนั้นพี่สาวคนโตก็เบนสายตาอันร้อนแรงไปทางเจียงโม่หาน แต่หลินเว่ยเว่ยใช้มือเข้ามาบังตรงหน้าไว้ “คู่หมั้นของข้า ช่วยเก็บสายตาเจ้าหน่อย ! ”

เจียงโม่หานพยักหน้าภายใต้สายตาทุกคนในบ้านตระกูลหลิน “ใช่ ทางเหนือสามารถเลี้ยงหนอนไหมได้ พ่อค้าผ้าไหมรายใหญ่ที่สุดของภาคเหนือคือตระกูลเซวีย หากเจ้าอยากเพาะพันธุ์หนอนไหมก็ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด ! ”

เมื่อครึ่งปีก่อนบุตรสาวคนโตตระกูลหลินคิดว่าจุดหมายปลายทางดีที่สุดคือการแต่งกับผู้ชายที่ขยันทำงานเพราะจะไม่มีวันอดอยาก จากนั้นก็คลอดลูกสักสองสามคนเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่ในหมู่บ้านที่เหน็ดเหนื่อยเพื่อครอบครัวไปชั่วชีวิต

ทว่าในครึ่งปีมานี้ได้เห็นน้องสาวคนรอง ‘ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่’ แล้วนางก็พบว่าผู้หญิงก็สามารถทำงานได้เหมือนกันและไม่จำเป็นต้องอยู่แต่หน้าเตา ! ผู้หญิงก็สามารถทำงานจนทำให้ผู้อื่นเคารพหรืออิจฉาได้…

แม้น้องสาวจะปากร้ายไปหน่อย ใจแคบไปบ้าง แต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมาหรือเรื่องที่กระทำ ไม่มีสิ่งใดไม่เคยสำเร็จ ถ้าบอกว่าสินเดิมของนางคือโรงงานทอผ้า มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ! ดังนั้นการเกี่ยวดองกันของตระกูลหลินและตระกูลเผิงจึงถูกกำหนดให้จัดขึ้นก่อนเทศกาลฤดูหนาวของปีหน้าภายใต้ความยินยอมจากนาง

ทว่าทำให้เผิงหยูเหยี่ยนลำบากใจเพราะเดิมทีเขาคิดว่าอีกไม่นานก็ได้แต่งภรรยาเข้าบ้าน ได้กินอาหารฝีมือภรรยาทุกวัน แต่ตอนนี้ลองนับแล้วยังเหลือเวลาอีกตั้งปีกว่า

อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ตระกูลหลินให้มาก็สมเหตุสมผลมาก…พวกนางไม่อยากให้เขาเสียสมาธิแล้วถ่วงการสอบปีหน้า เพราะคำพูดประโยคนี้ มารดาจึงจับจ้องเผิงหยูเหยี่ยนอ่านตำราทุกวัน เนื่องจากน้องชายว่าที่ลูกสะใภ้สอบติดถงเซิง แม้แต่น้องเขยก็ยังสอบติดซิ่วไฉ แต่ผู้เป็นพี่เขยอย่างเขายังไม่ติดอะไรสักอย่าง

เวลาอยู่บ้านเผิงหยูเหยี่ยนเป็นเหมือนนักโทษไม่มีผิด แต่ละวันเขาถูกขังไว้ในห้องหนังสือ นอกจากอ่านตำราแล้ว พี่ชายยังส่งคนรู้หนังสือมาจับตามองเขาเพื่อไม่ให้เขาอ่านตำราไร้สาระอีกด้วย