ตอนที่ 347 ปลาบปลื้ม สมปรารถนาแล้ว (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 347 ปลาบปลื้ม สมปรารถนาแล้ว (3)

นางสวมชุดสีแดงอ่อน ม้วนผมทรงมวยเมฆลอย ไม่ได้ใส่เครื่องประดับมากมายเหมือนคนอื่นๆ สวมเพียงเครื่องหัวดอกโบตั๋นทองคำเรียบง่ายเท่านั้น แต่กลับงดงามยิ่งนัก

ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ นางไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ถึงขั้นที่ว่าตอนที่คุณหนูญาติผู้น้องตระกูลหนิงบาดเจ็บ สีหน้าของนางไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งยังไม่ได้เดินเข้าไปถามไถ่เหมือนฮูหยินทั้งสอง ยืนอยู่ข้างๆ มองด้วยแววตาเยือกเย็น คล้ายว่าไม่เกี่ยวข้องกับตน

“คนนั้นเป็นผู้ใด”

มั่วเชียนเสวี่ยฉงนสงสัย สตรีเช่นนี้ พบเจอน้อยยิ่งนัก ทำให้นางรู้สึกสนใจ

“ภรรยาเอกของหนิงเซ่าอวี่ คุณชายรองแห่งตระกูลหนิง บุตรีสายตรงของกุ้ยซื่อ อดีตหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง…กุ้ยเสี่ยวซี”

เห็นเพียงด้านข้าง ก็สวยสะพรั่งราวกับดอกไม้ สง่างามยิ่งนัก ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ

นางเข้าใจมาโดยตลอดว่า คนอย่างหนิงเซ่าอวี่ ควรจะได้สตรีที่มีอำนาจ สตรีที่เหี้ยมโหดมาเป็นภรรยา เพราะถึงอย่างไรก็ชั่วช้าเหมือนกัน!

ทว่าคิดไม่ถึง สัตว์เดรัจฉานที่ฆ่าทำลายพี่ชายแท้ๆ ของตนเอง กลับได้ครอบครองหญิงที่รูปโฉมงดงามทำให้ดวงตาทอประกายทันทีที่พบเจอเช่นนี้มาเป็นภรรยา ช่าง…น่าเสียดายจริงๆ

เป็นจริงตามคำกล่าวที่ว่า ผักกาดขาวต้นงามถูกหมูเอาไปกิน

ผักกาดขาวที่น่าสงสารของข้า ก็ถูกหนิงเซ่าชิง…ชิ่วๆๆ คิดอะไรเนี่ย! ใต้หล้านี้หมูที่อ่อนโยน รูปโฉมงดงามราวกับเทพเซียนที่มนุษย์กราบไหว้เช่นหนิงเซ่าชิงด้วยหรือ เกรงว่าสตรีทุกคนในราชวงศ์เทียนฉีแทบอยากจะแปลงกายเป็นผักกาดขาวกันหมดแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปที่กุ้ยเสี่ยวซี คล้ายว่ากุ้ยเสี่ยวซีก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองไป นางหันหน้า มองมาที่มั่วเชียนเสวี่ย!

ชั่วขณะหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธความคิดเมื่อครู่ของตนอย่างเฉียบขาด!

สุกรได้เพียงผักกาดขาวเน่าๆ เท่านั้น สตรีคนนี้ต้องไม่ใช่ผักที่ดีอย่างแน่นอน

แววตาของสตรีคนนี้ที่มองมาทางตน ให้ความรู้สึกคล้ายอยากจะถลกหนังตนทั้งเป็น ชั่วขณะหนึ่งมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่า ตนต้องตาบอดไปแล้วแน่ๆ! มิเช่นนั้นเหตุใดจึงมองว่ากุ้ยเสี่ยวซีเป็นคนดีเล่า

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ชอบที่จะเป็นเป้าให้ผู้อื่นพุ่งมีดบินมาหาตน ดังนั้นนางจึงถอนสายตากลับ

เผชิญหน้ากับแววตาริษยาเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยชินกับการทำเป็นมองไม่เห็น หากมองโต้กลับ ด้วยฐานะว่าที่นายหญิงของตระกูลที่สตรีมากมายหมายตา นางคงต้องตาเหล่แน่นอน

มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงไม่มอง ทั้งยังหัวเราะเสียงเบาอย่างไม่ใส่ใจ

ทว่าท่านหญิงซูซูกลับร้อนใจ นางมองค้อนไปที่มั่วเชียนเสวี่ย “เจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ ยามคับขันเช่นนี้ กลับมีอารมณ์หัวเราะเช่นนั้นหรือ รอไปเถอะ สตรีพวกนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ต้องหาเรื่องเจ้าแน่นอน!”

หัวไปมองท่านหญิงซูซูอีกครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยหุบยิ้ม ทำสีหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยินสองท่านนี้เป็นบุตรีตระกูลใด เป็นที่โปรดปรานหรือไม่” รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

แม้ท่านหญิงซูซูจะไม่ค่อยสนใจเรื่องของสตรีเท่าใดนัก แต่ในเมื่อนางรู้จักพวกนาง เช่นนั้นย่อมรู้ว่าพวกนางเป็นคนตระกูลใด

“ฮูหยินสองคนนี้ ล้วนเป็นหลานสาวฝ่ายครอบครัวฮูหยินผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหนิง พวกนางล้วนแซ่อวี่เหวิน ตระกูลอวี่เหวินไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ได้ยินว่าเป็นตระกูลที่มีอำนาจในชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ เป็นตระกูลโบราณที่ตัดขาดจากสังคม”

“สำหรับเรื่องที่ว่าเป็นที่โปรดปรานหรือไม่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่เคยได้ยินเสด็จแม่ของข้าบอกว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ฮูหยินที่หัวหน้าตระกูลหนิงโปรดปรานมากที่สุดคือจื่อฮูหยิน…”

มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะในลำคอ ไม่ใช่ภรรยาเอก ไม่มีลูกชาย ทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปราน ไม่แปลกที่สวมเครื่องประดับเต็มตัวเช่นนี้

สมบัติตระกูลหนิง ที่พวกนางนำออกมาโอ้อวดได้ เกรงว่ามีเพียงเท่านี้ ช่างน่าสงสารและน่าสลด!

ท่านหญิงซูซูยังพูดไม่จบ ฮูหยินที่เมื่อครู่ถามไถ่อาการของอวี่เหวินหันเหล่ยก็หมุนตัวหันหลังพร้อมกัน จ้องมั่วเชียนเสวี่ยเขม็ง!

เหมยฮูหยินมองมั่วเชียนเสวี่ย หัวคิ้วของนางยกสูง “คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”

ทางด้านจิ้งฮูหยินพูดจาประชดประชัน “ชิๆๆ สภาพของเจ้า จืดชืดสิ้นดี ยังกล้าออกมาอีกหรือ ไม่กลัวขายหน้าตระกูลหนิงหรืออย่างไร เป็นเพราะหัวหน้าตระกูลหนิงของพวกข้า รู้จักตอบแทนบุญคุณ จึงทูลขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทยอมแต่งงานกับสตรีที่ชื่อเสียงป่นปี้เช่นเจ้า เจ้าไม่เพียงไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณ ทั้งยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ รังแกพี่น้องในอนาคตในที่สาธารณะ ยังไม่ได้ตบแต่งเข้าตระกูลก็ทำผิดเจ็ดขับแล้ว วันนี้ข้าและฮูหยินเหมายจะสั่งสอนเจ้าล่วงหน้า ให้เจ้ารู้ระเบียบของสตรีตระกูลหนิง”

สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยจนปัญญายิ่งนัก

คุกเข่า? นางมีสิทธิ์อันใดให้ตนคุกเข่า ตลกสิ้นดี เรียกอย่างไพเราะว่าฮูหยิน แต่ความเป็นจริงก็เป็นแค่อนุภรรยาเท่านั้น เมื่อนางตบแต่งเข้าตระกูล นางก็เป็นฮูหยินของหัวหน้าตระกูล พวกนางมีสิทธิ์อันใดมาสั่งสอนนาง!

แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะหัวเราะเย้ยหยันในใจ แต่ความคิดของนางกลับแล่นอย่างรวดเร็ว ฮูหยินสองคนนี้เป็นหลานสาวฝ่ายครอบครัวฮูหยินผู้เฒ่าภรรยาผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลหนิง อวี่เหวินหันเหล่ยเป็นหลานสาวของเหล่าฮูหยิน ยังจะมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก

หากเพียงพวกนางสองคน จะมีความกล้าใดมาหาเรื่องนาง นี่มีอะไรให้ต้องวิเคราะห์อีก นางยังไม่ทันแต่งเข้าตระกูล เหล่าฮูหยินก็ยื่นมือมาหาตนแล้ว ต้องการที่จะแสดงอำนาจให้นางเห็นชัดๆ

สตรีคนใดบ้างที่จะไม่มีความเห็นแก่ตัว เกรงว่าเหล่าฮูหยินอยากจะให้สตรีตระกูลอวี่เหวินมีอำนาจในเรือนหลังของตระกูลหนิงอีกครั้ง แค่ว่าตนชิงตำแหน่งนั้นไปก่อน…

หากนางเป็นเสวี่ยเอ๋อร์ตัวจริง ยังคงขวัญอ่อน เวลานี้ยอมคุกเข่า หรือว่ายืนนิ่งแล้วยอมขอโทษ เกรงว่าวันข้างหน้าหลังจากแต่งเข้าตระกูลหนิงแล้ว นางคงไม่มีที่ให้ยืน

ทว่า ฮูหยินผู้เฒ่าคนหนึ่งที่สามารถดูแลเรือนหลังของตระกูลใหญ่ได้ ไม่มีทางที่จะใจร้อนเช่นนี้ ยิ่งไม่มีวันให้คนเช่นนี้มาหาเรื่องตน นี่น่าจะเป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น

แน่นอน หากหยั่งเชิงได้ดี อาศัยโอกาสนี้กำจัดนางได้ แย่เพียงใดก็ทำให้นางหวาดกลัวได้…

เมื่อเข้าใจเรื่องราวต่างๆ แล้ว ดวงตากลมโตทอประกายของมั่วเชียนเสวี่ย มองฮูหยินทั้งสองคนตรงหน้าด้วยความฉงน แสดงละคร? นางก็แสดงเป็นเหมือนกัน “ฮูหยินท่านนั้นคือผู้ใด แล้วท่านคือผู้ใด”

พวกเจ้าจะให้ข้าคุกเข่าไม่ใช่หรือ แต่พวกเจ้ายังไม่แม้แต่จะบอกว่าตนเป็นใคร แล้วข้าจะคุกเข่าให้เจ้าเพื่อการใด

รอพวกนางบอกตัวตน มั่วเชียนเสวี่ยก็สามารถโต้กลับไปได้แล้ว

“กล้าดียิ่งนัก! พวกข้าเป็นใคร เจ้าไม่มีสิทธิ์ถาม บอกให้เจ้าคุกเข่าก็คุกเข่า!” คนที่พูดในครั้งนี้ คือเหมยฮูหยิน

หลังจากสิ้นเสียง จิ้งฮูหยินพูดขึ้นอีกครั้ง “รีบคุกเข่าคำนับหันเหล่ยของพวกข้า แล้วขอโทษเดี๋ยวนี้ สุดท้ายยกน้ำชาขึ้นคำนับด้วย หันเหล่ยของพวกข้าเป็นคนใจกว้าง ไม่ถือสาคนอย่างเจ้า มิเช่นนั้น เจ้าจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”

พูดจาโอหังเช่นนี้ ไม่กลัวว่าลมจะพัดฟันร่วงอีกคนหรือ

ครั้งนี้ แม้แค่แสดงละครมั่วเชียนเสวี่ยก็ขี้คร้านจะแสดง ในเมื่อสตรีทั้งสองไม่ทำตามแผน เช่นนั้นนางจะใช้ไม้แข็ง

มั่วเชียนเสวี่ยเก็บความอ่อนโยน พูดขึ้นช้าๆ “ฮูหยินท่านนี้ ท่านไม่แม้แต่จะกล้าบอกข้าว่าท่านเป็นใคร แต่กลับบอกให้ข้าคุกเข่า ท่านคิดว่าตนเองเป็นเจินหวนหรืออย่างไร ทุกคนต้องเชื่อฟังท่าน หากสมองเจ็บไข้ก็ไปรักษา นั่นเป็นการเจ็บป่วย ต้องรักษา!”

พูดจบ หมุนตัวหันหลัง มั่วเชียนเสวี่ยไม่คิดจะสนใจพวกนางอีก

มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจว่าสตรีคนนี้คือจิ้งฮูหยินหรือว่าฮูหย่าเน่า เป็นอนุภรรยาของตระกูลหนิงแล้วอย่างไรเล่า ไม่ใช่มารดาของหนิงเซ่าชิงเสียหน่อย ในเมื่อไม่ใช่แม่สามี นางก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเคารพพวกนาง