ตอนที่ 318 องค์หญิงแคว้นเยี่ยน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 318 องค์หญิงแคว้นเยี่ยน

“ปิดประตู!” สตรีลึกลับที่เข้าไปในห้องโถงเอ่ยกระซิบสั่ง

หนิวโหย่วเต้าตะลึงงัน บุรุษสตรีอยู่ในห้องเดียวกันตามลำพังเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ? แต่สุดท้ายก็ปิดประตูห้องโถงตามที่อีกฝ่ายบอก

ปิดประตูด้วยหรือ? พวกลิ่งหูชิวที่สังเกตการณ์อยู่ด้านนอกมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ถึงทำตัวมีลับลมคมในเช่นนี้

ภายในห้อง หนิวโหย่วเต้าไม่ทราบว่าสตรีลึกลับผู้นี้เป็นใคร ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทราบว่าสมควรจะเรียกขานอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี

สองมือของสตรีลึกลับยื่นออกมาจากเสื้อคลุม ยกหมวกคลุมขึ้น ค่อยๆ เลิกไปไว้ด้านหลัง เผยดวงหน้างดงามที่กระทั่งจันทร์ยังต้องหลบมวลผกายังต้องอายออกมา บุคลิกอ่อนโยนบอบบาง อายุคล้ายจะยังไม่มากนัก ดูเหมือนจะอ่อนวัยกว่าตนด้วยซ้ำ แต่หว่างคิ้วแววตากลับดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง ซ้ำยังแผ่รัศมีความสูงศักดิ์ที่มีมาแต่กำเนิดออกมาด้วย

สตรีนางนี้ถึงแม้จะงดงาม แต่หนิวโหย่วเต้าไม่รู้จักอย่างสิ้นเชิง เขาถามด้วยความสงสัย “แม่นางคือ?”

สตรีลึกลับถามกลับ “ผู้ดูแลหลวงไม่ได้บอกท่านไว้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เปล่า เขาบอกเพียงว่าจะมีชาวแคว้นเยี่ยนคนหนึ่งมาพบข้า”

สตรีลึกลับเอ่ยว่า “ข้าแซ่ซาง นามว่าเสวี่ย”

ซางหรือ? ราชสกุลแห่งแคว้นเยี่ยน! หนิวโหย่วเต้าตกตะลึงไปอีกครั้ง คิดได้ว่าในเมื่อเป็นคนที่ทำให้ผู้ดูแลหลวงอย่างปู้สวินแนะนำมาเป็นพิเศษได้ อีกฝ่ายก็น่าไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน จึงถามด้วยความฉงน “ท่านคือเชื้อพระวงศ์แคว้นเยี่ยนหรือ?”

ซางเสวี่ยกล่าวว่า “สวามีของข้าคือเฮ่าหงองค์ชายรองแห่งแคว้นฉี ส่วนฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนคือพระบิดาของข้า ข้าอภิเษกมายังแคว้นฉีได้สี่ปีแล้ว”

องค์หญิงแห่งแคว้นเยี่ยนหรือ? หนิวโหย่วเต้าผงะไป ธิดาของซางเจี้ยนสยง เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างซางเฉาจงและองค์หญิงผู้นี้ก็คือลูกพี่ลูกน้องมิใช่หรือ?

เมื่อมองจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่แล้ว ถึงแม้ตัวคนจะงดงาม แต่กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์ของคนชั้นสูงแห่งที่ราบทุ่งหญ้า

ซางเสวี่ยเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกว่า “ทำไม? คิดว่าไม่เหมือนอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะๆ กระหม่อมคารวะองค์หญิง” หนิวโหย่วเต้าที่ได้สติกลับมารีบทำความเคารพทันที จากนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงคิดว่าองค์หญิงยังดูอ่อนชันษา ไม่คิดเลยว่าจะอภิเษกมายังแคว้นฉีได้สี่ปีแล้ว”

ซางเสวี่ยเอ่ยยิ้มๆ “คุณชายช่างพูดเสียจริง ข้าไม่อ่อนเยาว์แล้ว อายุสิบเก้าแล้ว เป็นมารดาที่มีบุตรสองคนแล้ว”

“…..” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก อายุสิบเก้าไม่อ่อนเยาว์แล้วอย่างนั้นหรือ? อายุสิบเก้าคลอดบุตรสองคนแล้วอย่างนั้นหรือ? ก็แปลว่าออกเรือนตั้งแต่อายุสิบห้า

เขาพยายามดึงสติกลับมาอีกครั้ง ปรับแนวคิดที่ค่อนข้างว้าวุ่นของตนให้เข้ากับยุคสมัยนี้ ยุคสมัยนี้การที่สตรีออกเรือนตอนอายุสิบห้าสิบหกดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา ซางซูชิงที่อายุย่างยี่สิบแล้วยังไม่ออกเรือนดูเหมือนจะกลายเป็นสาวเทื้อไปเสียแล้ว

ซางเสวี่ยเอ่ยถาม “คุณชายคิดจะยืนคุยกับข้าแบบนี้อย่างนั้นหรือ?”

“หือ? โอ้! เสียมารยาทแล้ว เชิญองค์หญิงนั่งพ่ะย่ะค่ะ!” หนิวโหย่วเต้ารีบผายมือเชิญ

ซางเสวี่ยเดินไปยังที่นั่ง ค่อยๆ นั่งลง ถอนหายใจแล้วเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ปีที่ห้าร้อยยี่สิบตามรัชศกแคว้นอู่ แคว้นยี่ยนทำศึกกับแคว้นหาน เสด็จพ่อส่งข้ามาอภิเษกที่แคว้นฉี พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ปีแล้ว จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยได้กลับไปที่แคว้นเยี่ยนอีกเลย ทำได้เพียงคะนึงถึงมาตุภูมิเท่านั้น ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้เสด็จพ่อและท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

ท่าทางคล้ายเด็กน้อยที่เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร

ศึกระหว่างแคว้นเยี่ยนและแคว้นหานหรือ? หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว องค์หญิงผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ถูกส่งมาสมรสเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉีในตอนนั้น ได้ยินว่ายามนั้นมีองค์หญิงในราชวงศ์ถูกส่งไปสมรสเชื่อมสัมพันธ์พร้อมกันหลายคน

“องค์หญิงเสด็จมาพบกระหม่อมในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หนิวโหย่วเต้าถาม

ซางเสวี่ยกล่าวว่า “ท่านเป็นคนของญาติผู้พี่กระมัง? ได้ยินว่าซางเฉาจงญาติผู้พี่ของข้าเกิดความขัดแย้งกับเสด็จพ่อของข้า”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของพระองค์ กระหม่อมไม่ทราบกระจ่างนัก พระองค์และท่านอ๋องน่าจะรู้ดีกว่ามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ความหมายในวาจาคือเรื่องในบ้านของพวกท่าน ตัวท่านรู้ดีที่สุด ไยต้องถามข้าอีก?

ซางเสวี่ยพยักหน้ารับพลางเอ่ยไปว่า “จะบอกว่ารู้ดีก็ไม่ได้ น่าจะเรียกได้ว่าข้าให้ความสนใจญาติผู้พี่ ทว่าญาติผู้พี่อาจจะไม่ได้สนใจข้ามากนัก มีองค์หญิงอยู่มากมายปานนั้น ญาติผู้พี่จะมาให้ความสนใจเสียทุกคนก็คงไม่ได้ ประกอบกับยามนั้นญาติผู้พี่มักจะอยู่ในกองทัพเป็นหลัก ส่วนเสด็จพ่อก็มีธิดามากมาย ข้าเป็นเพียงธิดาที่ถือกำเนิดจากพระสนมคนหนึ่ง แม้จะกล่าวว่าเป็นองค์หญิง แต่อาจจะเทียบกับธิดาของเสด็จอาหนิงอ๋องที่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีองค์หญิงมากมาย ทว่าหนิงอ๋องผู้กุมอำนาจกำลังทหารกลับมีธิดาเพียงคนเดียวเท่านั้น ผู้ใดจะสำคัญกว่ากันเพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ”

“จำได้ว่าในปีนั้น ท่านแม่มักจะพร่ำเตือนข้าอยู่เสมอ บอกว่าแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังต้องให้เกียรติเสด็จอาหนิงอ๋องอยู่สามส่วน หากข้าพบหน้าพวกญาติผู้พี่ต้องห้ามเสียมารยาท ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ อันที่จริงก็หาใช่เพียงข้าไม่ แต่องค์หญิงที่ถือกำเนิดจากสนมหากพบหน้าพวกญาติผู้พี่ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าทำตัวหยาบคายไม่ให้เกียรติ เสด็จอาหนิงอ๋องกุมอำนาจกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเยี่ยนไว้ ภายหลังเสด็จอาหนิงอ๋องประสบเหตุสิ้นบุญไป แม่ทัพเซ่าเติงอวิ๋นก็แปรพักตร์ เป็นเหตุให้แคว้นหานบุกโจมตีแคว้นเยี่ยน และเป็นเหตุที่ทำให้ข้าต้องอภิเษกมายังแคว้นฉี หากว่าเสด็จว่าหนิงอ๋องยังอยู่ เกรงว่าชะตากรรมของข้าคงแตกต่างออกไป”

ในมุมมองของหนิวโหย่วเต้า แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยแบ่งแยกคนดีและคนชั่วออกจากกันอย่างชัดเจน แต่ละคนล้วนมีจุดยืนที่แตกต่างกันออกไปในหลากหลายเรื่องราว มุมมองในการแยกแยะถูกผิดก็แตกต่างกันไปด้วย เขาพอจะเข้าใจถึงความหวาดหวั่นที่ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนมีต่อน้องชายผู้กุมอำนาจการทหารไว้ แม้แต่ลูกเมียของฮ่องเต้ก็ยังต้องถ่อมตัวอ่อนน้อม ความรู้สึกจะเป็นเช่นไร เพียงคิดดูก็รู้แล้ว ความกังวลที่ว่านั้นพอจะเข้าใจได้เช่นกัน แต่หากมององค์ฮ่องเต้ด้วยมุมมองของพวกหนิงอ๋องพ่อลูกแล้ว คาดว่าคงรู้สึกขุ่นข้องแค้นเคืองเช่นกัน

เพียงแต่หากมองในมุมของตัวเขาแล้ว ทุกคนต่างมีนายของตัวเอง เขายังคงต้องช่วยพูดชี้แจงถึงความลำบากของซางเฉาจงเช่นกัน “ก่อนองค์หญิงจะออกเรือนไป ดูเหมือนท่านอ๋องจะถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงแล้ว เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ!”

ความหมายในวาจาคือซางเฉาจงน่าเวทนากว่าท่านเสียอีก

ซางเสวี่ยเอ่ยว่า “นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้ามาในครั้งนี้ ใต้หล้าตกอยู่ในความโกลาหล แต่ละแคว้นแก่งแย่งอำนาจ ชะตาชีวิตของคนมากมายในโลกหล้าก็ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเคยมีปมบาดหมางอันใด แต่สุดท้ายทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เสด็จพ่อไม่ต้องการให้แคว้นเยี่ยนแตกแยกล่มสลาย หรือว่าญาติผู้พี่อยากเห็นกันเล่า? ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไยต้องต้องสู้ชิงอำนาจกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย? ข้าสามารถไปเกลี้ยกล่อมทางฝั่งเสด็จพ่อให้ได้ ส่วนทางฝั่งญาติผู้พี่ หวังว่าคุณชายจะช่วยโน้มน้าวเช่นกัน อย่าปล่อยให้เกิดเรื่องประเภทที่ญาติพี่น้องห้ำหั่นกันแล้วคนนอกได้ประโยชน์ไปเลย”

ทั้งสองสนทนากันอยู่นานจนดึกดื่นถึงได้สิ้นสุดลง ซางเสวี่ยยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้หนิวโหย่วเต้า จากนั้นลุกขึ้นขอตัวลาไป

หนิวโหย่วเต้าออกไปส่งที่หน้าประตูด้วยตัวเอง

ก่อนจากไป เผยซานเหนียงได้มองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาลุ่มลึกมีนัยอีกครั้ง นางเองก็ไม่เข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเรื่องราวนี้เช่นกัน ตอนแรกเป็นปู้สวินมาหาก่อน จากนั้นก็เป็นพระชายาที่มาหา

หลังจากส่งแขกจากไป พอกลับเข้ามาในเรือน ลิ่งหูชิวที่ตามติดประหนึ่งเงาตามตัวก็เข้ามาซักถามอีกครั้ง “ผู้มาทำตัวลึกลับนัก เป็นผู้ใดกัน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พระชายาซางเสวี่ย”

ลิ่งหูชิวเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ซางเสวี่ยชายาองค์ชายรองเฮ่าหงน่ะหรือ?”

“พี่รองรู้ข่าวสารรอบด้านเสียจริง” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยถาม “สถานการณ์ปัจจุบันในแคว้นฉีของพระชายาคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

ลิ่งหูชิวตอบว่า “ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรจึงทราบไม่ชัดแจ้ง คาดว่าคงไม่ตกระกำลำบากนัก ถึงอย่างไรก็เป็นธิดาจักรพรรดิแคว้นเยี่ยน แคว้นเยี่ยนยังนับเป็นแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่งอยู่ บ้านฝ่ายมารดามีอำนาจถึงเพียงนั้น แคว้นฉีไม่มีเหตุผลที่ต้องข่มเหงรังแกเลย เพียงแต่องค์ชายรองคนนี้คือผู้ที่มีกำลังพอจะเข้าท้าชิงตำแหน่งรัชทายาทได้ ทางแคว้นฉียังไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เจ้าเคยได้ยินเรื่องไทเฮาซางโย่วหลานแห่งแค้วนจ้าวหรือไม่? หากองค์ชายรองได้เป็นรัชทายาท สตรีนางนี้อาจจะกลายเป็นฮองเฮาแห่งแคว้นฉีในสักวันหนึ่ง มีโอกาสที่จะกลายเป็นซางโย่วหลานคนที่สอง!”

พอได้ฟัง หนิวโหย่วเต้าก็เริ่มใช้ความคิด

ซางเสวี่ยมาเป็นตัวกลางประสานรอยร้าว หวังให้ซางเจี้ยนสยงและซางเฉาจงยอมสมานฉันท์กัน

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเข้าใจถึงจุดประสงที่ปู้สวินมาหาเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเฮ่าอวิ๋นถูไม่ต้องการให้แคว้นเยี่ยนเกิดความวุ่นวายขึ้นในยามนี้ คาดว่าคงคิดจะควบคุมสถานการณ์ผ่านตัวบุคคลที่อยู่ในเรื่องราว มิเช่นนั้นคงไม่มาหาเขา

แรกเริ่มเขาคิดแค่ว่าซางเสวี่ยมาที่นี้เพราะเจตนาของเฮ่าอวิ๋นถู ไม่คิดเลยว่าในเรื่องนี้จะยังเกี่ยวพันไปถึงการชิงตำแหน่งรัชทายาทแห่งแคว้นฉีด้วย!

ตอนนี้ดูแล้ว การที่ซางเสวี่ยพยายามเอ่ยโน้มน้าวอย่างสุดกำลัง คงมิใช่แค่เพราะหวังให้สถานการณ์ทางแคว้นเยี่ยนสงบมั่นคงเท่านั้น หากแต่ยังใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ในแคว้นฉีของตนด้วย

เฮ่าอวิ๋นถูไม่อยากให้แคว้นเยี่ยนเกิดความวุ่นวาย ซางเสวี่ยก็ไม่ต้องการให้แคว้นเยี่ยนวุ่นวาย ซางเจี้ยนสยงย่อมไม่ปรารถนาให้แคว้นเยี่ยนเกิดความวุ่นวาย ซางเฉาจงก็คงไม่ต้องการเช่นกัน

แต่เกรงว่าเรื่องราวบางอย่างจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับซางเฉาจง คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของซางเฉาจงเหล่านั้น แล้วก็ยังมีสำนักหยกสวรรค์ คาดว่าคงต้องการผลักดันให้ซางเฉาจงเดินหน้าต่อไป ส่วนเรื่องที่ว่าสกุลซางจะเกิดศึกสายเลือดหรือไม่ นั่นมิใช่เรื่องที่พวกเขาสนใจเลย ทุกคนล้วนต้องการไขว่คว้าผลประโยชน์ของตนทั้งสิ้น

แม้กระทั่งตัวเขาหนิวโหย่วเต้า การที่เขายอมเสี่ยงภัยมาจัดการเรื่องม้าศึกทางนี้ก็เพราะเหตุผลใดเล่า? เพราะหวังจะผลักดันให้ซางเฉาจงเดินหน้าต่อไปเช่นกัน หากว่าซางเฉาจงไม่เดินหน้าต่อ หากว่าซางเฉาจงพึงพอใจกับผลประโยชน์อันน้อยนิดที่ได้มา ไม่ช้าก็เร็วจังหวัดชิงซานจะต้องเผชิญหายนะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อตัวเขาหนิวโหย่วเต้าด้วย ในเมื่อลงมาข้องเกี่ยวกับปัญหานี้แล้ว สถานที่เล็กๆ อย่างจังหวัดชิงซานไม่มีทางปกป้องเขาไปได้ตลอด ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็นเช่นกัน

เมื่อซางเฉาจงเลือกเดินไปบนเส้นทางนี้แล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

หนิวโหย่วเต้าทราบแก่ใจดี ต่อให้ซางเจี้ยนสยงจะอยากปรองดองอยู่กันอย่างสงบก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย ซางเฉาจงจะเข้าตีชิงมณฑลหนานโจวในไม่ช้าก็เร็ว

ซึ่งเขาไม่เชื่อว่าเฮ่าอวิ๋นถูจะมองในจุดนี้ไม่ออก เพียงแต่เฮ่าอวิ๋นถูผู้นี้ทางหนึ่งก็มอบม้าศึกให้เขา ส่วนอีกทางก็ส่งซางเสวี่ยมาเป็นตัวกลางสมานรอยร้าว ไม่ทราบเลยว่าจะเล่นลูกไม้อันใดกันแน่

ความเข้าใจต่อสถานการณ์ของเขามีจำกัด เขายังไม่เคยนำสถานการณ์ในแต่ละแคว้นมาครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างจริงจังมาก่อน ดังนั้นจึงเข้าใจรูปการณ์ไม่กระจ่างนัก

แต่หลังจากเผชิญกับเหตุการณ์ครั้งนี้ มุมมองของเขาเปิดกว้างขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว คิดไว้ในใจแล้วว่าจะเริ่มทำความเข้าใจเรื่องราวระหว่างแคว้นแต่ละแคว้น

“แต่เจ้าไม่รู้อะไร แม้นราชวงศ์อู่ล่มจะสลายมาหลายร้อยปีแล้ว แต่สถานะเชื้อพระองค์ของสกุลซางยังคงอยู่ในใจปวงประชาทั่วหล้า ก็เหมือนที่เกิดความแตกแยกวุ่นวายไม่อาจรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ในความเป็นจริงทุกคนก็ยังนับวันเวลาตามรัชศกอู่อยู่ อีกทั้งทุกคนต่างทราบถึงความงามของสตรีทั้งหลายในราชวงศ์ซางดี สายเลือดราชวงศ์ซางทรงอำนาจนัก ไม่มีผู้ใดเทียบชั้นได้ แน่นอนว่าน้องสาวคนนั้นของท่านอ๋องเจ้าคือข้อยกเว้น ประกอบกับสตรีในราชวงศ์ซางคือชนรุ่นหลังของอดีตยอดสตรีอันดับหนึ่งในใต้หล้า จึงกลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ในใจของปวงประชาไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นดูเหมือนจะมีคนมากมายที่ยังชื่นชอบการสมรสเกี่ยวดองกับสตรีในสกุลซางอยู่ เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงตำแหน่งและสถานะ…”

ลิ่งหูชิวพูดเจื้อยแจ้วอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็วกกลับมาถามเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง “เออใช่ สรุปแล้วพระชายาคนนี้มาหาเจ้าด้วยเรื่องใด?”

“ก็ไม่มีอะไรมาก หลังจากนางจากแคว้นเยี่ยนมาก็ไม่เคยได้หวนกลับไปอีก ได้ยินว่าข้ามาจากแคว้นเยี่ยน ด้วยความคิดถึงบ้านเกิด ประกอบกับท่านอ๋องนายของข้าคือญาติผู้พี่ของนาง ดังนั้นจึงอยากมาคุยเล่นกับข้า ถามไถ่ถึงสถานการณ์ทางแคว้นเยี่ยน” หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองเขาคราหนึ่ง เอ่ยจบก็เดินจากไป

เรื่องใดควรพูดเรื่องใดไม่ควรพูด ตัวเขาแยกแยะได้ เขาแค่ต้องการรั้งอีกฝ่ายเอาไว้แบบนี้ รั้งเอาไว้ใช้ในสถานการณ์คับขัน

“….” ลิ่งหูชิวมองดูเขาเดินจากไปอย่างงุนงง สบถด่าอยู่ในใจ ‘เก็บไว้หลอกคนบ้าเถอะ พระชายาผู้สูงศักดิ์ ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังถ่อมาสนทนากับเจ้าในห้องตามลำพัง เพื่อคุยเล่นเนี่ยนะ?’

หงซิ่วเดินเข้ามากระซิบบอกเขาว่า “นายท่าน เดี๋ยวก็ผู้ดูแลหลวง เดี๋ยวก็พระชายาคนนี้ พวกเขาต้องกำลังวางแผนลับอันใดที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”

“เฮ้อ!” ลิ่งหูชิวถอนหายใจเบาๆ “ก็พอจะมองออก…ดูเหมือนจะต้องหาทางทำให้เขาไว้วางใจมากขึ้นกว่านี้ คงยังไม่สนิทใจกันมากพอ!”

……………………………………………………………………………….