ตอนที่ 319 ได้รับความสะเทือนใจ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 319 ได้รับความสะเทือนใจ

หงซิ่วเอ่ยว่า “นายท่าน อันที่จริงไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นเลยเจ้าค่ะ”

ลิ่งหูชิวหันไปมองนางพลางเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

หงซิ่วกวาดตามองไปรอบๆ เล็กน้อย เอ่ยกระซิบ “หากนายท่านสงสัยว่าเขาเกี่ยวข้องกับของชิ้นนั้นจริงๆ นายท่านก็สามารถจับตัวเขาไว้แล้วบีบให้เขาคายข้อมูลออกมา ไม่จำเป็นต้องมาคลุกคลีอยู่กับเขาที่นี่ต่อเลยเจ้าค่ะ”

ลิ่งหูชิวมุ่นคิ้วเล็กน้อย “บีบอย่างไร?”

หงซิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้อาหารการกินของเขาอยู่ในการดูแลของพวกเรา เราสามารถจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ได้เจ้าค่ะ หากว่าไม่สำเร็จก็สามารถขอ ‘โอสถเทพระทม’ สักเม็ดจากเบื้องบนได้ ขอเพียงเขากินลงไป ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะยังปากแข็งอีก ไม่ว่าเรื่องใดล้วนจะคายออกมาทั้งสิ้น จากนั้นค่อยฆ่าปิดปากเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดรู้เห็นเรื่องราวเจ้าค่ะ”

ลิ่งหูชิวแค่นเสียง เอ่ยเยาะหยันกับตัวเอง “เจ้านึกว่าข้าไม่เคยคิดมาก่อนหรือ? ก่อนข้าจะเดินทางไปพบเขา ข้าได้จัดเตรียม ‘โอสถเทพระทม’ ไว้เม็ดหนึ่งแล้ว คิดจะใช้โอสถนี้กับคนผู้นี้แต่แรกแล้ว จนปัญญาที่คนผู้นี้มีคนคอยติดตามคุ้มกันอยู่ข้างกายตลอด ไม่มีโอกาสให้ลงมือเลย ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาหยุดอยู่ที่นี่ได้ ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นตัวหายนะ ไม่เพียงแต่จะดึงดูดศัตรูมาเท่านั้น แต่ยังชักนำปัญหาวุ่นวายเข้ามาด้วย จะให้ลงมืออย่างไรเล่า? หากไม่ปล่อยให้เขาไปจัดการ หรือจะให้ข้าไปจัดการแทนเขาเล่า? ”

หงซิ่วถาม “แล้วตอนนี้ล่ะเจ้าคะ? ตอนนี้ปัญหาที่เขาชักนำมาดูเหมือนจะจบลงแล้ว อีกทั้งไม่มีลูกน้องติดตามข้างกายแล้วด้วย”

“จ้าวสยงเกออย่างไรเล่า!” ลิ่งหูชิวถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คนบ้าอย่างจ้าวสยงเกอผู้นั้นใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ หรือ? นิกายมารที่อยู่เบื้องหลังคนผู้นั้นหาได้มีจิตเมตตาไม่! หากว่าคนที่ถ่ายทอดวิชาให้เขาคือจ้าวสยงเกอจริงๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดวิชาให้เขาเท่านั้น แต่ยังถ่ายโอนสภาวะให้เขาด้วย ความใส่ใจระดับนี้ข้าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดูเช่นกัน ตอนนี้คนเขารู้กันทั่วแล้วว่าข้ากับเขาสาบานเป็นพี่น้องกัน ล้วนทราบว่าข้าอยู่กับเขา หากว่าคนผู้นี้หายตัวไปกะทันหัน คนที่จะถูกเพ่งเล็งคือคนล่าสุดที่อยู่กับเขา”

“เจ้าลองคิดดูให้ดีสิ ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาจะรอดพ้นการตรวจสอบไปได้หรือ? ทางจังหวัดชิงซานล้วนทราบกันทั่วว่าจู่ๆ ข้าก็ไปที่จังหวัดชิงซาน จากนั้นก็สาบานเป็นพี่น้องกับเขาอย่างปุบปับ เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครก็คิดว่ามีเงื่อนงำน่าสงสัยทั้งนั้น ต่อมาคนผู้นี้ดันหายตัวไปอย่างลึกลับช่วงที่อยู่กับข้าอีก หากว่าเป็นจ้าวสยงเกอที่ได้ของสิ่งนั้นไปจริงๆ ของสิ่งนั้นไม่ใช่ของธรรมดา คนที่มีของอยู่กับตัวไหนเลยจะไม่ระวังตัว? พวกเราจะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้!”

“ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าจ้าวสยงเกอจะตามมาคิดบัญชีกับข้าหรือเปล่า เอาแค่ตอนนี้มีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้านี่มันกำลังวางแผนลับอันใดกับปู้สวินอยู่ ถ้าเกิดเขาหายตัวไปกะทันกัน หากว่ามีเรื่องสำคัญอันใดจริงๆ พวกปู้สวินจะไม่ควบคุมตัวพวกเราไปสอบสวนให้กระจ่างหรือ?”

หงซิ่วใคร่ครวญแล้วเอ่ยเสนอว่า “เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งสังหารเขา งัดข้อมูลจากปากเขาก่อนแล้วค่อยใช้ ‘โอสถเทพระทม’ ควบคุมเขาไว้ หากมีโอกาสเหมาะแล้วค่อยทำให้เขาหายตัวไป”

ลิ่งหูชิวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “จะควบคุมใครมันก็ต้องดูด้วย พวกเราควบคุมได้เพียงคนที่ทำอะไรพวกเราไม่ได้เท่านั้น แต่คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะยอมให้รังแกได้ง่ายๆ ไม่ใช่คนที่ควบคุมได้ง่ายปานนั้น เจ้าคิดว่าคนผู้นี้ไร้พิษสงหรือไง? คนผู้นี้คือคนที่กล้าได้กล้าเสีย ต่อให้ตกอยู่ในอันตรายก็ยังกล้าเสี่ยง หากเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาแม้กระทั่งคุนหลินซู่เขาก็กล้าลงมือสังหาร! หากไม่สามารถฆ่าปิดปากเขาได้ แล้วเจ้าจะควบคุมเขาได้หรือ? เขาสามารถชักนำคนมากมายเข้ามาตอบโต้และควบคุมพวกเรากลับได้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลานั้นต้องบีบบังคับให้พวกเรายอมมอบยาถอนให้แน่นอน ถึงมียาถอนพิษพวกเราก็อย่าหวังจะรอดไปได้ แต่ถ้าไม่มียาถอนพิษยังไงเขาก็ต้องตาย แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะยอมปล่อยพวกเราไปอย่างนั้นหรือ? ”

“หงซิ่ว ของอย่างโอสถเทพระทมนี้ หากไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจเต็มที่ก็ไม่อาจใช้ส่งเดชได้ หากว่าสามารถใช้โอสถเทพระทมควบคุมทุกคนได้ องค์กรของพวกเราไม่ปกครองใต้หล้าไปแล้วหรือ? หากว่าใช้โอสถเทพระทมไปแล้วแต่ไม่สามารถควบคุมเป้าหมายไว้ได้ ฐานะของพวกเราก็จะถูกเปิดเผยทันที เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะกลายเป็นตัวหมากที่ถูกเขี่ยทิ้งทันที เหตุผลข้อนี้เจ้าย่อมเข้าใจดี”

พอได้ฟังเขาวิเคราะห์เช่นนี้ หงซิ่วห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย “เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? พวกเราต้องตามหลังเขาต้อยๆ เหมือนเป็นลูกน้องเขาอย่างนั้นหรือ? วันนี้พวกเราต้องอกสั่นขวัญแขวนไปพร้อมกับเขาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ต้องเสี่ยงอันตรายไปกับเขาน่ะไม่เท่าไร แต่ยังต้องปรนนิบัติรับใช้เสมือนเขาเป็นบรรพบุรุษของพวกเราก็มิปาน ท่านดูเอาสิเจ้าคะว่าเขาเรียกใช้พวกเราสองพี่น้องให้เทียวไปเทียวมาอยู่ตลอด แถมยังเอาแต่คิดไม่ซื่อกับพวกเราสองพี่น้องตลอดด้วย เช่นนี้จะให้ว่าอย่างไรเจ้าคะ!”

ลิ่งหูชิวกล่าวว่า “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ทำได้เพียงค่อยๆ วางแผนกันไป รอให้ข้ารู้เรื่องทุกอย่างของเขาก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้น ถึงตอนนั้นค่อยลงมือก็ยังไม่สาย!”

หงซิ่วถาม “หากว่าไม่สะดวกลงมือไปตลอดล่ะเจ้าคะ? พวกเราจะต้องคอยติดตามรับใช้เขาต้อยๆ เช่นนี้ไปตลอดหรือ?”

“เฮ้อ! ค่อยๆ วางแผนกันไป ค่อยๆ วางแผนกันไป ยังไงก็ต้องมีโอกาสแน่นอน!”ลิ่งหูชิวก้มหน้ามองพื้นพลางเอ่ยพึมพำกับตัวเอง จากนั้นเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

ตอนนี้เขานึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว เสียใจว่าไม่ควรไปที่จังหวัดชิงซานเลย ซ้ำยังไปสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้าคนบัดซบผู้นั้นอีก ตอนนี้จึงติดอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ชวนให้อึดอัดทรมาน

ทางนี้เพิ่งพูดเรื่องเรียกใช้เทียวไปเทียวมา หนิวโหย่วเต้าก็โผล่มาเรียกใช้หงซิ่วให้วิ่งรอกอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าสั่งให้หงซิ่วเอาโคมไฟสีเขียวไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ก่อน จากนั้นก็ให้หงซิ่วไปหาคนผู้หนึ่งที่อยู่ในตัวเมือง

นางตามหาอยู่ภายในตัวเมืองที่มืดสลัวพักใหญ่

คนที่นางต้องมาหาคือศิษย์คนหนึ่งของสำนักเบญจคีรีซึ่งพาปีกทองส่งสารมาด้วย เป็นสายข่าวที่สำนักเบญจคีรีจัดวางไว้ในเมืองหลวงแคว้นฉี

ตอนนี้หนิวโหย่วเต้าต้องการย้ายเขาไปรับใช้อยู่ข้างกาย เท่ากับเปิดเผยการมีอยู่ของเขาแล้ว ช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาต้องรักษาการติดต่อกับพวกกงซุนปู้เอาไว้

ยามราตรีเงียบสงัด เสียงสุนัขเห่าหอนแว่วขึ้นเป็นครั้งคราว

ณ จวนจินอ๋องอันเป็นที่พักของเฮ่าฉี่โอรสคนโตของฮ่องเต้แคว้นฉี

หน้าประตูจวนอ๋องแขวนโคมเอาไว้สูงเด่น ทว่ามีคนผ่านประตูข้างที่มืดมิดเข้าไป

ชายร่างผอมบางคนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเรือนที่อยู่ลึกเข้าไป ตรงเข้าสู่เรือนชั้นใน ทว่าถูกขันทีรับใช้คนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ในเรือนขวางเอาไว้

“อาจารย์เว่ยฉู มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเรียนแจ้งให้ท่าน ทว่าท่านอ๋องเพิ่งเข้าบรรทมไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี รบกวนตอนนี้ไม่เหมาะเลยจริงๆ หากว่าท่านไม่มีธุระด่วนอันใด รอให้เช้าแล้วค่อยมาเรียนต่อท่านอ๋องเถิด” ขันทีรับใช้ประสานมือคำนับอยู่ตรงนั้น ขอร้องไม่ให้สร้างปัญหา

บุรุษร่างผอมบางที่ถูกเรียกว่าเว่ยฉูลูบเคราแพะบางๆ ที่อยู่ใต้คางพลางเอ่ยเสียงขรึม “ข้ามาพบท่านอ๋องในเวลานี้ย่อมมีธุระสำคัญ ไปเรียนให้ทราบเดี๋ยวนี้ หากธุระสำคัญล่าช้าไป เจ้าคงรับผิดชอบไม่ไหว!”

ขันทีรับใช้เอ่ยด้วยความลำบากใจ “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเป็นธุระใด เพราะข้าเองก็ต้องเรียนให้ท่านอ๋องทราบด้วยมิใช่หรือ?”

“อย่าถามในเรื่องที่ไม่ควรถาม เจ้าจะไปเรียนให้ทราบหรือไม่? หากเจ้าไม่ไปเรียนให้ทราบข้าจะไปแล้ว หลังจากนั้นหากท่านอ๋องมาไถ่ถามเอาโทษเจ้าก็รับผิดชอบเองแล้วกัน!” เว่ยฉูว่าจบก็หันหลังเตรียมเดินออกไป

“อาจารย์เว่ยโปรดรอก่อน!” ขันทีรับใช้รีบเรียกเขาไว้ ถอนหายใจดังเฮ้อแล้วเอ่ยว่า “ข้าจำเป็นต้องไปเรียนให้ได้ใช่หรือไม่? อย่างมากข้าคงโดนติเตียนอีกยกใหญ่ รบกวนท่านรอสักครู่” จากนั้นก็โบกมือสั่งให้ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างมาจับตามองเว่ยฉูไว้ ส่วนตัวเขาหันหลังเดินเข้าไปโดยเร็ว

เว่ยฉูเดินกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือน เงยหน้ามองดวงดาวบนฟ้ายามราตรีเป็นครั้งคราว รอคอยต่อไป

เขาคือผู้บำเพ็ญเพียรที่จวนจินอ๋องชุบเลี้ยงไว้

ถึงแม้ผู้พิทักษ์หลักของราชวงศ์จะเป็นหน้าที่ของสำนักมหาบรรพต สำนักศาสตราลึกล้ำและสำนักเพลิงนภา แต่สำหรับจินอ๋องแล้วคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนของทางพระบิดา เรื่องบางอย่างก็ไม่สะดวกจะให้คนของสามสำนักทราบถึง การเลี้ยงผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งไว้คอยรับใช้ตนและจัดการเรื่องส่วนตัวให้จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

หลังจากรอคอยอยู่พักหนึ่ง ขันทีรับใช้ก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา เอ่ยว่า “อาจารย์เว่ย ท่านอ๋องให้มาเชิญ”

ตะเกียงในโถงหลักของเรือนถูกจุดขึ้น เฮ่าฉี่ปล่อยผมสยายคลุมไหล่ สวมเสื้อคลุมตัวหนึ่งอย่างง่ายๆ นั่งหาวอยู่ตรงนั้น เพราะไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ สีหน้าจึงดูอ่อนล้า

เว่ยฉูเข้าสู่ห้องโถง พอเห็นเช่นนั้นก็ประสานมือพลางเอ่ยว่า “คารวะท่านอ๋อง ดึกดื่นค่อนคืนแต่กลับมารบกวนการพักผ่อนท่านอ๋องเข้า กระหม่อมผิดไปแล้วจริงๆ”

เฮ่าฉี่ยกสองมือลูบหน้า โบกมือพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร อาจารย์เว่ยรีบร้อนมาพบข้าในเวลานี้ จะต้องมีธุระสำคัญแน่ ว่ามาเถอะ!”

เว่ยฉูมองไปรอบๆ เล็กน้อย

เฮ่าฉี่เข้าใจเจตนา เขายกน้ำชาขึ้นมาดื่มเพื่อให้กระฉับกระเฉงขึ้น จากนั้นโบกมือร้องสั่งบ่าวไพร่สาวใช้ที่อยู่รอบข้างว่า “พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด”

“พ่ะย่ะค่ะ!” ข้ารับใช้ทั้งหมดถอยออกไป

จากนั้นเว่ยฉูเดินเข้าไปข้างหน้า เอ่ยรายงานเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวของทางหนิวโหย่วเต้าพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าฉี่คล้ายตื่นตัวขึ้นมาไม่น้อยทันที เอ่ยถามเสียงขรึม “สืบทราบแล้วหรือว่าปู้สวินไปหาทางนั้นด้วยเจตนาใด?

สำหรับคนบางกลุ่ม วังหลวงคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่สำหรับคนบางกลุ่มแล้ว วังหลวงก็นับเป็นสถานที่ที่ซับซ้อนที่สุดเช่นกัน

เป็นสถานที่สำคัญที่มีผลประโยชน์ในใต้หล้ามาทับซ้อนกัน เป็นตัวแทนและเป็นผู้ดูแลจัดการผลประโยชน์ของฝ่ายต่างๆ ที่ใดที่ผลประโยชน์มาทับซ้อนกัน ที่นั่นย่อมเป็นสถานที่ที่มีความซับซ้อน ไม่รู้ว่ามีสายตามากน้อยเท่าไรที่คอยจับตามองอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ถึงแม้ปู้สวินจะออกจากวังไปอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นไปจากสายตาของคนผู้นี้

สำหรับหนิวโหย่วเต้านั้น เขาไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาเลย คนที่เขาให้ความสนใจอย่างแท้จริงคือปู้สวิน ผู้ดูแลหลวงคนนี้มีอิทธิพลต่อตำแหน่งรัชทายาทอย่างมหาศาล ในแง่หนึ่งแล้ว ท่าทีของปู้สวินนั้นแสดงให้เห็นถึงเจตนาขององค์ฮ่องเต้ หากคิดจะชิงตำแหน่งรัชทายาท แต่กลับไม่ทราบถึงเจตนาของฮ่องเต้ เช่นนั้นมันออกจะอันตรายเกินไป

ดังนั้นเมื่อปู้สวินมีพฤติกรรมที่ผิดไปจากปกติ ย่อมทำให้เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้คนหาวิธีไปสืบข่าวมาแต่เนิ่นๆ

เว่ยฉูส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “มิใช่ปู้สวินพ่ะย่ะค่ะ เป็นคนของจวนอวี้อ๋องที่ไปพบกับทางหนิวโหย่วเต้า ท่านอ๋องทรงเดาออกหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด?”

เฮ่าฉี่พลันเอ่ยถามด้วยความตื่นตัว “ผู้ใด? คงมิใช่ว่าเป็นเจ้ารองไปหาด้วยตัวเองกระมัง?”

เว่ยฉูตอบว่า “มิใช่อวี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ แต่ทรงเดาได้ใกล้เคียง เป็นพระชายาของอวี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ นางรั้งอยู่ที่เรือนของหนิวโหย่วเต้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามถึงจะออกมา

เฮ่าฉี่ลุกยืนขึ้น เดินวนไปวนมา เอ่ยถามด้วยความสับสนไม่เข้าใจ “สตรีที่มีฐานะเป็นพระชายาผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง ดึกดื่นค่อนคืนกลับถ่อไปพบหนิวโหย่วเต้าเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร?”

เว่ยฉูกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ประเด็นสำคัญที่แท้จริงคือคนที่คุ้มกันพระชายาของอวี้อ๋องไปส่งเป็นคนชุดเดียวกับที่คุ้มกันปู้สวินไปในช่วงกลางวันพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าฉี่พลันตกใจ ชะงักเท้าหันกลับมาทันที จ้องมองเขาด้วยแววตาไหวระริก เอ่ยถามเสียงเข้ม “แปลว่านี่คือเจตนาของเสด็จพ่อแน่นอน! เสด็จพ่อจะทำอะไรกันแน่?”

เว่ยฉูไม่ได้เอ่ยตอบ เขาไม่ทราบกระจ่างจึงไม่ควรพูดส่งเดช แต่เขาก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านอ๋อง คงได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรงแน่นอน

ปกติแล้วหากองค์ฮ่องเต้มีงานใดจะมอบหมาย สองพี่น้องล้วนจะแย่งกันรับไปจัดการ รีบไปแสดงตัวก่อน ต่อให้ลำบากยากเย็นเพียงใดก็เต็มใจรับผิดชอบ ขอเพียงจัดการได้สำเร็จงดงามและได้รับคำชื่นชมจากองค์ฮ่องเต้ก็พอ หากว่าองค์ฮ่องเต้มอบหมายภาระงานให้คนใดคนหนึ่งไปจัดการแต่ไม่ให้อีกคนด้วย ฝ่ายที่ไม่ได้รับมอบหมายย่อมรู้สึกอึดอัดคับข้องแน่นอน

สำหรับพี่น้องคู่นี้แล้ว การมอบหมายงานบางอย่างให้อย่างเปิดเผยยังพอจะสงบใจไว้ได้ แต่สิ่งที่กลัวคือการมอบหมายงานบางอย่างให้อีกฝ่ายไปจัดการอย่างลับๆ เพราะให้ความรู้สึกเหมือนพระทัยขององค์ฮ่องเต้จะเอนเอียงไปหาคนใดคนหนึ่งมากกว่า

โดยเฉพาะกับองค์ชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เขามีฐานะเป็นโอรสคนโต มีลำดับอาวุโสสูงกว่า หากไม่ได้ตำแหน่งรัชทายาทมาครอง แล้วจะให้เขาทนไหวได้อย่างไร!

หากองค์ชายท่านนี้ไม่ได้ทราบกระจ่างว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่ เกรงว่าเขาคงจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เว่ยฉูทราบดีว่าเวลานี้ไม่เหมาะสำหรับรายงานเรื่องประเภทนี้ หากรายงานไปย่อมทำให้องค์ชายท่านนี้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายแน่นอน แต่หากไม่รายงานเรื่องนี้ให้ทราบในทันที องค์ชายท่านนี้ต้องโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในภายหลังแน่ จะตำหนิว่าเขาทำงานไม่ได้เรื่อง เพราะทรงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้!

เฮ่าฉี่กลับไปนั่งที่เดิม ตั้งศอกเท้าไปบนต้นขา ค้อมตัวก้มหน้าลง เอ่ยเสียงค่อยว่า “ไปหาทางสืบมาให้กระจ่างว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร”

………………………………………………………………………