บทที่ 326 มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยินหยิน

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 326 มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยินหยิน

บทที่ 326 มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยินหยิน

เสียงปิดประตูเบามาก แต่กู่อวี๋เฉิงรู้สึกราวกับว่ามันได้สร้างรูโหว่ขึ้นในหัวใจของเขา

เขาไม่สามารถชดเชยความผิดได้

แม่บ้านเห็นแบบนั้นก็ทนไม่ไหว “คุณกู่คะ มีพบย่อมมีพราก ในชีวิตมีหลายสิ่งที่ไม่สามารถฝืนได้ค่ะ”

ช่วงนี้กู่อวี๋เฉิงมาหาซูหยินทุกวัน แต่เธอปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาทุกครั้ง

คนที่รักกันจริงจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร?

กู่อวี๋เฉิงก้มหัวลงและพึมพำกับตัวเอง “มีพบย่อมมีพราก…”

เขาจากไปด้วยอาการงุนงง

แทนที่จะกลับบ้าน เขากลับไปที่บาร์ สั่งเครื่องดื่มที่แรงที่สุดและซ่อนตัวอยู่ที่มุมร้านคนเดียวเพื่อดื่มอย่างสิ้นหวัง

ไฟหรี่ลงและหน้าจอโทรศัพท์ก็สว่างขึ้น

กู่อวี๋เฉิงมองไป ปรากฏว่าเป็นเบอร์ของแม่

หลังจากรับสายแล้ว เขาก็แนบหู แล้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่มีกลิ่นอายของความเมามาย “ฮัลโหล?”

อีกฝ่ายลังเล “[ลูกอยู่ที่ไหน?]”

กู่อวี๋เฉิงกระดกอึกหนึ่ง รสเผ็ดร้อนที่เข้าไปในคอทำให้สำลักและไอออกมา

“[ลูกดื่มเหรอ?]”

คุณนายกู่รู้ดีกว่าใครว่ากู่อวี๋เฉิงมีวินัยในตนเองแค่ไหน ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนเขาก็ไม่เคยทำแบบนี้

หลังจากคิดให้ดีแล้ว คงมีแค่เรื่องของซูหยินเท่านั้น

“แม่ เธอไม่ต้องการผมอีกแล้ว”

น้ำเสียงของกู่อวี๋เฉิงสะอื้นและหดหู่

คุณนายกู่น้ำตาไหล สะอึกในลำคอ “[เป็นความผิดของแม่เอง แม่ไม่ควรพูดเรื่องนั้นตอนที่หยินหยินป่วยและดูถูกเธอด้วยเงิน]”

เธอบอกว่าให้ซูหยินนำเงินไปหาหมอ แต่ในความเป็นจริง ผู้เป็นแม่ใช้เงินเพื่อตัดสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกชาย

ช่างเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ

คุณนายกู่ก็โกรธตัวเองเช่นกัน “อวี๋เฉิง ตราบใดที่หยินหยินเต็มใจให้อภัยลูก ลูกให้พ่อกับแม่ไปคุกเข่าขอโทษเธอได้นะ เราจะทำให้เธอยกโทษให้ลูกให้ได้”

กู่อวี๋เฉิงเมา แต่เขายังคงมีสติ “ผมทำไม่ได้…”

เขาตัดสายโทรศัพท์ไป คุณนายกู่รีบโทรกลับแต่ไม่มีใครรับสาย

เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาสนทนาด้วย “สุดหล่อ ทำไมคุณอยู่คนเดียวล่ะ?”

“อยากดื่มด้วยกันไหม”

กู่อวี๋เฉิงเม้มริมฝีปากบางแน่น “ออกไป”

หญิงสาวที่ถูกทำเย็นชาใส่ยังปฏิเสธที่จะจากไปและนั่งลงบนตักของเขา มือเล็กคู่หนึ่งเอื้อมเข้าไปในเสื้อสูทอย่างไม่เกรงใจ

กู่อวี๋เฉิงผลักเธอลงไปที่พื้น หญิงสาวไม่พอใจเริ่มสบถสาปแช่งทันที

นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัด

ลู่เฉินที่ออกมาหลังจากคุยเรื่องธุรกิจขมวดคิ้ว และเห็นฉากนี้เข้าพอดี “พาผู้หญิงคนนั้นออกไป”

ผู้ช่วยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขอให้หญิงสาวออกไปทันที

ลู่เฉินเดินมาหยุดตรงหน้ากู่อวี๋เฉิง “กู่อวี๋เฉิง คุณกำลังทำอะไรอยู่?”

เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

กู่อวี๋เฉิงวางขวดไวน์แล้วยืนขึ้น “ประธานลู่”

ลู่เฉินเอาล้วงมือกระเป๋า “กู่อวี๋เฉิง ถ้าคุณเชื่อว่าซูหยินเป็นผู้หญิงของคุณ ก็ไปไล่ตามเธอกลับมา มาดื่มหนักแบบนี้ คุณเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน? ถ้าคุณดื่มจนอ้วก จนตัวเองเข้าโรงพยาบาล เธอจะรู้ด้วยไหม?”

“ซูหยินเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด เธอต้องมีสติ อดทนกับการถูกกักขังและทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมและมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้”

“คุณไม่ได้คิดจะรักษาบาดแผลของเธอ แต่กลับมาดื่มเพื่อบูชาความรักเนี่ยนะ”

“กู่อวี๋เฉิง ผมกำลังดูถูกคุณอยู่นะ”

ลู่เฉินหยุดไปสองวินาที “ถ้าคุณทำผิด คุณก็แค่ต้องไล่ตามเธอกลับมา มันไม่สำคัญว่าจะใช้เวลากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี สิ่งสำคัญคือคุณต้องเชื่อว่าพวกคุณจะอยู่ด้วยกัน”

ร่องรอยของความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นในดวงตาที่พร่ามัวของกู่อวี๋เฉิง ก่อนเขาจะเดินโซเซไปที่แผนกต้อนรับเพื่อจ่ายเงิน

เขาจะไปหาซูหยิน เขาไม่สามารถปล่อยเธอไปแบบนี้ได้

หลังเที่ยงคืน ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงกู่อวี๋เฉิงเท่านั้นที่ทุบประตูของซูหยินไม่หยุด

กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากตัวของเขา

ซูหยินปิดประตูห้องนอนแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองได้ยินเสียงตะโกนจากข้างนอก และจ้องมองไปที่เพดานมืดมิดอย่างมึนงง

ไม่นานนักเสียงเพื่อนบ้านก็ดังขึ้น “ถ้าจะทะเลาะกันก็ควรรู้จักกาลเทศะด้วยสิ กลางดึกแบบนี้ยังต้องมาได้ยินเสียงพวกคุณตะโกนนั่นตะโกนนี่อยู่อีก”

“แต่งตัวก็ดี ไม่มีมารยาทเลยเหรอ?”

“ถ้าตะโกนอีกที ฉันจะเรียกตำรวจ”

เธอสบถแล้วจากไป

กู่อวี๋เฉิงนั่งลงข้างประตูด้วยความเมา หน้าเขาแดงก่ำ มือวางบนเข่าอย่างอ่อนแรง

แม่บ้านนำผ้าห่มมาให้เขา “คุณกู่ คุณอยากเข้าไปพักผ่อนก่อนไหมคะ?”

“ขอบคุณครับ แต่ผมจะรออยู่ตรงนี้”

เห็นอย่างนี้ แม่บ้านก็ไม่พูดอะไรอีก

พอไม่มีเสียงตะโกนของกู่อวี๋เฉิง ไฟที่เปิดใช้งานด้วยเสียงในทางเดินก็ดับลง

กู่อวี๋เฉิงเป็นเหมือนรูปปั้นนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูของซูหยิน

เปลือกตาของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ และหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ตอนนี้ซูหยินลุกจากเตียง เดินไปที่ประตูเบา ๆ และแนบหูของเธอกับประตู

เสียงลมหายใจหนัก ๆ ของกู่อวี๋เฉิงดังลอดเข้ามาเล็กน้อย

หลังจากฟังอยู่ครู่หนึ่ง ซูหยินก็นั่งลง

ตอนนี้ทั้งสองนั่งหันหลังชนกัน คนหนึ่งหลับ ส่วนอีกคนตาสว่าง

ก่อนรุ่งสาง ซูหยินพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คนโง่ ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดีล่ะ”

แม่บ้านมาส่งอาหารเช้า และพบว่ากู่อวี๋เฉิงยังคงนอนหลับอยู่ที่ประตู จึงตบไหล่เขาให้ตื่น

“เฮ้อ คุณกู่ คนนอกอย่างพวกเราทนเห็นคุณเป็นแบบนี้ไม่ได้นะคะ ฉันจะเข้าไปถามคุณซูให้ว่าอยากพบคุณไหม”

กู่อวี๋เฉิงยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “พาผมเข้าไปด้วย”

ซูหยินจะไม่เป็นฝ่ายมาพบกับเขาแน่นอน

แม่บ้านเองก็เข้าใจว่าสิ่งที่กู่อวี๋เฉิงพูดนั้นถูกต้อง เธอจึงตกลงที่จะยอมเสี่ยงและทำให้ซูหยินขุ่นเคือง

เธอหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเสียบเข้าไปในรู แต่มันเปิดไม่ออก

ประตูถูกล็อก

คุณป้าแม้บ้านสับสน “คุณกู่ ฉันคงช่วยคุณไม่ได้ คุณซูน่าจะเดาได้ว่าฉันจะให้คุณเข้าไปเลยล็อกประตูค่ะ”

ขณะนั้น เสียงของซูหยินก็ดังมาจากในห้อง “กู่อวี๋เฉิง คุณจะไม่ออกไปก็ช่าง อย่างมากฉันก็แค่ไม่มีอะไรกิน”

กู่อวี๋เฉิงยังคงดื้อรั้น ปฏิเสธที่จะจากไป “ซูหยิน ทำไมคุณถึงเกลียดผมมากขนาดนี้? ถึงผมตาย ผมก็อยากรู้เหตุผลของคุณ”

“ไม่มีเหตุผล”

กู่อวี๋เฉิงไม่เชื่อ “เป็นเพราะพ่อแม่ผมเหรอ? ที่ขัดขวางไม่ให้พวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าคุณลบแผลใจที่ครอบครัวผมสร้างไม่ได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องพบพวกเขาอีกก็ได้”

“ไม่ใช่”

“เป็นเพราะลูกเหรอ? คุณคิดว่าผมไม่ต้องการลูกของเราเหรอ? ผมอธิบายแล้วว่าผมจะรับผิดชอบคุณและลูก เราเก็บลูกไว้ได้ถ้าคุณอยากให้เป็นอย่างนั้น และเราก็สามารถมีลูกได้มากเท่าที่คุณต้องการเลย”

“ไม่ใช่”

“ถ้างั้นบอกผมสิว่าทำไม?”

ซูหยินนั่งลงกับเก้าอี้ “กู่อวี๋เฉิง หลังจากเกิดเรื่องเหล่านั้น ฉันสูญเสียความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะแต่งงานไปแล้ว”

“คุณปล่อยฉันไปเถอะ”

น้ำเสียงเธอสงบนิ่ง กู่อวี๋เฉิงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงของแม่บ้านก็ดังขึ้น “คุณซู คุณกู่ไปแล้วค่ะ โปรดเปิดประตูด้วย”

จากนั้นซูหยินก็เปิดประตู

แม่บ้านแอบมองเธอ “อย่าโกรธนะคะ ไม่อย่างนั้นลูกจะรู้สึกด้วย”

เธอวางอาหารลงบนโต๊ะ “กินตอนที่ยังร้อนนะคะ”

ซูหยินทานโจ๊กไปสองคำ “ถ้าฉันเจ็บปวด ลูกก็จะเจ็บปวดไปด้วยเหรอ?”

แม่บ้านอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “แม่กับลูกมีสายสัมพันธ์กัน ถ้าคุณเจ็บปวด ลูกก็จะรู้ค่ะ”

หลังอาหารเช้า แม่บ้านเก็บจานบนโต๊ะอาหารกลับไปที่ห้อง

แต่ซูหยินรั้งเธอไว้ “เมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ ฉันไม่อยากกินข้าวเที่ยง”

“ไม่ต้องมาส่งนะคะ”

แม่บ้านเกลี้ยกล่อมเธอ แต่ก็ต้องหยุดเมื่อเห็นสีหน้าไม่แยแสของซูหยิน

หลังจากที่แม่บ้านออกไปแล้ว ซูหยินก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นสักพักแล้วโทรหาซูโย่วอี๋

“ที่รัก เธอทำอะไรอยู่เหรอ?”

ซูโย่วอี๋ที่ไม่ได้ถูกเรียกแบบนี้มานานแล้วอยากจะร้องไห้ “[หยินหยิน คิดถึงฉันเหรอ? ให้ฉันจะไปหาเธอตอนนี้เลยดีไหม]”

“เปล่า แค่ถาม”

“ครอบครัวฮันปฏิบัติต่อเธอดีไหม?”

“[ดีมาก ฉันไม่ค่อยชินที่พวกเขาให้ความสำคัญกับฉันขนาดนี้]”

ซูหยินพยักหน้า “พวกเขาคือพ่อแม่ พี่ชาย และญาติของเธอไง”

“ฮันเอินจีอยู่ที่ไหน? ยัยนั่นมากวนเธอหรือเปล่า?”

“[ไม่ เธอย้ายออกไปและขู่ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลฮัน]”

ซูหยินฮึมฮัมรับคำ “ดีแล้ว เธอจะได้ไม่โดนรังแกเพราะฉันไม่อยู่ด้วย”

ซูโย่วอี๋ยิ้ม “[ไม่หรอก ไม่ต้องกังวล]”

“งั้นฉันก็วางใจ”

หลังวางสาย ซูหยินหยิบมีดปอกผลไม้แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ

“อย่ากลัวไปเลยลูกรัก มันไม่เจ็บหรอก”

“อีกไม่นานก็จะดีขึ้น”

“เด็ก ๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบอกว่าพวกเขาอยากมีแม่ ใช่ ลูกยังเด็ก แม่จะทิ้งลูกไว้คนเดียวได้ยังไง”

“พ่อของลูกยังต้องแต่งงาน พาลูกไปด้วยคงไม่ดี”

น้ำตาของซูหยินไหลลงมา

“ไปที่ที่ไม่มีความเจ็บปวดด้วยกันเถอะ”

“เด็กดี”

ทันทีที่เลือดไหลออกมา ซูหยินก็ยกยิ้ม

เทศกาลฤดูใบไม้ผลิผ่านไปแล้ว การขนส่งด่วนได้กลับมาทำงานอีกครั้ง

พัสดุถูกส่งไปยังเทียนฮวา

แม่บ้านซื้อของเสร็จก็กลับมาและเดินผ่านตู้รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดว่า “คุณคือแม่บ้านของครอบครัวของซูหยินใช่ไหมครับ? มีคนส่งของให้คุณซูหยิน ของอยู่ที่นี่ เอากลับไปให้เธอด้วยได้ไหมครับ”

แม่บ้านเห็นชื่อแล้วพบว่าเป็นของซูหยินจริง ๆ เธอจึงนำมันกลับมา

ดูเวลา นี่ก็บ่ายสามโมงแล้ว

เมื่อคิดจะถามซูหยินว่าเธออยากกินอะไรไหม แม่บ้านก็เคาะประตู แต่หลังจากเคาะเป็นเวลานานกลับไม่มีใครตอบกลับ

เธอหยิบกุญแจออกมาเพื่อเปิดประตูและพบว่าประตูถูกล็อกด้านในอีกชั้น

แม่บ้านตื่นตระหนกและรีบโทรหาซูโย่วอี๋ “สวัสดีค่ะ คุณซูโย่วอี๋หรือเปล่าคะ?”

“คุณซูล็อกประตูด้านในไว้ ฉันเปิดไม่ได้ ตอนเคาะประตูก็ไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกังวลว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ”

“คุณอยากมาไหมคะ?”

หัวใจของซูโย่วอี๋เต้นไม่เป็นจังหวะ “[ฉันจะไปเดี๋ยวนี้]”

เธอแทบบินลงไปชั้นล่าง ทางคุณนายฮันที่เห็นก็กังวล “เสี่ยวอี๋ ช้าหน่อย”

ซูโย่วอี๋จับมือคุณนายฮัน “พาฉันไปเทียนฮวาเร็ว”

ระหว่างทาง ซูโย่วอี๋โทรหาช่างกุญแจ

คุณนายฮันเดินไปพร้อมกับเธอ “อย่ากังวลไป เดี๋ยวจะตื่นตระหนกเกินไปนะจ๊ะ”

ใจของซูโย่วอี๋ปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าซูหยินโทรมาหาเธอตอน 10.47 น.

เราคุยกันสามนาทีครึ่ง

ซูหยินคอยถามเธอว่าเธอสบายดีไหม และถูกรังแกหรือเปล่า

รู้สึกวางใจที่ได้ยินว่าเธอสบายดี

เธอวางใจอะไร?

วางใจที่จะจากโลกนี้ไปงั้นเหรอ?

ซูโย่วอี๋รู้สึกหวาดกลัวกับความคิดนี้

แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

อีกฝ่ายยืนยันที่จะให้เธอกลับไปที่ตระกูลฮัน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่มีคนดูแล…

อีกฝ่ายปฏิเสธที่จะอยู่กับกู่อวี๋เฉิง เพราะกลัวที่จะลากเขาลงไป…

มือของซูโย่วอี๋สั่นจนควบคุมไม่ได้ โทรศัพท์ตกลงไปที่พื้นในระหว่างที่โทรออก

ซูหยินไม่รับ เธอเลยโทรหาลู่เฉินแทน

เมื่อโทรศัพท์เชื่อมต่อ และซูโย่วอี๋พูดอย่างร้อนรนว่า “ลู่เฉิน มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยินหยิน”

ลู่เฉินยังคงสุขุม “[อย่าตกใจ คุณอยู่ที่ไหน?]”

“ระหว่างทางไปเทียนฮวา”

“[ผมจะไปที่นั่นทันที ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะอยู่ด้วย]”

คุณนายฮันเริ่มกังวลขึ้นมา จนไม่สามารถพูดคำปลอบโยนใด ๆ ได้ไปครู่หนึ่ง

หวังว่ามันจะเป็นเพียงการคาดเดา

เมื่อซูโย่วอี๋มาถึง ช่างกุญแจเองก็มาถึงพอดี อีกฝ่ายหยิบเครื่องมือออกมาเพื่อเปิดล็อกอย่างสบาย ๆ

ลมหายใจของซูโย่วอี๋หอบถี่ “รีบปลดล็อกเร็ว ๆ เข้าสิ!”