บทที่ 327 ลบความทรงจำ

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 327 ลบความทรงจำ

บทที่ 327 ลบความทรงจำ

Content Warning : ฆ่าตัวตาย (Suicide)

ช่างกุญแจได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ผมไม่ได้เอาอุปกรณ์มาด้วย ถ้าหากพวกคุณอยากจะให้ผมพังประตูเข้าไป งั้นประตูบานนี้ผมคงเปิดไม่ออกแล้วแหละ”

ซูโย่วอี๋ถอนหายใจออกมา “คุณคะ นี่มันเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง คุณช่วยคิดวิธีหน่อยค่ะ”

สุนัขจิ้งจอกมองเข้าไปภายในบ้าน ร่างกายของมันก็แข็งทื่อ [ซู่จู่]

[พี่ซู เธอ…]

“ทำไมเหรอ?”

[พี่ซูเธอกำลังจะฆ่าตัวตายในห้องน้ำ ตอนนี้ลมหายใจรวยรินแล้ว]

จิตใจของซูโย่วอี๋สั่นไหว สายตาเลือนลางขึ้นมาอย่างกระทันหัน

รอจนกระทั่งอาการดีขึ้น เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปดันตัวช่างกุญแจออก และใช้ค้อนขนาดเล็กทุบกลอนประตูอย่างแรง

ช่างกุญแจโกรธมาก “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ เฮ้ย บ้าหรือเปล่าเนี่ย”

เสียงทุบประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ

สุนัขจิ้งจอกยกอุ้งเท้าหน้าขึ้น ประตูที่ล็อกอยู่ก็ตกลงมา

ช่างกุญแจถึงกับตาค้างและมองดูอยู่หลายรอบ “เป็นไปได้ยังไง?”

เปิดได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ

ผู้หญิงคนนี้ดูไม่น่าจะแรงเยอะขนาดนี้นี่

ซูโย่วอี๋ผลักประตูเข้าไปและมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ

ซูหยินนั่งอยู่ในอ่างน้ำ ใบหน้าขาวซีด แต่กลับดูนิ่งสงบ

ราวกับว่าเธอแค่หลับไป

เลือดที่ข้อมือยังคงไหลซึมออกมา ทำให้ชุดนอนสีขาวของหยินหยินถูกย้อมเป็นสีแดงสด

ซูโย่วอี๋ทรุดตัวลงตรงหน้าอ่างน้ำและใช้มือกดลงไปที่บาดแผลบนข้อมือของซูหยินเหมือนคนโง่

เธอพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “หยินหยิน หยินหยิน…”

“หมอ ใช่ พวกเราจะไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้”

ซูโย่วอี๋อยากจะอุ้มซูหยินขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็อุ้มไม่ไหว

คุณนายฮันที่ตามเข้ามาเห็นฉากตรงหน้าก็ตกใจมาก เธอจึงรีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที

สุนัขจิ้งจอกสะอื้น [ซู่จู่ ส่งไปที่โรงพยาบาลตอนนี้ก็ช่วยไว้ไม่ทันแล้ว]

เธอเสียเลือดมากเกินไป

ซูโย่วอี๋ร้องไห้และตะโกนออกมา “ช่วยได้สิ!”

“จะต้องช่วยได้แน่นอน”

“ฉันไม่ยอมให้หยินหยินตายเด็ดขาด”

“ฉันจะให้เธอตายไม่ได้”

“เจ้าจิ้งจอกเน่า นายช่วยเธอหน่อยสิ”

“ฉันขอร้องล่ะ”

คุณนายฮันพูดทั้งน้ำตา “เสี่ยวอี๋ คุณหมอกำลังจะมาถึงแล้ว”

การฆ่าตัวตายของซูหยินทำให้เธอไม่ทันได้สนใจในคำพูดของซูโย่วอี๋

ซูโย่วอี๋เอื้อมมือเข้าไปตรงจมูกของซูหยินเพื่อทดสอบลมหายใจ แต่กลับไม่รับรู้ถึงอะไรเลย ตอนนี้เธอเหมือนคนเสียสติ “ลมหายใจล่ะ?”

“ทำไมถึงไม่มีลมหายใจ?”

“ไม่ได้นะ เธอยังไปไม่ได้ ฉันยังไม่ทันได้แต่งงาน ยังไม่ทันได้มีลูก พวกเรายังไม่ทันดังไปทั่วโลกเลย ถ้าเกิดว่าลู่เฉินไม่ดีกับฉันขึ้นมา ถ้าไม่มีเธอ แล้วใครจะมาช่วยฉันล่ะ?”

สุนัขจิ้งจอกสัมผัสได้ถึงพลังงานชีวิตของซูหยินที่กำลังจะหมดไป นัยน์ตาสีไพลินเป็นประกายระยิบระยับและกลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว

สุนัขจิ้งจอกก้มหน้าและพึมพำอยู่ 2-3 ประโยค เสียงรอบ ๆ ตัวหายก็ดับไป

[ซู่จู่ ฉันสามารถหยุดเวลาเอาไว้ได้แค่เพียงสิบนาทีเท่านั้น ภายในสิบนาทีนี้ คุณจะต้องไปที่โรงรับจำนำเพื่อหาทางช่วยซูหยินให้ทัน]

[ไม่อย่างนั้น หากรอให้เวลาผ่านไป จนซูหยินหยุดลมหายใจ ระบบก็จะช่วยไม่ได้อีกแล้ว]

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น ความแน่วแน่ปรากฎขึ้นมาในดวงตาของเธอ

ช่วงเวลาต่อมา ภายในห้องน้ำไม่มีใครอยู่แล้ว

ซูโย่วอี๋ผลักประตูโรงรับจำนำเข้าไป ภายในร้านยังคงเหมือนเดิม

แม้แต่ทิศทางที่ดอกไม้บาน หรือความสูงของต้นหญ้าก็ยังคงเหมือนเดิม

พอก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป กระดิ่งลมส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง

คุณยายคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าพร้อมกับกำลังต้มน้ำชาอย่างเชื่องช้า

“มีคำทำนายไว้เมื่อสองวันก่อนว่าวันนี้จะมีแขกมาหาฉัน คิดไม่ถึงว่าจะมาจริง ๆ”

“นั่งลงก่อนสิ”

ซูโย่วอี๋พูดอย่างหนักแน่น “ฉันต้องการช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่ง จะด้วยเงื่อนไขอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

คุณยายมองเธออย่างตำหนิ “ไม่ต้องรีบร้อน ดื่มชานี่ก่อน”

ซูโย่วอี๋หยิบถ้วยน่ำชาขึ้นมาและดื่มมันเข้าไป “พอใจแล้วใช่ไหม?”

“อ่า นี่มันน้ำล้างถ้วย”

คุณยายหมดความสนใจกับการต้มน้ำชา “ช่างเถอะ ถ้าขืนยังต้มชาต่อก็มีแต่จะยิ่งทำให้เธอไม่พอใจ”

เธอโบกมือเหี่ยว ๆ จากนั้นชุดน้ำชาก็หายไป

ใบหน้าของคุณยายยังคงยิ้ม “สาวน้อย ฉันจำเธอได้ เธอเคยมาที่นี่แล้ว”

“เธออยากจะช่วยใครล่ะ?”

“ซูหยิน เพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน”

คุณยายส่งเสียงตอบรับ ก่อนที่ดวงตาจะดำสนิท

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่เกินสองวินาทีแล้วเธอก็กลับมาเป็นปกติ

“ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ? สำหรับพวกเรา ที่นี่มันคือบาปสูงสุด ชีวิตนั้นมีค่า ดูฉันที่อายุเท่านี้แล้ว แต่ยังคงพยายามเพื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อไปสิ”

“มันน่าโมโหมากเลยนะ ฉันจะไม่ช่วยคน ๆ นี้”

ซูโย่วอี๋กำมือแน่น “คุณยายคะ คุณไม่เคยใช้ชีวิตของคนอื่น มีสิทธิ์อะไรไปตัดสินผิดถูก?”

“ถ้าแค่มีชีวิตอยู่เฉย ๆ ได้ ใครจะยากตายกันล่ะ?”

คุณยายพูดขึ้นอย่างเย็นชา “เด็กสาวอย่างเธอถึงกับสอนบทเรียนให้ฉันเลยเหรอ”

ทุก ๆ นาที ทุก ๆ วินาทีกำลังผ่านไป จากสิบนาทีก็เหลืออยู่อีกไม่นานแล้ว

ซูโย่วอี๋จับจ้องไปยังหญิงชราตรงหน้า “เปิดกิจการโรงรับจำนำ ก็แค่เอาของที่คุณต้องการไป จะยุ่งเรื่องอื่นไปทำไม”

คุณยายเลิกคิ้วขึ้น “ก็จริง”

“พูดมาสิ ว่าเธอสามารถให้อะไรฉันได้? เพื่อช่วยรักษาคอของเฉินซีซีในครั้งที่แล้ว เธอมอบบัตรเข้าชมดินแดนแห่งนักปราชญ์ให้ฉัน ครั้งนี้เธอต้องการช่วยชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ราคามันก็ต้องสูงมากขึ้น”

“คุณต้องการอะไร?”

“ต้องการชีวิตของเธอ ได้ไหม?”

“ได้”

อาจเป็นเพราะซูโย่วอี๋ตอบกลับเร็วเกินไป น้ำเสียงแน่วแน่มากเกินไป คุณยายจึงเลิกล้อเล่น

“ฉันจะเอาชีวิตเธอไปทำอะไรกัน?”

“ให้ฉันดูก่อนดีกว่าว่าเธอมีของอะไรบ้าง”

มือของคุณยายยื่นออกไปกลางอากาศ ซูโย่วอี๋ถูกแรงบางอย่างบังคับเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถขยับได้อยู่ครึ่งนาที

ความเย็นแทรกซึมไปทั้งตัว

จนกระทั่งคุณยายชักมือกลับ ซูโย่วอี๋ก็ถอยหลังไป

“ได้ไหม?”

ดวงตาของคุณยายดูครุ่นคิดมาก “ฉันต้องการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลู่เฉิน”

ซูโย่วอี๋เดาไว้แล้ว

“ตกลง”

คุณยายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมถึงตอบตกลงง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ?”

“รู้สึกเหมือนว่าฉันขาดทุนในการทำธุรกิจครั้งนี้เลยนะ”

“คุณยายคะ ฉันไม่มีเวลามาล้อเล่นกับคุณนะ”

“นอกจากการช่วยชีวิตซูหยินแล้ว ยังมีอีกอย่างที่ฉันอยากขอร้องและหวังว่าคุณจะรับปาก”

“ลองพูดมาสิ”

“ลบความทรงจำตอนที่ซูหยินถูกทำร้าย ฉันหมายถึงลบทุกคนที่เกี่ยวกับความทรงจำนี้ออกไป”

ให้เรื่องพวกนี้หายไป

คุณยายจับผมสีเงินตรงจอนผมของเธอ “ฉันไม่ทำธุรกิจที่ขาดทุน เธอเองก็น่าจะรู้ว่าขอบเขตเรื่องของซูหยินส่งผลกระทบมากมายขนาดไหน ลบความทรงจำของผู้คนมากมายขนาดนั้น มันไม่ง่ายเลยนะ”

ซูโย่วอี๋คัดค้าน “ไม่ง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”

“ฉันไม่มีอะไรต้องสูญเสียอีกแล้ว คุณต้องการอะไรก็เอาไปเลย ขอแค่คุณทำตามที่ฉันพูดก็พอ”

คุณยายถอนหายใจยาว “ฉันขอถามแค่คำเดียว เธอยอมเสียสละความรู้สึกที่มีต่อลู่เฉินไปอย่างง่ายดาย นี่จะบอกว่าซูหยินเป็นคนที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของเธอแล้วงั้นเหรอ?”

“อย่าเอาพวกเขามาเปรียบเทียบกัน”

คุณยายขมวดคิ้ว “จะไม่ให้เอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง?”

“ทำไมถึงต้องเปรียบเทียบด้วยล่ะ? ในใจของฉัน พวกเขาต่างก็สำคัญมากกว่าตัวฉันเอง ถ้าหากว่าคนที่เกิดเรื่องในวันนี้เป็นลู่เฉิน ฉันเองก็จะช่วยไว้เหมือนกัน”

“ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่”

คุณยายพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง “คำขอร้องของเธอ ฉันยอมรับมันแล้ว”

การซื้อขายในครั้งที่แล้ว บัตรเข้าชมดินแดนแห่งนักปราชญ์แลกกับยาแก้เจ็บคอเท่านั้น เธอรู้ได้ทันทีว่าโรงรับจำนำเอาเปรียบแค่ไหน

“ทุกสิ่งในโลกล้วนเกี่ยวข้องกับความสมดุลของหยินและหยาง การสั่งสมพลังงาน มีคนที่ลืมก็ต้องมีคนที่คิดถึง ฉันจะลบความทรงจำที่ลู่เฉินมีต่อเธอ แต่เธอจะต้องจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้น”

“ถือว่าเป็นการลงโทษ ต่อไปนี้เธอจะไม่สามารถเข้าหาลู่เฉินได้อีก หากเธอเข้าหาลู่เฉินก้าวหนึ่ง ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ของซูหยินก็จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมานิดหนึ่ง ถ้าหากว่าเธอกลับไปคบกับลู่เฉินอีกครั้ง ซูหยินก็จะจำเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาได้”

สำหรับซูโย่วอี๋แล้ว นี่คือเรื่องที่เจ็บปวดมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เธอไม่มีสิทธ์เลือก

เธอถามขึ้นด้วยเสียงสั่น ๆ “แล้วถ้าลู่เฉินเป็นฝ่ายเข้ามาหาฉันก่อนล่ะ?”

คุณยายนิ่งไป “ก็ลองดูสิ คนที่ถูกระบบล้างความทรงจำไปจนหมด ก็เหมือนกับคนที่ถูกสาป ลู่เฉินจะลืมความรู้สึกที่เคยมีกับเธอไปทั้งหมด”

“ตอนนี้ เธอลบความทรงจำของคนในโลกเกี่ยวกับเรื่องของซูหยิน แต่ในโลกใบนี้ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีคนจำเหตุการณ์นั้นได้”

“แม้ว่าจะมีเพียงแค่คนเดียวก็ตาม”

ซูโย่วอี๋ถามกลับ “เป็นฉันไม่ได้เหรอ?”

คุณยายส่ายหน้า “ไม่ได้ ระบบจะทำการสุ่มเลือกให้เก็บความทรงจำเรื่องที่ซูหยินถูกทำร้ายเอาไว้ บางทีคน ๆ นั้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับซูหยินเลยแม้แต่น้อย หรือเพียงแค่เคยเห็นข้อมูลเรื่องนี้มาจากในอินเทอร์เน็ต”

“หรือบางทีคน ๆ นั้นอาจจะเป็นคนที่อยู่ข้างกายของซูหยิน ฉันไม่สามารถควบคุมเงื่อนไขนี้ได้”

นี่ถือเป็นข้อจำกัดในการลบความทรงจำ

“เธอคิดดีแล้วหรือยัง?”

ซูโย่วอี๋ก้มหัวลงอย่างยอมจำนน “ฉันคิดดีแล้ว”

คุณยายหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา ใบสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏขึ้นทีละรายการ

เธอยื่นพู่กันสีดำให้ “ลงชื่อสิ”

ซูโย่วอี๋หยิบพู่กันและจุ่มลงไปในหมึก ปลายพู่กันลอยอยู่กลางอากาศอย่างเนิ่นนานไม่เขียนเสียที

คุณยายเองก็ไม่ได้รีบร้อน “สาวน้อย เวลาสิบนาทีเหลืออีกเพียงสามสิบวินาทีสุดท้ายแล้ว”

ซูโย่วอี๋รีบจรดปลายปากกาลงไปบนกระดาษ ก่อนที่ทุกอย่างจะวิงเวียน

ซูโย่วอี๋เขียนชื่อของตัวเองเสร็จ คำว่าสัญญาฉายแสงสีทองพร่างพรายออกมา

คุณยายนำสัญญาเก็บไว้ในตู้ “เรียบร้อยแล้ว”

ซูโย่วอี๋หลับตาลง “ฉันบอกลาลู่เฉินได้ไหมคะ?”

“แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น”

แม้จะเป็นแค่เพียงการพูดว่าลาก่อนก็ตาม

คุณยายพูดกับตัวเอง “เด็กสาวผู้ปากไม่ตรงกับใจ ฉันคิดว่าเธอจะยอมแพ้ไปจริง ๆ แล้วเสียอีก”

“วันนี้โลกเหนือความจริงของพวกเรามีการจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ประจำปี ท่านเทพถัวที่ต้องรับผิดชอบในสัญญาน่าจะดื่มจนเมา ช่างเถอะ ฉันให้เวลาเธอสิบสองชั่วโมง เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเธอก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”

“ไปเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว”

ซูโย่วอี๋ถูกส่งตัวออกไปจากโรงรับจำนำและกลับมายังห้องน้ำ แต่ซูหยินไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

เธอหายไปไหน?

ในห้องนั่งเล่นกลับมีเสียงพูดคุยดังออกมา ซูโย่วอี๋จึงเดินเข้าไป

ซูหยินที่ดูสดใสเหมือนเมื่อก่อนพุ่งเข้ามาคล้องคอของเธอ “ที่รัก เธอตกส้วมไปแล้วเหรอ เข้าไปตั้งนาน”

“เดาดูสิ ว่าในมือฉันมีอะไร?”

ซูโย่วอี๋กลับไม่มีกระจิตกระใจหันไปมองเลย ดวงตาของเธอเอาแต่สังเกตไปยังรอยยิ้มที่ห่างหายไปนานของซูหยิน

ดวงตาที่ดูตื่นตัว มันทั้งสวยและมีเสน่ห์

ภายในห้องนั่งเล่นยังมีคนอื่น ๆ อีกมาก ทั้งคุณนายฮัน กู่อวี๋เฉิง และลู่เฉิน

ซูหยินจิ้ม ๆ ลงที่หน้าผากของเธอ “ทำไมถึงดูเหม่อ ๆ ไปล่ะ? ไม่สนใจจริง ๆ เหรอ? งั้นฉันเก็บแล้วนะ”

“อย่าพึ่ง”

ซูโย่วอี๋รับมาและเปิดดูจดหมายตอบรับจากซองของห่อพัสดุ

วิชาเอกการออกแบบแฟชั่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

หยินหยินสอบติดแล้วจริง ๆ!

ซูโย่วอี๋อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก “เธอเก่งมากเลย ฉันจะจัดงานเลี้ยงที่โรงแรมเซิ่งหัวให้ยาว ๆ หนึ่งสัปดาห์ไปเลย”

คุณนายฮันเห็นด้วย “จะต้องจัดงานฉลองให้ดี ๆ เลยล่ะ”

ซูโย่วอี๋นึกขึ้นมาได้ว่าในท้องของซูหยินยังมีเด็กอยู่ด้วย

สายตาของเธอมองไปที่ท้องของซูหยิน ซูหยินก็เดาออกถึงความกังวลของเธอในทันที “พอเลยนะ ฉันกับคนโง่ปรึกษากันแล้ว ให้เรียนไปก่อนเทอมนึง รอให้เด็กคลอดออกมาก่อนแล้วค่อยพักการเรียนไปหนึ่งปี”

พูดจบ กู่อวี๋เฉิงก็เดินเข้ามาจับมือของซูหยินเอาไว้ “หิวไหม?”

“นิดหน่อยค่ะ”

กู่อวี๋เฉิงรีบพยุงให้เธอนั่งลงในทันที “กินผลไม้รองท้องไปก่อน ผมจะรีบให้ป้าแม่บ้านไปทำอาหารเดี๋ยวนี้เลย”