วันเวลาล่วงเลยไปจนเริ่มเข้าสู่ช่วงเหมันตฤดู อากาศค่อยๆ เย็นลง นับวันดอกเบญจมาศก็ยิ่งส่งกลิ่นหอมรัญจวนไปทั่ว
เจียงซื่อจำได้ว่า ช่วงรัชศกจิ่งหมิงปีที่สิบเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ
แม้นางจะมิใช่คนที่มีความจำเป็นเลิศ แต่เพราะในปีนั้นเป็นปีที่นางออกเรือน แต่กลับกลายเป็นว่าต้องใช้ชีวิตอ้างว้างเพียงลำพัง ซ้ำร้ายนางยังต้องเผชิกับการสูญเสียทั้งพี่ชายและพี่สาวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อนางหวนนึกถึงความทุกข์แสนสาหัสที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนในปีนั้น นางพบว่าภาพที่เกลื่อนกลาดอยู่ในความทรงจำคือความหนาวเหน็บและพายุหิมะครั้งใหญ่ที่ลอยวนอยู่ในอากาศ
เดิมทีบรรยากาศในจวนตงผิงปั๋วก็ไม่สู้ดีอยู่แล้ว ความเอื่อยเฉื่อยที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดแทรกซึมอยู่จนทั่ว แม้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดฤดูหนาว ภายในจวนกลับยังไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นทำให้จวนตงผิงปั๋วที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมทรุดโทรมลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ใบของต้นไห่ถังกลางสวนในเรือนไห่ถังร่วงโรยจนแทบจะหมดต้น เหลือทิ้งไว้แต่กิ่งก้านอ้อนแอ้นที่พลิ้วไหวไปตามลม เศษใบไม้สีเหลืองแห้งกรอบปลิดปลิวเป็นครั้งคราว ให้ภาพของผีเสื้อที่กำลังโบยบินอย่างไรอย่างนั้น
เจียงซื่อเอื้อมมือออกไปจับใบไม้ที่กำลังร่วงลงมาพลางนับวันเวลาเงียบๆ
“คุณหนู…” อาหมานผลักประตูหน้าลานและรีบวิ่งเข้ามา
หัวใจของเจียงซื่อเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
ในวันที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ ท่าทีร้อนรนของอาหมานทำให้นางมั่นใจได้ว่ามีข่าวคราวใหม่ๆ อย่างแน่นอน
และแล้วอาหมานก็นำข่าวดีมาดังที่คาด “คนของคุณชายอวี๋แจ้งว่าคนของนายท่านจู…”
เมื่อได้เห็นสายตาเย็นชาของเจียงซื่อ อาหมานก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางกลืนน้ำลายอึกหนึ่งก่อนจะบอก “บ่าวรับใช้คนนั้นของนายท่านจูแอบไปที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป และในเรือนหลังนั้นมีสตรีนางหนึ่งอาศัยอยู่ด้วยเจ้าค่ะ!”
ใจของเจียงซื่อพลันเต้นแรง
การที่คนรับใช้ของจูจื่ออวี้แอบไปที่เรือนหลังนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นคำสั่งจากผู้เป็นนาย หรือว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นจะเป็นชู้ของจูจื่ออวี้?
นางอยากจะเห็นหน้านางบำเรอที่ซ่อนตัวอยู่ในรังรักนั้นเสียจริง!
เจียงซื่อตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
นางปลอมตัวเป็นสาวรับใช้เพื่อจะออกไปนอกจวน แล้วทิ้งให้อาหมานเฝ้ารับกรรมอยู่ที่นี่
คนที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนรับใช้ของจูจื่ออวี้คือองครักษ์นายหนึ่งของอวี้จิ่น เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อมาถึงแล้ว อวี้จิ่นก็สั่งให้เขาขึ้นมา “เล่าสิ่งที่เจ้าเห็นมาให้คุณหนูเจียงฟัง”
องครักษ์ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ก้มศีรษะค้อมต่ำตามขนบพลางรายงาน “พวกข้ามีกันสองคน คอยสลับเวรกันเฝ้าบ่าวรับใช้คนนั้นขอรับ โดยปกติแล้วเขาจะออกจากเรือนสองช่วงเวลาคือ ตอนเช้าออกไปส่งคุณชายจูที่สำนักฮั่นหลิน และตอนเย็นออกไปรับคุณชายจูกลับจวนขอรับ แต่เช้าวันนี้หลังจากที่ส่งคุณชายจูแล้ว เขาไม่ได้เดินกลับทางเดิม แต่กลับเดินอ้อมไปอ้อมมาจนมาถึงเรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปขอรับ ข้าแอบปีนกำแพงเข้าไปดูพบว่าด้านในมีสตรีนางหนึ่งอาศัยอยู่ อายุอานามน่าจะราวๆ สิบห้าสิบหกปีขอรับ”
เจียงซื่อเอ่ยถามถึงลักษณะภายนอก องครักษ์เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะตอบ “หน้าตาสะสวยเอาการเลยขอรับ” ครั้นกล่าวจบก็หันไปมองเจ้านายด้วยท่าทีกระดากอาย
อวี้จิ่นหัวเราะพลางบอก “อาซื่อ เจ้าถามเช่นนี้เขาก็ลำบากใจ ในสายตาเจ้าคนพวกนี้ ต่อให้เป็นแม่หมูก็ยังบอกว่าสวย”
ใบหน้าองครักษ์ขึ้นสีแดงระเรื่อ โมโหแต่ไม่กล้าตอบโต้ “พาข้าไปดูหญิงนางนั้นที”
หากยึดสำนักฮั่นหลินเป็นจุดกึ่งกลาง เรือนหลังนั้นจะอยู่ในทิศตรงข้ามกับจวนจูพอดิบพอดี แม้ว่าจะห่างไกลแต่ที่นั่นก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
องครักษ์นำอวี้จิ่นและเจียงซื่อไปหยุดอยู่หน้าประตูเรือนธรรมดาๆ หลังหนึ่ง พลางกระซิบบอก “ที่นี่แหละขอรับ”
เจียงซื่อพิจารณาดูก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย
ประตูบานนั้นทำมาจากไม้ สีเขียวที่ใช้ทาเคลือบในตอนแรกหลุดลอกออกมานานแล้ว และที่สำคัญคือประตูบานนั้นถูกลงกลอนจากด้านนอก
เมื่อมองดูรอบๆ จะพบว่ามีตรอกซอกซอยที่มีเรือนขึ้นเรียงติดกัน ส่วนเรือนนี้จะตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดี ดูจากภายนอกแล้วคาดว่าน่าจะถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
หากไม่มีองครักษ์นำทางมา เจียงซื่อคงเดินผ่านเรือนนี้ไปเพราะคิดว่าไม่น่าจะมีผู้อยู่อาศัย
เมื่อมองดูประตูบานสีเขียวกระดำกระด่าง เจียงซื่อก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย การลงกลอนประตูในช่วงเวลากลางวันหมายความว่าคนด้านในไม่สามารถออกมาพูดคุยกับเพื่อนบ้านได้ หากนางคือหญิงในดวงใจที่จูจื่ออวี้ตั้งใจจะซ่อนไว้จริง แต่ละวันของนางก็คงจะผ่านไปอย่างทุกข์ระทม?
ใช่ว่าเจียงซื่อไม่เคยได้ยินเรื่องราวของบุรุษที่มีบ้านเล็กบ้านน้อย แต่ส่วนใหญ่มักจะหาเรือนให้นางเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แม้ทุกครั้งที่ไปเยือนเรือนหลังนั้นยากที่จะพูดว่าเป็นการเฉลิมฉลอง แต่ก็ยังนับว่าเป็นการสร้างความสง่าผ่าเผยให้แก่ตนเอง
ทั้งนี้เป็นที่รู้กันดีว่า บุรุษเป็นคนจัดการเรื่องภายนอก ส่วนสตรีเป็นคนจัดการเรื่องภายใน ภรรยาที่อยู่ในเรือนเป็นเวลานานก็ไม่อาจส่งคนไปสะกดรอยตามสามีของตนได้ตลอดเวลา หากเรือนนอกพวกนั้นมิได้อุ้มท้องโย้มาประณามถึงหน้าเรือน ก็เป็นไปได้ว่าภรรยาเอกคงไม่มีวันได้ทราบเรื่องนี้
จูจื่ออวี้ในท่าทางสง่าผ่าเผยปรากฏกายขึ้นในความคิดของเจียงซื่อ หัวใจของนางก็พลันจมดิ่งสู่เบื้องลึก
หากชายหนุ่มระมัดระวังตัวถึงขั้นนี้ เกรงว่าคงมิใช่นางบำเรอทั่วๆ ไปแล้ว
เมื่อชาติภพก่อนเขาฆ่าพี่สาวคนโต เป็นไปได้ไหมว่าวางแผนจะให้เรือนนอกขึ้นครองตำแหน่งนั้นแทน
แต่เมื่อชาติที่แล้วหลังจากพี่สาวเสียชีวิต กว่าจูจื่ออวี้จะแต่งงานใหม่ก็ใช้เวลาตั้งสามปี อีกทั้งภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่ก็เป็นเพียงบุตรีของข้าราชการธรรมดาๆ คนหนึ่ง มิใช่นางบำเรอที่ไหน
หรือว่าเขารอให้พี่สาวของนางตายไปก่อนแล้วค่อยแอบพานางบำเรอนางนั้นเข้ามาอยู่ในจวน?
ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ใครๆ ก็รู้ว่าพี่สาวคนโตเป็นสตรีอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจ หากนางได้ทราบว่าจูจื่ออวี้มีความประสงค์เช่นนั้น ถึงแม้ผู้เป็นสามีมิได้เอ่ย พี่สาวคนโตของนางคงจะพาสตรีนางนั้นเข้ามาอยู่ในจวนเสียเอง จึงดูไม่มีความจำเป็นใดๆ ให้จูจื่ออวี้ลงมือกับพี่สาวของนาง
ขณะที่ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของเจียงซื่อ จู่ๆ ก็มีเสียงของอวี้จิ่นเอ่ยถามขึ้น “วางแผนว่าจะพบนางอย่างไร”
เจียงซื่อหลุดจากภวังค์ หญิงสาวหันไปมองกำแพงสูงที่ล้อมรอบเรือนอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้อย่าเพิ่งไปรบกวนคนด้านในเลยจะดีกว่า เดี๋ยวข้าลองดูรอบๆ ก่อนแล้วกัน”
“ได้” อวี้จิ่นตอบแผ่วเบา ชายหนุ่มเอื้อมมือข้างหนึ่งไปโอบเอวเจียงซื่อแล้วพานางกระโดดขึ้นไปบนกำแพง และไต่ไปตามหลังคา
หลังคาเรือนหลังนั้นมีลักษณะลาดเอียง แต่นั่นมิได้ส่งผลใดๆ ต่ออวี้จิ่นเลยแม้แต่น้อย
กว่าเจียงซื่อจะตั้งสติได้ เขาทั้งคู่ก็นอนหมอบอยู่บนหลังคาเรียบร้อยแล้ว
ลานเล็กๆ ด้านในไร้ซึ่งผู้คน
เจียงซื่อขยับตัวเล็กน้อย ทว่าถูกเสียงต่ำของชายหนุ่มปรามไว้เสียก่อน “อย่าเพิ่งขยับ ข้าจะเรียกนางออกมาเอง”
หลังจากเงียบงันชั่วอึดใจ เจียงซื่อก็กลั้นใจเอ่ยขึ้นว่า “เอามือของเจ้าออกไป”
ไอ้คนกะล่อน แอบจับก้นนางเสียได้!
อวี้จิ่นชำเลืองลงไปมอง ใบหน้าของชายหนุ่มพลันร้อนผ่าว
ไม่ทันสังเกตเลยว่าวางมือผิดที่…
เอวของหญิงสาวผอมเพรียวเนื่องจากอยู่ในท่านอนคว่ำ อาภรณ์ที่สวมแนบติดไปกับเรือนร่างบอบบาง เผยให้เห็นบั้นท้ายโค้งงอนเล็กๆ อย่างชัดเจน
แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดฟุ้งซ่าน
อวี้จิ่นรีบถอนสายตากลับมาพลางเอ่ยเคร่งขรึม “ขอโทษ”
ทว่าในใจกู่ร้องเริงร่า
อืม จะแสดงออกว่ามีความสุขไม่ได้ เดี๋ยวถูกตบหน้า
เขากลั้นยิ้มมุมปากก่อนจะหันไปหยิบเศษกระเบื้องมุงหลังคาแล้วโยนลงไปกลางลาน
เศษกระเบื้องกระทบเข้าที่หน้าต่าง ส่งเสียงดังไม่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูเรือนก็ถูกผลักออก หญิงสาวในชุดกระโปรงที่ตัดเย็บอย่างเรียบง่ายย่างกรายออกมา นางหยุดยืนอยู่ที่กลางลานก่อนจะมองซ้ายมองขวา
“ไม่มีใครนี่” หญิงสาวพึมพำ และรีบเดินไปผลักประตูใหญ่หน้าเรือน
แต่เนื่องจากประตูบานนั้นถูกลงกลอนจากด้านนอกจึงไม่ขยับเขยื้อนเป็นธรรมดา
เด็กสาวหันหลังเดินกลับไปพร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่านางดูหดหู่กว่าเดิม
ไม่ช้าไม่นานเด็กสาวก็เดินกลับเข้าไปในเรือน ประตูเรือนถูกปิดสนิทอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อจ้องตาไม่กะพริบ อวี้จิ่นจึงถามเบาๆ “เห็นชัดไหม”
เจียงซื่อพยักหน้าช้าๆ และหันไปจับมือเขาแน่น เสียงของนางสั่นเล็กน้อย “ให้ข้าดูอีกที!”
อวี้จิ่นประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะใช้กลยุทธ์เดิมเรียกเด็กสาวผู้นั้นออกมาอีกครั้ง
เจียงซื่อจ้องเด็กสาวนางนั้นด้วยใบหน้าขาวซีด นางรู้สึกเหมือนหลงทางอยู่ใจกลางหมอกหนาทึบ เย็นวาบตั้งแต่หัวใจจรดปลายนิ้วทั้งสิบ
ที่แท้เด็กสาวคนนั้นก็คือฉิงเอ๋อร์!
เช่นนั้น… พี่ใหญ่พาใครไปล่ะ?