เมื่อเห็นว่าอาการของเจียงซื่อผิดแปลกไป อวี้จิ่นจึงรีบกระซิบถามข้างหู “เป็นอะไรไปหรือ”
เจียงซื่อยังคงไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง
อวี้จิ่นจึงหันไปพิศมองเด็กสาวอีกครั้ง
มีหนึ่งจมูกกับสองตา มีอะไรแปลกตรงไหน
“อยากให้ข้าพานางกลับไปด้วยหรือไม่”
เจียงซื่อเพิ่งจะได้สติ ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเด็กสาวที่กำลังเดินหายเข้าไปหลังบานประตู นางส่ายศีรษะ “ไม่ต้อง พวกเรา…กลับกันเถอะ…”
นางยืนขึ้นและพยายามรวบรวมสติที่ร่วงลงไปที่ตรอกด้านล่าง มือใหญ่เอื้อมมาจับมือเย็นเฉียบของหญิงสาวเอาไว้
ไออุ่นจากฝ่ายมืออีกฝ่ายทำให้เจียงซื่อรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
นางค่อยๆ สงบสติลง แล้วหันไปกล่าวกับอวี้จิ่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ามีเรื่องจะขอให้ช่วย”
“แค่เจ้าบอกมา คนของข้า เจ้าเรียกใช้ได้ตามสบาย” อวี้จิ่นคลี่ยิ้มพลางกล่าวเสริม “รวมถึงตัวข้าด้วย”
“ช่วยเฝ้านางเอาไว้ให้ดี อย่าให้คลาดสายตา”
“มีอะไรอีกไหม” เรื่องเล็กแค่นี้ แม้อาซื่อไม่ได้ขอร้อง เขาก็สั่งลูกน้องให้ทำอยู่แล้ว
การที่อาซื่อยอมขอความช่วยเหลือจากเขาอธิบายได้ว่านางเริ่มยอมรับเขาแล้ว เขาต้องประพฤติตัวให้ดี จะได้แต่งงานกับนางและพานางกลับไปอยู่ที่จวนไวๆ
“ไม่มีแล้ว…ข้าจะกลับแล้ว”
อวี้จิ่นยังคงไม่ปล่อยมือจากหญิงสาว “อาซื่อ สรุปนี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดเจ้าเห็นเด็กสาวนั่นแล้วถึงได้เสียอาการเช่นนี้”
เจียงซื่อละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง
นางขอให้อวี้ชียื่นมือเข้ามาช่วยเรื่องของพี่สาวคนโต เดิมทีไม่อยากให้เขาเข้ามาเกี่ยวข้องมากไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วสองคนจะดีกว่าคนเดียว
ไม่ช้าไม่นาน นางก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ช่วยฉิงเอ๋อร์ระหว่างทางกลับจากวัดไป๋อวิ๋นให้อวี้จิ่นฟัง
เมื่ออวี้จิ่นฟังจบก็เอ่ยขึ้นว่า “หากยังคิดไม่ตกก็ลองไปที่จวนตระกูลจูดูว่าฉิงเอ๋อร์อยู่ที่นั่นหรือไม่”
“หากนางอยู่ล่ะเจ้าคะ” เจียงซื่อถามกลับทันควัน
อวี้จิ่นลูบผมของนาง “เจ้าเนี่ยนะ มัวแต่ว่ายเวียนอยู่ในปัญหาจึงมองอะไรได้ไม่ทะลุปรุโปร่ง หากฉิงเอ๋อร์อยู่ที่จวนตระกูลจูก็หมายความว่า คนที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ฉิงเอ๋อร์ เป็นแค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น และความเป็นไปได้ก็คือทั้งคู่อาจเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน”
เจียงซื่อผงะในตอนแรก แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกว่ามีมือใหญ่มาช่วยปัดเป่าให้หมอกหนาทึบตรงหน้าจางหายไป
นางเอาแต่ว่ายเวียนวนอยู่ในปัญหาจริงอย่างที่ว่า เพราะหากมี ‘ฉิงเอ๋อร์’สองคนย่อมหมายความว่าอีกคนต้องไม่ใช่ ‘ฉิงเอ๋อร์’
หรือว่า…เป็นอวี่เอ๋อร์?
มีความคิดหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในหัวเจียงซื่อ
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับข้อมูลที่ได้จากหอเยี่ยนชุน จึงอุปทานไปว่า หลังจากคนรับใช้ของจูจื่ออวี้ไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์ออกมาแล้ว เขาได้ส่งนางคืนให้พี่ชายของนาง แต่หลังจากนั้นพี่ชายผู้ชื่นชอบการพนันเป็นชีวิตจิตใจเปลี่ยนชื่อน้องสาวและพานางไปขายอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อพี่สาวคนโตของเจียงซื่อพบนางเข้าจึงได้ช่วยชีวิตนางไว้
หากตอนนี้ฉิงเอ๋อร์ยังอยู่ที่จวนตระกูลจู เป็นไปได้ว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว…
เจียงซื่อตัดสินใจว่าจะไปสืบที่จวนจูเดี๋ยวนั้น จึงหันไปอำลาอวี้จิ่น
อวี้จิ่นยังคงรั้งตัวนางไว้ “ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยาก เจ้าก็แค่ปลอมเป็นสาวรับใช้ของข้า แล้วข้าก็พาเจ้าไปที่นั่นไม่ง่ายกว่าหรือ อย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนรับผิดชอบคดีม้าพยศ”
“ท่านอ๋องพาบ่าวรับใช้หญิงไปสืบคดีที่จวนจูจะไม่ถูกคนวิจารณ์หรือ”
อวี้จิ่นยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเขาไม่กล้าวิจารณ์ข้าต่อหน้าหรอก อย่างมากก็คงนินทาลับหลัง ในเมื่อข้าไม่ได้ยิน ก็ไม่เห็นต้องใส่ใจว่าคนพวกนั้นจะว่าอย่างไร…”
“อะไรนะ!”
อวี้จิ่นถอนหายใจ “อาซื่อเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเพิ่งจะฟ้องดำเนินคดีคนพวกนั้น คิดว่าเขาจะต้อนรับเจ้าหรืออย่างไร ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู เจ้าลองส่งเทียบขอเข้าพบไป ดูสิว่าตระกูลจูจะปฏิเสธเจ้าอย่างไร”
ก่อนหน้าที่นางจะหักหน้าตระกูลจูโดยการฟ้องศาล นางก็เคยคิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น แต่ทว่าตอนนั้นนางได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว เพียงแต่ว่าหากจะรีบไปที่จวนจูตอนนี้ ต่อให้มีแผนเตรียมไว้พร้อมก็เกรงว่าจะไม่ทันการณ์
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นางก็คิดได้ว่าอย่างไรเสียการไปกับอวี้ชีก็เป็นหนทางที่ดีที่สุด
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อพยักหน้าตกลง อวี้จิ่นก็เผยยิ้มพลางกล่าวด้วยความมั่นใจ “ไหนลองเรียกคุณชายสิ จะดูว่าเหมือนไม่เหมือน”
ดวงตายิ้มแย้มคู่นั้นทำให้เจียงซื่อรู้สึกไม่อยากอ้าปากพูดโดยไม่มีเหตุผล
ไอ้คนฉวยโอกาส!
นางสงบสติก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “คุณชาย ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นปีติยินดีจนเนื้อเต้น
อีกหน่อย ไว้ลองให้อาซื่อเรียก ‘พี่ชี’ ดีกว่า
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน จูเส้าชิงจึงยังไม่กลับมาที่จวน เมื่อจูฮูหยินได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องมาเยือน ใจของนางก็ไม่เป็นสุขทันที
มีคนใหญ่คนโตมาเยี่ยมเยือน ต่อให้รู้สึกกระดากใจเพียงใดก็ต้องเปิดประตูต้อนรับ
จูฮูหยินฝืนใจยอมพบอวี้จิ่น นางเหลือบมองปราดหนึ่งก่อนจะพบว่า ท่านอ๋องพาสาวรับใช้นางหนึ่งมาด้วย นั่นทำให้นางยิ่งรู้สึกตะขิดตะขวงใจยิ่งขึ้น
ช่างไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติเสียจริง!
“ท่านอ๋องเสด็จมาเยี่ยมเยือนจวนอันต่ำต้อยของข้า มิทราบว่ามีเหตุอันใดนำพาท่านมาที่นี่หรือเจ้าคะ” แม้ว่าในใจจะรู้สึกคับข้องเพียงใด แต่จูฮูหยินก็ไม่อาจแสดงอาการออกมาได้ นางยังคงตอบรับด้วยท่าทีสุภาพ
อวี้จิ่นเอนตัวผิงพนักเก้าอี้ พลางยกถ้วยชาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “จูฮูหยินลืมไปแล้วหรือว่าคดีที่เกิดในจวนของเจ้ายังไม่คลี่คลาย”
จูฮูหยินแทบจะสาดน้ำชาใส่หน้าอวี้จิ่น
เยี่ยนอ๋องไม่มีงานการอื่นทำหรืออย่างไร ถึงได้ตามรังควานพวกนางไม่เลิก
ทุกวันนี้จวนจูก็ไม่ค่อยจะสุขสงบอยู่แล้ว
เรื่องที่คนขับรถม้าเสียชีวิต จูเส้าชิงก็ให้คนไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว แต่กลับคว้าน้ำเหลว
เนื่องด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จูเส้าชิงจึงโทษว่าเป็นเพราะจูฮูหยินดูแลเรือนได้ไม่ดีพอ
จูฮูหยินเป็นคนห่วงหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด แม้จูเส้าชิงมิได้พูดออกมาตรงๆ แต่ความหมายที่บอกเพียงพอแล้วที่จะทำให้นางนอนหลับอย่างไม่เป็นสุข
นางเพิ่งจะรู้สึกว่าเรื่องสงบลงได้ไม่นาน เยี่ยนอ๋องก็โผล่มาอีกแล้ว!
“หรือว่าท่านอ๋องมีเบาะแสใหม่หรือเจ้าคะ” จูฮูหยินถามอย่างจงใจ
พวกเขาสืบแล้วแต่ยังไม่ได้ความคืบหน้า หากเยี่ยนอ๋องพบเบาะแสก็พิลึกสิ้นดี
การยั่วยุของจูฮูหยินมิได้สร้างความรู้สึกใดๆ ให้แก่อวี้จิ่น เขาวางถ้วยชาลงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่มีเบาะแสใดๆ เลยลองมาหาดูที่นี่อย่างไรล่ะ รบกวนจูฮูหยินช่วยเรียกต้าไหน่ไนออกมาพบข้าที”
จูฮูหยินลอบด่า ไร้ยางอาย ในใจก่อนจะเผยยิ้มจางๆ “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่เจียงอียังขวัญผวาจากเรื่องวันนั้นไม่หาย ร่างกายของนางจึงยังไม่สู้ดี เกรงว่าการพบปะวันนี้คงไม่สะดวกนัก”
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการให้สะใภ้พบปะกับชายอื่นจะสร้างความไม่พอใจอย่างไร แค่จูฮูหยินเห็นหน้าคนนอกรีตอย่างอวี้จิ่น ความเกลียดจงชังก็เอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีทางที่นางจะปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของเขาอย่างแน่นอน
ครั้นเจียงซื่อได้ยินว่าเจียงอีล้มป่วย ปากของนางก็เม้มลงเบาๆ
จูฮูหยินค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นอย่างแช่มช้า
นางไม่คิดว่าในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว คนตำแหน่งสูงอย่างเยี่ยนอ๋องจะดึงดันขอพบลูกสะใภ้ของนางให้ได้
รอยยิ้มยังคงปรากฏชัดบนใบหน้าของอวี้จิ่น “ในเมื่อต้าไหน่ไนร่างกายไม่สู้ดีก็ช่างเถอะ งั้นจูฮูหยินช่วยเรียกสาวรับใช้ของต้าไหน่ไนมาพบข้าแทนแล้วกัน”
จูฮูหยินละล่ำละลักทันที
อวี้จิ่นเลิกคิ้ว “ทำไมรึ หรือแม้แต่สาวรับใช้ก็ไม่สะดวกมาพบข้า”
“ท่านอ๋องกล่าวเกินไปเจ้าค่ะ”เมื่อจูฮูหยินถูกกล่าวล่วงเกินเช่นนั้นก็จนด้วยคำพูด จึงหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้อีกคนให้ออกไปตาม
ไม่นานนัก กลุ่มสาวรับใช้ก็มายืนออกันอยู่จนเต็มหน้าลาน
ชายหนุ่มเดินสำรวจใบหน้าของบ่าวรับใช้สูงอายุโดยมีสาวรับใช้คิ้วทรงตรงเดินตามหลัง
“มากับครบถ้วนแล้วใช่หรือไม่” อวี้จิ่นชะลอฝีเท้าและถามแบบไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เขาก็ชะงักฝีเท้าทันที ส่วนเจียงซื่อที่เหลือบไปเห็นก็รีบก้มศีรษะลงทันใด นางพยายามข่มกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนแม้ว่าดวงตาของนางจะซ่อนไว้ไม่มิด
ฉิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่จริงด้วย!
ฉิงเอ๋อร์ อวี่เอ๋อร์…
ทั้งคู่หน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน นี่สินะคือเหตุผลที่จูจื่ออวี้วางแผนใช้ฉิงเอ๋อร์เป็นเครื่องมือ!