นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 157 เจ้าไม่ชอบที่ข้าลูบเจ้าหรือ
ไป๋ยี่เซวียนเอ่ยกับโจวกุ้ยหลานตามมารยาทอีกสองสามคำ จากนั้นจึงถามนางเรื่องขนม
โจวกุ้ยหลานจนปัญญาจะทำและทำได้เพียงมุ่งความสนใจไปในเรื่องของครอบครัว “ดังนั้นพวกเข้าก็เลยทำไม่ได้แล้ว”
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ถ้ามีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยได้ พวกท่านบอกเรามาได้เลย”
ไป๋ยี่เซวียนว่าแล้ว ลูกจ้างจึงยกอาหารมาวางลงบนโต๊ะ
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ หยิบชามของโจวกุ้ยหลานขึ้นมาและช่วยคีบของโปรดของนางมาไว้ตรงหน้า จากนั้นจึงบอกว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น กินก่อนเถิด”
โจวกุ้ยหลานตอบรับ จากนั้นจึงหยิบชามและตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก นางชิมรสและกล่าวว่า “อาหารของเถ้าแก่รสชาติดีกว่าเมื่อก่อนนะ”
“แม่นางกุ้ยหลานยังมีฝีมือเหมือนเดิม แค่ชิมคำเดียวก็รู้เลย นี่เป็นอาหารฝีมือพ่อครัวคนใหม่ที่ข้าเพิ่งว่าจ้าง ฝีมือดีกว่าพ่อครัวคนก่อนมาก”
“มิน่าเล่า” โจวกุ้ยหลานตอบและชิมรสชาติของปลาอีกครั้ง
อาหารรสชาติดีมาก ทักษะการทำอาหารของพ่อครัวก็ยอดเยี่ยม
ถ้าดูแค่การทำอาหาร ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวนั้นดีกว่านาง และก็ใช่ คนเหล่านี้ครุ่นคิดเกี่ยวกับอาหารการกินเหล่านี้ตลอดทั้งวัน นางยังห่างไกลจากพวกเขามาก
ส่วนเรื่องเครื่องเทศก็เป็นเพราะโชคเข้าข้าง ไม่อย่างนั้นคงหาเงินไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่นี่มีใครทำขนมหัวไชเท้าหรือเปล่า ถ้าได้กินสักครั้งคิดว่าจะต้องเรียนรู้ได้แน่ๆ
ดวงตาของไป๋ยี่เซวียนจับจ้องอยู่ที่โจวกุ้ยหลาน นึกอยากจะขอความคิดเห็นจากนาง
สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ มองเห็นสายตาของเขาและขมวดคิ้วขึ้นมา
“เถ้าแก่ไป๋ไม่ไปรับแขกหรอกหรือ”
ไป๋ยี่เซวียนชะงักและหันไปมอง จากนั้นจึงเห็นเจตนามุ่งร้ายในแววตาของสวีฉางหลิน
เหตุใดจึงได้มีเจตนามุ่งร้ายกันเล่า?
ไป๋ยี่เซวียนรู้สึกแปลกใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจได้ว่าสวีฉางหลินกำลังไล่เขา ดังนั้นจึงไม่ดีเลยที่จะอยู่ต่อ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยืนขึ้นและเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ทั้งสามท่านโปรดกินให้อร่อย ถ้าไม่พอก็เรียกเด็กให้นำอาหารมาเพิ่มได้เลย”
“ขอบคุณมากเถ้าแก่ไป๋!” โจวกุ้ยหลานเอ่ยกับไป๋ยี่เซวียนด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มนั้นทำให้แววตาของไป๋ยี่เซวียนวูบไหว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเลยว่ารอยยิ้มของโจวกุ้ยหลานสวยงามขนาดนี้
“กินข้าว” สวีฉางหลินยื่นมือมาหมุนศีรษะของโจวกุ้ยหลานให้หันกลับมา หลบเลี่ยงจากสายตาของไป๋ยี่เซวียน
ไป๋ยี่เซวียนอ้าปากกำลังจะพูดบางอย่าง แต่แล้วก็ต้องพบกับสายตาของสวีฉางหลิน แววตาคู่นั้นเย็นเยียบอย่างน่าสะพรึงกลัว
เขาตัวสั่นเล็กน้อย แต่แล้วก็รีบระงับความไม่สบายใจและออกจากห้องไปอย่างหมดสภาพ
แม้ว่าจะออกมาแล้วเขาก็ยังรู้สึกกลัว สายตาของสวีฉางหลินเมื่อครู่นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาเป็นใครกันแน่
คราวก่อนเขาจัดการพวกอันธพาลที่มาวุ่นวายที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงได้อย่างง่ายดาย ดูแล้วเขาน่าจะมีวรยุทธสูงส่ง แล้วยังมีโจวกุ้ยหลานนั่นอีก คราวนี้ใบหน้าของนางดูมีน้ำมีนวลและขาวผุดผ่องมิใช่น้อย สีหน้าก็ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก…
ตอนที่เขาหันกลับไปเพื่อปิดประตู เขาเห็นโจวกุ้ยหลานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสวีฉางหลิน แต่เขาไม่ได้มองต่อไป เขารีบปิดประตูห้องส่วนตัวและเดินจากไปทันที
โจวกุ้ยหลานลูบคอตนเองและมองสวีฉางหลินอย่างไม่พอใจ “เจ้าจะมือหนักเกินไปแล้ว!”
เมื่อครู่นี้นางกำลังพูดอยู่ดีๆ แต่ชายคนนี้ก็มาคว้าคอนางบิดกลับมา ทำให้นางเจ็บ
“อย่ายิ้มให้ชายอื่น” สวีฉางหลินไม่สนใจคำบ่นของโจวกุ้ยหลานและเอ่ยถึงสิ่งที่เขาต้องการ
“เจ้าทำข้าเจ็บ ยังจะมห่ให้พูด!” โจวกุ้ยหลานไม่สนใจสวีฉางหลินที่ชวนเปลี่ยนเรื่องและตำหนิเขาต่อ
ผู้ชายคนนี้ประมาทเกินไปแล้ว ถ้าเขาออกแรงขึ้นอีกนิดเดียว คอของนางคงถูกบิดจนหักแน่ ที่สำคัญสุดๆ ก็คือเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาผิด!
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่ได้สัญญากับข้า”
“เจ้าต้องขอโทษข้าก่อน!”
โจวกุ้ยหลานจ้องสวีฉางหลินเขม็ง นางจะต้องทำให้เขารู้ให้ได้ว่าเขาผิด และเขาต้องปรับปรุงท่าทีของเขา!
เมื่อเห็นทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกัน โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “ไม่เป็นไรน่า เรารีบกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวข้าวจะเย็นซะหมด…”
โจวกุ้ยหลานหันกลับมา “ท่านกินไปก่อน ข้าจะคุยเรื่องนี้กับเขาให้มันชัดเจน”
จากนั้นจึงหันกลับไปจ้องมองสวีฉางหลิน
นางเอามือลูบคอของตนเองโดยไม่รู้ตัวและมันยังคงเจ็บ สวรรค์รู้ดีว่าเมื่อครู่นี้เขาหนักมือขนาดไหน!
ความรุนแรงแบบนี้ถือเป็นลางบอกเหตุในครอบครัว เรื่องความประมาทแบบนี้ นางไม่มีทางยอมทนแน่นอน!
“กุ้ยหลาน จะอะไรกันนักหนา พวกเจ้าสามีภรรยาคุยกันให้ดีๆ…” โจวต้าไห่เกลี้ยกล่อม
โจวกุ้ยหลานหันกลับไปจ้องโจวต้าไห่เขม็ง “ท่านน่ะสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตัวเองก่อนเถอะ”
โจวต้าไห่ได้ยินแบบนี้และทำได้เพียงปิดปากเงียบ มองทั้งสองคนที่เอาแต่จ้องกันไม่วางตา
“ข้าออกแรงหนักไปแล้ว” สวีฉางหลินเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“แค่นี้น่ะหรือ” โจวกุ้ยหลานไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือคำขอโทษของเขา
สวีฉางหลินกะพริบตาปริบๆ และครุ่นคิดนิดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “อืม”
หากดูแค่ท่าทางของเขา คนไม่รู้คงคิดไปว่าเขากำลังตัดสินใจครั้งใหญ่
โจวกุ้ยหลานกลอกตาและใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของเขา “ข้าจิ้มไปแบบนี้เจ้ามีความสุขไหมล่ะ”
“มี” สวีฉางหลินตอบอย่างเคร่งขรึม
เหตุใดจะไม่มีความสุข? ก็มันเป็นการที่เขาได้สัมผัสกับภรรยามิใช่หรือ
โจวกุ้ยหลานกลอกตาเหมือนจะขึ้นฟ้าแล้ว นางสื่อสารอะไรกับชายผู้นี้ไม่ได้เลย นางกับเขาพูดไม่ถึงเรื่องเดียวเลย!
“ข้าจะบอกให้ ว่าการจิ้มคนอื่นแบบนี้มันเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ มันจะทำให้เจ็บหน้าอก นอกจากนี้ยังทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดด้วย”
“ไม่เจ็บ ข้าสบายมาก” สวีฉางหลินตอบขึ้นมาอีก
โจวกุ้ยหลานโกรธมากจนต้องดึงมือกลับ “นี่เจ้าจงใจหรือ จงใจทำให้ข้าโกรธจนตาย จากนั้นเจ้าจะได้ไปแต่งงานกับผู้หญิงสวยๆ ที่เพียบพร้อม”
“เปล่านะ” สวีฉางหลินยังคงตอบนาง
ในเมื่อมีภรรยาอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องแต่งงานมีภรรยาอีก ภรรยาของเขาดีขนาดนี้และดีกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ
โจวกุ้ยหลานเอามือลูบหน้าผากตัวเองและรู้สึกเหลือจะทน
เฮ้อ นางไม่มีวิธีคุยกับผู้ชายคนนี้แล้วจริงๆ บางทีนี่อาจเป็นช่องว่างระหว่างคนต่างรุ่น ว่ากันว่าช่องว่างระหว่างวัยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคน นางกับผู้ชายคนนี้เกรงว่าจะห่างกันถึงพันปี และช่องว่างระหว่างรุ่นนี้ก็เหมือนทางช้างเผือกดีๆ นี่เอง อืม… ไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องได้เลย
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจ ขณะที่คิดจะพูดก็ได้ยินเขาถามขึ้นมาว่า “เจ้าอยากแต่งงานใหม่หรือ”
แต่งงานใหม่กับผีนะสิ!
นางพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อโจวกุ้ยหลานมองเขาอีกครั้ง นางจึงเห็นว่าสวีฉางหลินกำลังมองนางอย่างระมัดระวัง
“เจ้าไม่ชอบที่ข้าสัมผัสเจ้าหรือ”
โจวกุ้ยหลาน “?!”
พี่ชายนางอยู่ที่นะ!
เพื่อกันไม่ให้สวีฉางหลินพูดอะไรอีก นางจึงรีบโฉบไปหาเขาและยื่นมือออกไปปิดปากเขาซะ “อย่าพูดจาเหลวไหล! หยุดพูดตั้งแต่ตอนนี้เลย!”
สวีฉางหลินขมวดคิ้ว เหตุใดน้องนางจึงไม่ยอมให้เขาพูด? เป็นไปได้ไหมว่านางจะคิดอย่างนั้นจริงๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งเกร็งขึ้นมา
“พยักหน้าสิ!” โจวกุ้ยหลานเอ่ยกับเขา
แต่สวีฉางหลินไม่ขยับเขยื้อนหรือเอ่ยอะไร