บทที่ 158 มีอะไรจะพูดให้ยั้งไว้ก่อน

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 158 มีอะไรจะพูดให้ยั้งไว้ก่อน
โจวกุ้ยหลานโกรธจนอยากจะฟาดเขาแรงๆ!

แทบอยากจะเปิดสมองของเขาดูเสียเดี๋ยวนี้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าก้มตา ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

โจวกุ้ยหลานคว้าแขนของสวีฉางหลินเต็มแรงและเอ่ยอีกว่า “พยักหน้าสิ!”

สวีฉางหลินไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและปล่อยให้ภรรยาจับเขาอยู่อย่างนั้น

นางไม่ชอบให้เขาสัมผัสนางจริงๆ ไม่งั้นทำไมจนถึงตอนนี้นางยังไม่นอนกับเขาสักที

หรือนางจะมีคนอื่นในใจอยู่แล้ว นางจึงไม่ยอมให้เขาแตะต้อง ต่อไปพอหาโอกาสได้ นางจะหนีไปกับชายอื่นงั้นหรือ

เมื่อนึกถึงสายตาที่ไป๋ยี่เซวียนมองน้องนางของเขาเมื่อครู่นี้ ไฟโทสะในใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

เขาเอื้อมมือไปกอดเอวน้องนางเอาไว้ แกะมือของนางออกและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง “เจ้าชอบไป๋ยี่เซวียนใช่หรือไม่”

“อะไรนะ” โจวกุ้ยหลานชะงักงัน

“เจ้าอยากแต่งงานกับเขา อยากเขาสัมผัสเจ้างั้นหรือ” สวีฉางหลินพูดไป คิ้วก็ยิ่งขมวดกันแน่น ร่างกายของเขาแทบจะระเบิดออก และโทสะในน้ำเสียงก็ยิ่งเพิ่มพูน

โจวกุ้ยหลานสงสัยว่าหูของตนอาจจะมีอะไรผิดปกติ หรือไม่สมองของสวีฉางหลินก็ผิดปกติเสียเอง!

นางไม่อาจดึงมือออกจากการเกาะกุมของสวีฉางหลิน ดังนั้นจึงใช้มืออีกข้างปิดปากของเขา กันไม่ให้เขาพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมาอีก

“สวีฉางหลิน ข้าขอเตือนเจ้า ถ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลอีกละก็ ข้าจะวางยาพิษเจ้าจนตายเลยคอยดู!”

โจวกุ้ยหลานโกรธจนหน้าแดง

ที่นี่คือที่ไหน นี่มันในโรงเตี๊ยมของไป๋ยี่เซวียน! นอกจากนี้พี่ชายของนางยังอยู่ด้วย! จะบ้าอย่างไรก็ต้องดูสถานที่บ้าง!

พอสวีฉางหลินได้ยินน้องนางบอกว่าจะวางยาพิษเขาจนตาย ภายในใจก็ยิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดี

เมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของเขา โจวกุ้ยหลานจึงเอ่ยอย่างโมโหว่า “ตอนนี้น่ะ ถ้ามีอะไรจะพูดก็ให้ยั้งไว้ก่อน ถ้าโกรธก็ระงับเอาไว้ อยากจะคิดเพ้อเจ้ออะไรก็เรื่องของเจ้า ไว้กลับไปเมื่อไรเราค่อยมาเถียงกัน!”

นางไม่อยากจะเถียงกับเขาต่อหน้าโจวต้าไห่ มันน่าเสียหน้าเกินไป!

ปากของสวีฉางหลินถูกปิดไว้ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ได้และได้แค่มองโจวกุ้ยหลานเงียบๆ

โจวกุ้ยหลานเอ่ยอย่างโหดๆ อีกครั้งว่า “ถ้าเข้าใจก็พยักหน้า!”

คราวนี้สวีฉางหลินพยักหน้าตามที่นางต้องการ

โจวกุ้ยหลานปล่อยมือและตีมือเขาที่จับเอวนางไว้ “ปล่อยมือ!”

สวีฉางหลินปล่อยมือตามที่นางสั่ง แม้แต่มือที่จับแขนของนางก็ยอมปล่อยออกมาด้วย

หลังจากกลับมานั่งที่ของตัวเอง นางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารโดยไม่สนใจผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นจึงได้แต่ยกชามของตนเองขึ้นมากิน

เมื่อโจวต้าไห่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นทั้งคู่เลิกทะเลาะกัน เขาจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

ทั้งสามคนกินอาหารอย่างเงียบๆ จนอิ่ม และในระหว่างนั้นไป๋ยี่เซวียนก็ไม่ได้มาปรากฏตัวให้เห็นอีก

โจวกุ้ยหลานตะโกนเรียกลูกจ้างให้มาช่วยนางห่ออาหารที่ยังกินไม่หมด ส่งให้สวีฉางหลินถือลงไปข้างล่าง จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะคิดเงินเพื่อจ่ายเงิน

ลูกจ้างผู้นั้นรีบโบกมือบอกปัดนาง “เถ้าแก่ของข้าบอกว่า มื้อนี้ให้จดไว้ที่บัญชีของเขาขอรับ”

“ทำแบบนั้นได้ยังไง ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เปิดกิจการเพื่อทำการค้า มีเหตุผลอะไรถึงมาให้พวกข้ากินกันเปล่าๆ” โจวกุ้ยหลานกล่าว จากนั้นจึงหันไปมองคนทำบัญชี “รบกวนคิดเงินด้วย พวกข้าต้องจ่ายเท่าใด”

ลูกจ้างหนุ่มมองไปรอบๆ อย่างร้อนใจ เมื่อเห็นไป๋ยี่เซวียนมองมาทางนี้เขาจึงดีใจมาก จากนั้นจึงเห็นเถ้าแก่ของเขาเดินมาทางนี้

คนทำบัญชีส่ายหน้า “บนโต๊ะของพวกท่านไม่มีรายการอาหาร ข้าคิดไม่ได้ขอรับ”

“ก็จดไว้ในบัญชีเถ้าแก่ของพวกท่านมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่มีรายการอาหาร ท่านผู้เฒ่าอย่าหลอกข้าเลย…” โจวกุ้ยหลานเอ่ยพลางจ้องมองชายชราผู้ทำบัญชี

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แบบนี้คือการทำบัญชีให้ชัดเจน แม้ว่าในครัวจะทำอาหารแค่จานเดียวก็ต้องจดไว้

“บอกไปแล้วว่ามื้อนี้ข้าเลี้ยง เหตุใดพวกท่านจึงยังมาจ่ายเงินอีก” เสียงของไป๋ยี่เซวียนดังขึ้นมา พร้อมกับตัวเขาที่เดินเข้ามาหา

พอเห็นไป๋ยี่เซวียนที่เดินเข้ามา คิ้วของสวีฉางหลินก็ขมวดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงเอ่ยกับโจวกุ้ยหลานทันทีว่า “จ่ายเงินไป!”

โจวกุ้ยหลานเบ้ปาก จากนั้นจึงแย้มมุมปากขึ้นและเอ่ยกับไป๋ยี่เซวียนว่า “ถ้าท่านไม่บอก ข้าจะจ่ายเงินทิ้งไว้ให้ท่านหนึ่งตำลึงเงิน”

“อย่าๆๆ ต้องใช้ถึงหนึ่งตำลึงเสียที่ไหนกัน” ไป๋ยี่เซวียนรีบตอบทันที

และในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็เข้าใจทันทีว่าโจวกุ้ยหลานตั้งใจจะจ่ายเงินให้ได้ ตอนนี้เขาจึงให้คนทำบัญชีคิดเงิน ซึ่งรวมแล้วเป็นเงินหนึ่งเฉียน หลังจากจ่ายเงินแล้วจึงไปส่งพวกนางออกจากร้าน

ก่อนจะจากกันเขายังกล่าวอีกว่า “ถ้าในอนาคตพวกท่านมีของดีๆ อีก ก็ขอให้ส่งมาให้ที่โรงเตี๊ยมเทียนเซียงของข้า ข้ารับประกันว่าจะจ่ายให้พวกท่านอย่างงาม!”

ทันทีที่เขาเอ่ยออกมา โจวกุ้ยหลานก็นึกถึงอาชีพการเพาะพันธุ์ในอนาคตของนางทันที จากนั้นนางจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสามคนเดินออกไปทางประตูตำบลด้วยกัน จากนั้นจึงเห็นเกวียนเคลื่อนของเหล่าหม่าโถวอยู่ไม่ไกล และในเกวียนเคลื่อนนั่นก็ไม่มีใครอยู่เลย

ทั้งสามคนเดินไปไม่กี่ก้าวและขึ้นรถของเหล่าหม่าโถว จากนั้นรถจึงขับตรงไปที่หมู่บ้าน

โจวกุ้ยหลานพูดคุยกับเหล่าหม่าโถวอีกครั้งเมื่อขณะที่อยู่ระหว่างทาง เมื่อพูดถึงการขายถ่าน โจวกุ้ยหลานก็เผลอพลั้งปากพูดออกไปว่า “นี่ก็รวมเป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้ามาขายถ่าน ไม่รู้ว่าใครในหมู่บ้านที่เป็นคนพูด บอกว่าข้าขายถ่านได้เงินเยอะ”

เหล่าหม่าโถวรีบตอบทันทีว่า “ข้าไม่ได้พูด ไม่ได้พูดเรื่องที่เจ้ามาส่งของเลย กับภรรยาของข้าก็ไม่ได้บอก!”

“ท่านอาไม่ต้องกลัวไป ข้ารู้ว่าไม่ใช่ท่าน ท่านก็รู้ว่าข้าขายถ่านไปแค่ครั้งเดียว” โจวกุ้ยหลานตอบด้วยรอยยิ้ม

ก่อนหน้านี้นางก็เคยคิดเหมือนกันว่าเป็นเหล่าหม่าโถวหรือเปล่า แต่หลังจากลองหยั่งเชิงดูเมื่อครู่นางจึงรู้ว่าไม่ใช่เขา

เมื่อคิดๆ ดูก็น่าจะใช่ ตอนนี้ในหมู่บ้านลูกค้าหลักของเหล่าหม่าโถวก็คือพวกนาง เดินทางมารอบหนึ่งได้สิบอีแปะ ถ้าเขาทำให้พวกนางไม่พอใจจริงๆ นั่นไม่ได้หมายความว่ารายได้ของเขาจะลดลงหรือ

เหล่าหม่าโถวถอนหายใจอย่างโล่งอกและเอ่ยทันทีว่า “เมื่อวานข้าพาคนไปที่ตำบล ทุกคนบอกว่ามีคนหลายคนบอกว่าครอบครัวของเจ้าได้เงินมาเยอะ”

“น่าแปลกจริงๆ เหตุใดคนจึงพร้อมใจกันพูดแบบนั้น อย่างกับนัดกันปล่อยลมอย่างไรอย่างนั้น”

โจวกุ้ยหลานพึมพำ

แต่ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติอยู่ตลอดเลยนะ

เมื่อเกวียนเคลื่อนมาถึงหมู่บ้าน ทั้งสามคนจึงลงจากเกวียนและเดินไปที่บ้านของตนเอง ระหว่างทางกลับ มีคนมากมายมาทักทายพวกนางด้วยท่าทีที่ดี มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย

“กุ้ยหลาน พวกเจ้าไปขายถ่านมาอีกแล้วใช่หรือไม่ คราวนี้ได้มาเท่าไรล่ะ”

“ต้าไห่ มีหลานสาวหน้าตาดีในครอบครัวของอาสะใภ้ นี่ก็เพิ่งจะอายุสิบห้า ให้อาสะใภ้ช่วยคุยให้เจ้าไหมล่ะ”

“โถ่ พวกเจ้ามีฝีมือขนาดนี้ ถ้ามีเงินก็พาพวกข้าไปหาเงินด้วยซี ไหนๆ เราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น”

ทั้งสามคนวิ่งกลับบ้านราวกับกำลังวิ่งหนี แต่แล้วก็เห็นว่าในบ้านมีคนอยู่มากมาย และเหล่าไท่ไท่ก็กำลังดูแลอยู่

เจ้าก้อนน้อยเห็นนางมาถึงก็รีบลุกขึ้นวิ่งเข้ามาหา จากนั้นจึงกอดขาของนางไว้ไม่ยอมปล่อย

โจวกุ้ยหลานคิดว่าเขาคงกลัวเพราะอยู่ๆ ที่บ้านก็มีคนมาหามากมาย ดังนั้นนางจึงอุ้มเขาขึ้นมา “ลุงๆ ป้าๆ อยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ พวกท่านนั่งกันไปเถิด ข้าไม่อยู่ด้วยละ”

ว่าพลาง เท้าก็ก้าวไปถึงหน้าประตูแล้ว

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาว่า “กุ้ยหลาน! จะไปไหนน่ะ มานั่งคุยกันที่นี่สักเดี๋ยวสิ!”