บทที่ 317 รุ่ยอ๋อง
ชายผู้นี้คือองค์ชายสาม จ้าวชูหรือรุ่ยอ๋อง เขาอยู่เบื้องหลังของหมอฟางและดูเหมือนว่าภายในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ยาพวกนั้นได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก จนเขาสามารถสร้างกองทัพคนตายที่ไม่กลัวแม้แต่ความตายและความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นศัตรูจากที่ใดก็ไม่สามารถต่อกรได้ มันคือกองทัพอมตะ!
เขาไม่พอใจที่เรื่องราวลงเอยเช่นนี้
คืนที่ผ่านมา เขาให้องครักษ์ไปขอตัวหมอฟางจากเจ้าคณะมณฑลชิงเหอ โดยอ้างว่าให้พาตัวไปรักษาบิดา แต่ไม่คิดว่าใต้เท้าเหวินผู้นั้นจะแข็งข้อเช่นนี้! ใต้เท้าเหวินไม่มีท่าทีเกรงกลัวใด ๆ ซ้ำยังลงโทษหมอฟางด้วยวิธีลงฑัณฑ์เลาะกระดูก! แผนการกองทัพซากศพของเขาต้องจบลงเช่นนี้ไปได้อย่างไร!
จ้าวรุ่ยชูมองออกไปไกลด้วยแววตาหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
“หมอซูเป็นคนที่ปรุงยาถอนพิษหรือ?” จ้าวรุ่ยชูถาม
“พะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตอบเขาด้วยความเคารพ
“หาตัวหมอซูคนนี้มาให้ข้า” จ้าวรุ่ยชูออกคำสั่ง
“พะย่ะค่ะ” ชายชุดดำรับคำก่อนจะหันหลังจากไป
“ใต้เท้าเหวิน ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ในตอนนี้ แต่ในเมื่อเจ้าทำให้เปิ่นหวางโกรธ ดังนั้นเจ้าสมควรได้รับบทเรียน” จ้าวรุ่ยชูหรี่ตาลงแววตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น
….
บรรดาเด็กไร้เดียงสาได้รับการช่วยเหลือจนหายสนิทและพาพวกเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในที่สุดคดีนี้ก็สิ้นสุดลง พู่กันในมือตวัดเป็นครั้งก่อนสุดท้ายก่อนวางลง ใต้เท้าเหวินอนุญาตให้เว่ยฉิงพักร้อนเป็นเวลาสามวัน
แน่นอนว่าการพักร้อนของเขาคือการไปที่ร้านอาหารหนิงเฟิงในตอนกลางวันและแอบตามถังหลี่ไปที่บ้านในเวลากลางคืน กล่าวสั้น ๆ ก็คือในช่วงเวลาสามวันมานี้ชีวิตของเว่ยฉิงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานพิเศษ!
สามวันต่อมาเว่ยฉิงกลับไปที่ศาลาว่าการ ถังหลี่ออกไปเยี่ยมหลิวหลานและอาหยู ถังหลี่เดินทางมายังบ้านขนาดใหญ่ที่มีประตูเข้าออกสองทางของใต้เท้าเหวินซึ่งถูกใช้เพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ในวันนี้บิดามารดาหลายคนที่บุตรเคยหายไปต่างทยอยมารับเด็ก ๆ ทีละคน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเด็กบางคนนั้นหายไปเป็นเวลานาน บิดามารดาของพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ที่ชิงเหอแล้ว บางคนจำบิดามารดาไม่ได้ หรือบางคนก็ไม่เห็นประกาศแจ้งเตือน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยังพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น
ในบ้านหลังนี้พวกเขาเต็มไปด้วยอิสระ ไม่ต้องทนทรมานจากการกินยา สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางแสดงแดด ราวกับได้ชีวิตใหม่อีกครั้ง
ถังหลี่เดินเข้าไปที่สวนได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กชายอายุราว ๆ เจ็ดหรือแปดขวบ เด็ก ๆ ในที่นี้ทุกคนรู้ว่าถังหลี่คือผู้ที่ช่วยชีวิตของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นนางก็รีบทักทายทันที
“เด็กดี” ถังหลี่แจกขนมให้แก่เด็ก ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ที่ลานด้านใน หลิวหลานกำลังป้อนอาหารให้แก่ชายหนุ่ม
“มาเถอะ อ้าปากกินอีกสักคำ” เสียงของหลิวหลานนั้นฟังดูอ่อนโยน
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงนั้นคืออาหยูนั่นเอง เขาดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่แต่ท่าทางกลับเหม่อลอยไร้เดียงสา เมื่อเด็กสาวพูดเกลี้ยกล่อมเขาจึงเปิดปากรับอาหารเข้าไป ถังหลี่ยืนมองเด็กสาวป้อนข้าวอีกฝ่ายจนเสร็จ
“พี่สาว ท่านบอกว่าหลังจากข้ากินข้าวเสร็จท่านจะพาข้าไปหาท่านพ่อท่านแม่”
อาหยูพูดพลางเอียงศีรษะมองนางอย่างไร้เดียงสา
“บิดามารดาของเจ้ากำลังเดินทางมาหาเจ้า ระหว่างทางฝนตกอาจช้าไปสองวันเจ้ารอได้ไหม?” หลิวหลานพูดเบา ๆ
อาหยูอ้าปากค้างด้วยความผิดหวัง แต่ยังคงพยักหน้า
“เอาล่ะ” หลิวหลานลูบหัวของเขา “ไปเล่นไหม?”
ชายหนุ่มพยักหน้าลุกขึ้นวิ่งไปเล่นที่ริมสระ ถังหลี่เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเด็กสาว
“อาหยูตื่นตอนไหนหรือ?”
“เมื่อวานช่วงบ่าย…” หลิวหลานตอบ ดวงตาของนางมองตามอาหยูไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“เขา…”
“ตอนนี้เขาเหมือนเด็กชายอายุเพียงสี่ขวบ หมอซูบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นความจำ เขาจะค่อย ๆ ดีขึ้น” หลิวหลานกล่าวอีกครั้ง
ถังหลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก…หากฟื้นตัวได้ก็ดี
“แม่นางข้าขอบคุณท่านมาก” หลิวหลานพูดอย่างจริงใจ
“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”
วันที่พวกเขาสามารถหนีออกมาจากสถานที่นรกแห่งนั้นได้ บางครั้งหลิวหลานเองยังคิดว่านี่เป็นความฝันหรือเปล่า
“อาหยูค่อย ๆ ฟื้นตัว หมอซูบอกว่าจะจ่ายยาให้เขาเดือนละครั้ง จะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกนี่ก็นับว่าดีมาก” มันคงดีกว่านี้หากนางสามารถอยู่ข้าง ๆ อาหยูได้ตลอดเวลา
“ยินดีด้วย หลิวหลานนี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ” ถังหลี่กล่าว
“อาหยูดีต่อข้า เขาเป็นคนดีมาก…แต่ข้า…” แม้ว่าจะถูกบังคับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางเองก็ทำร้ายผู้อื่นเช่นเดียวกัน ถังหลี่วางมือลงบนแขนของนาง
“หลิวหลานเจ้าเป็นเด็กดี ในเมื่อเจ้ารู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และสามารถแก้ไขมันได้ เรื่องนี้จบลงแล้วไม่มีอะไรต้องกังวลอีก หลังจากนี้ก็ใช้ชีวิตให้ดี”
ราวกับกระแสน้ำอุ่นรินรดผ่านหัวใจของหลิวหลาน นางเคยคิดว่าชีวิตของตนนั้นขมขื่นมาก บิดามารดาไม่ได้รักนาง นางทำงานอย่างหนักทุกวันแต่ไม่เคยได้กินอิ่ม แถมยังถูกดุด่าว่ากล่าวสารพัด บิดามารดาถึงกับยอมขายหลิวหลานให้กับพ่อม่ายแก่เพื่อที่จะได้สินสอดมาให้น้องชายของนาง นางที่ยอมจำนนมาตลอดจึงสุดจะทน เมื่อตอนที่หลิวหลานหนีออกมานางคิดว่าคงตายแน่ เพราะอย่างไรก็ไม่เคยมีใครรักหรือเป็นห่วงนางอยู่แล้ว จนกระทั่งหลิวหลานได้พบกับอาหยู
เด็กชายคนนั้นเป็นเหมือนแสงไฟแห่งความหวังของหลิวหลาน เขาให้ความเชื่อมั่นในการมีชีวิตอยู่ จนวันนี้นางได้พบกับถังหลี่ แม่นางถังบอกว่านางเป็นสตรีที่ดีและควรมีชีวิตที่ดี
เห็นทีว่าสวรรค์นั้นยังคงเมตตานางอยู่บ้าง
หลิวหลานรู้สึกตัวว่ากำลังจะร้องไห้ เด็กสาวรีบพยักหน้าทันที
“อื้ม!”
อาหยูใช้มือตีน้ำเล่นอย่างมีความสุขรวมทั้งวักน้ำเอามาล้างหน้าล้างตัวของตนเอง หลิวหลานรีบไปดึงเขาขึ้นมาก่อนจะเช็ดน้ำบนใบหน้าของเขาออกให้และเกลี้ยกล่อมให้ไปนอน เห็นดังนั้นแล้วถังหลี่จึงออกจากบ้านหลังนั้นไป
…..
สองวันต่อมาเมื่อถังหลี่มาที่จวนใต้เท้าเหวินอีกครั้ง นางพบว่าเด็กสองสามคนในบ้านหายไป นางเอ่ยถามหลิวหลานทันที จึงทราบว่าบิดามารดาของเด็กพวกนั้นมารับกลับบ้านไปแล้ว
“อาหยูเล่าอยู่ที่ไหน?” ถังหลี่ถาม
“อาหยูกำลังนอนหลับ” หลิวหลานตอบพลางขมวดคิ้ว
“วันนี้เขาหลับไปนานมากจนป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติแต่ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
“ไม่เป็นไร เจ้าอย่ากังวลใจ” ถังหลี่ปลอบโยนนาง หลิวหลานพยักหน้าก่อนจะนั่งลงข้างถังหลี่
“หลิวหลาน เจ้ามีแผนการอะไรบ้างหรือยัง?” ถังหลี่ถามเด็กสาว
“หากอาหยูดีขึ้น ข้าจะไปตามหาบิดามารดาพร้อมกับเขา ตลอดทั้งวันเขาเอาแต่พูดถึงบิดามารดา คิดว่าพวกเขาคงรักอาหยูมาก นี่อาหยูหายออกจากบ้านมาหลายปีแล้ว พวกเขาทั้งสองคนคงจะคิดถึงอาหยูไม่น้อย” หลิวหลานกล่าว
ในตอนที่นางเจออาหยูครั้งแรกนั้น นางรู้สึกว่าอาหยูดูมีสง่าราศีมากคาดว่าไม่ได้เกิดในครอบครัวธรรมดาอย่างแน่นอน อาหยูอาจจะเป็นบุตรชายของตระกูลขุนนางก็เป็นได้
หลิวหลานเป็นเพียงสาวชาวบ้านธรรมดาต่างกับอาหยูมาก หลังจากที่อาหยูได้พบกับครอบครัวแล้วนางก็ควรจากไป เด็กสาวรู้สึกสับสนเล็กน้อย ตอนนี้หัวใจของนางว่างเปล่า แต่ถ้าอาหยูยังเป็นเช่นนี้…
ความคิดที่ว่านี้ผุดขึ้นมาในหัว เมื่อหลิวหลานรู้สึกตัวจึงรีบไล่ความคิดนี้ออกไปทันที นางมีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร? ต้องให้เขาดีขึ้นสิ!
ทันใดนั้นเองเสียงแก้วแตกดังมาจากในห้อง หลิวหลานลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นอาหยูลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มใช้สองมือจับศีรษะส่ายหน้าไปมาท่าทางเหมือนคนคิดอะไรไม่ออกแลดูน่าอึดอัด
“อาหยูเจ้าเป็นอะไร? อยากดื่มน้ำหรือ ข้าจะรินให้นะ” หลิวหลานก้มหยิบเก็บถ้วยบนพื้นขึ้นมา
อาหยูเงยหน้ามองมายังพวกเขา เห็นได้ชัดว่าแววตาของเขานั้นสงบนิ่งปราศจากความไร้เดียงสาและความเขลาเหมือนก่อนหน้านี้