ตอนที่ 351 แผนการที่เปิดเผย ยืมดอกไม้ถวายพระ (2)
มั่วเชียนเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ ทางด้านเฟิงอวี้เฉินก็ถึงวัยที่ควรจะแต่งงานนานแล้ว ส่วนหลันรั่วเมิ่งก็คล้ายใกล้จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว กล่าวถึงชาติตระกูล กล่าวถึงรูปร่างหน้าตา กล่าวถึงเรื่องความรัก ทั้งสองคล้ายจะเหมาะสมกันมาก!
มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีวันยอมรับว่าตนคือแม่สื่อที่คอยชักจูงความสัมพันธ์แย่ๆ แต่ว่าเป็นเพราะนางถือได้ว่ามองคนเก่ง นางคิดว่าหลันรั่วเมิ่งเป็นสตรีที่ดี เหมาะสมกับบุรุษที่นางเพิ่งนับถือเป็นพี่ชายยิ่งนัก!
กล่าวกันว่า การจบลงของความสัมพันธ์หนึ่ง เป็นการเริ่มต้นของอีกความสัมพันธ์ไม่ใช่หรือ
เฟิงอวี้เฉินรักเสวี่ยเอ๋อร์ แต่เสวี่ยเอ๋อร์จากไปแล้ว ตนมีชีวิตแทนเสวี่ยเอ๋อร์ แต่ก็ไม่อาจรักเฟิงอวี้เฉินแทนเสวี่ยเอ๋อร์ได้ ดูแลเขาแทนนาง ให้เขาได้เจอกับสตรีดีๆ ที่รู้ร้อนรู้หนาวดีกว่า
หลันรั่วเมิ่งเห็นมั่วเชียนเสวี่ยยืนนิ่งไม่ตอบคำถาม จึงร้องเรียกเสียงเบา “เชียนเสวี่ย?”
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงไม่ตอบ เพียงมองเฟิงอวี้เฉิน แล้วหันไปมองหลันรั่วหิง หลังจากนั้นก็มองเฟิงอวี้เฉินอีกครั้ง ดวงตาของนางมองพวกเขาสองคนสลับไปมา
หลันรั่วเมิ่งเห็นความผิดปกติ ดวงหน้าแดงก่ำของนางก้มงุด
เชียนเสวี่ยคิดจะทำสิ่งใด
หรือว่าเชียนเสวี่ยจับความในใจของนางได้แล้ว ความในใจนี้ นางซ่อนมานานหลายปี ไม่มีผู้ใดรู้ ตั้งแต่เฟิงอวี้เฉินมาถึงสวนร้อยบุปผา เบื้องหน้านางคอยดูแลงานเลี้ยง แต่ความเป็นจริงนางคอยมองเฟิงอวี้เฉินตลอดเวลา
ผู้สืบทอดตระกูลขุนนางใหญ่ชั้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าคือความฝันของสตรีมากมายเพียงใดในเมืองหลวง แต่เขากลับไม่เคยมองตนแม้แต่น้อย
ครั้งนี้ เขาสังเกตเห็นตนแล้ว เพราะตนช่วยญาติผู้น้องของเขา… เพราะการสบตาเมื่อครู่ ทำให้หัวใจของนางหวานระคนเจ็บปวด
นางจะไม่รู้ได้อย่างไร มั่วเชียนเสวี่ยเจตนาทำเช่นนี้
ตามความคิดของนาง หากไม่แสดงตัวชัดเจนเล็กน้อย ด้วยท่าทีสงวนของคนโบราณ ไม่แน่ว่าบุพเพนี้อาจจะจบลง นางมองเช่นนี้ ขอเพียงเป็นคนปกติย่อมคิดไปทางด้านนั้น
ขอเพียงคิดไปทางด้านนั้น เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้แล้ว…
เห็นดวงแก้มของหลันรั่วเมิ่งแดงระเรื่อ เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยราวกับเพิ่งตระหนักได้อย่างไรอย่างนั้น นางพยักหน้า “ฮะ? อ๋อ! ได้ พวกเราไปกันเถอะ”
ขอเพียงหลันรั่วเมิ่งมีใจก็ดีแล้ว ทางด้านเฟิงอวี้เฉินนางย่อมไปพูดกับเขาเป็นธรรมดา
พูดตามความจริง นางชอบหลันรั่วเมิ่งมาก สตรีคนนี้รู้จักวางตัว เข้าใจสถานการณ์ ความคิดบริสุทธิ์ หน้าตางดงาม ทั้งยังฉลาดหลักแหลม…ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่ดี
ตอบคำถามหลันรั่วเมิ่ง มั่วเชียนเสวี่ยไม่ลืมที่จะหันไปพูดกับเฟิงอวี้เฉิน “ญาติผู้พี่ ท่านก็ไปด้วยกันเถอะ”
เฟิงอวี้เฉินมองมั่วเชียนเสวี่ยครู่หนึ่ง แล้วมองหลันรั่วเมิ่งที่อยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยภายใต้การยักคิ้วหลิ่วตาของนาง หัวใจเศร้าสลด
เสวี่ยเอ๋อร์ของเขา…กำลังจะเป็นแม่สื่อให้เขาแล้ว
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรชีวิตนี้ก็ไม่มีวาสนาได้เป็นสามีภรรยากัน เช่นนั้นก็เป็นได้เพียงพี่ชายที่ปกป้องนางทั้งชีวิต ในเมื่อคนที่ตนอยากจะแต่งงานด้วยไม่อาจเป็นนาง เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว สตรีทุกคนในใต้หล้านี้จะมีความหมายใด
คนที่เขาจะแต่งงานด้วย ไม่มีอะไรเลยก็ไม่เป็นเช่นไร แต่ต้องชื่นชอบเสวี่ยเอ๋อร์ ปกป้องเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยกันกับเขา
เสวี่ยเอ๋อร์ชอบหลันรั่วเมิ่ง หลันรั่วเมิ่งก็ชอบนาง เช่นนั้นตนแต่งงานกับหลันรั่วเมิ่งก็ได้!
พวกนางสองคนคุยกันถูกคอ แน่นอนว่าย่อมสนิทสนมกัน เช่นนั้นโอกาสที่จะได้พบเจอเสวี่ยเอ๋อร์ก็มากขึ้น เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน…
เมื่อคิดข้อนี้ได้ เฟิงอวี้เฉินพยักหน้าให้ทั้งสองคน มองไปทางหลันรั่วเมิ่งอย่างมีเลศนัย แล้วหันไปมองซูซูที่ยืนอยู่ข้างมั่วเชียนเสวี่ย พูดอย่างสุภาพ “คุณหนูทั้งสามโปรดเดินนำหน้า อวี้เฉินเดินตามหลังเอง”
ท่านหญิงซูซูเดินนำหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ ทางด้านหลันรั่วเมิ่ง ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความดีใจ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นเฟิงอวี้เฉินพูดง่ายเช่นนี้ นางชูนิ้วโป้งในใจทันที!
หากหาสามีที่ดีให้หลันรั่วเมิ่งได้ ทั้งยังหาสตรีดีๆ อยู่เคียงข้างเฟิงอวี้เฉินตลอดชีวิต ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ถือว่านางทำเรื่องดีที่แสนยิ่งใหญ่ ถือว่าให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบกับเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยถึงขั้นคิดอย่างมีความสุข ประเดี๋ยวหลังจากจบงานเลี้ยง นางจะเขียนจดหมายนกพิราบส่งไปให้ไหน้ำส้มสายชูของนาง ให้หนิงเซ่าชิงดีใจไปพร้อมกับนาง เลิกอคติกับเฟิงอวี้เฉิน จะได้ไม่ต้องหึงหวงนางตลอดเวลา หนิงเซ่าชิงคนนี้ หึงหวงบ้างเป็นครั้งคราวได้ แต่หึงหวงมากไปส่งผลเสียต่อร่างกาย ทั้งยังทำลายความรู้สึก!
เมื่อคิดถึงหนิงเซ่าชิง ก็นึกถึงจดหมายรักที่ได้รับเมื่อคืน หัวใจดวงน้อยของมั่วเชียนเสวี่ยเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น!
มีคนเป็นห่วง มีคนคิดถึง ช่างเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก
นอกจากดีใจแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ลืมจับคู่ให้ท่านหญิงซูซูและซูชี นางมองไปบนต้นไม้
โดยไม่รู้เลยว่า บนต้นไม้ว่างเปล่าไม่มีผู้ใดแล้ว ซูชีหายไปนานแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยกระทืบเท้า แต่ก็จนปัญญา
สวนร้อยบุปผากว้างใหญ่มาก สมกับเป็นสวนที่สร้างขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนโดยตระกูลขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งพร้อมกัน
อากาศเย็นสบาย ทางด้านขวาคือดอกโบตั๋นที่ถูกขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งดอกไม้ ทางด้านซ้ายคือดอกอวี้จินเซียง ยามสายลมพัดผ่าน กลิ่นดอกไม้หอมรัญจวน ทำให้คนหลงใหล
คนส่วนมาก เวลานี้ล้วนกำลังแข่งกลอนกวีบนเวทีของงานชมดอกไม้ ในสวนไม่ค่อยมีผู้คนเท่าใดนัก เหมาะแก่การชมดอกไม้พอดี
ตลอดทาง มั่วเชียนเสวี่ยอารมณ์ดียิ่งนัก
ท่านหญิงซูซูก็อารมณ์ดีเช่นเดียวกัน ทั้งสองชี้ไปยังดอกไม้นานาพันธุ์อย่างชวนรักชวนฝัน เฟิงอวี้เฉินและหลันรั่วเมิ่งที่เดินตามหลังได้แต่ส่ายหน้า
เวทีประลองแข่งกลอนกวีอยู่ใจกลางสวนร้อยบุปผา
บนเวที มีคุณชายขึ้นไปอ่านกลอนกวีอย่างต่อเนื่อง วางมาดผ่าเผย
แน่นอน มีสตรีไม่น้อยขึ้นไปเวทีเช่นเดียวกัน มีทั้งสตรีที่ดวงหน้าแดงระเรื่อ และมีสตรีที่มากความสามารถจนทำให้ผู้คนตกตะลึง
มีคนขึ้นไปแสดงบนเวที และมีคนขึ้นไปแข่งกลอนกวีพร้อมกันหลายคน ครึกครื้นยิ่งนัก
มั่วเชียนเสวี่ยเหน็ดเหนื่อย นั่งอยู่ล่างเวทีไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่นั่งมอง นั่งชมเท่านั้น
ความเป็นจริงการนั่งมองเหล่าผู้มากความสามารถแต่งกลอนเช่นนี้ ถือเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าตนที่ลอกเลียนแบบกลอนของคนโบราณกระมัง
ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะนั่งพัก แต่กลับมีคนไม่ให้นางสมปรารถนา
ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังฟังผู้อื่นอ่านกลอนกวีอยู่นั้น เสียงหาเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดังขึ้น ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม
“คนในเมืองหลวงล้วนลือกันว่าคุณหนูจวนเจิ้นกั๋วกงแต่งกลอนกวีไพเราะยิ่งนัก วันนี้เย่ว์หลินจำต้องไร้ยางอาย แสดงความโง่เขลา เชิญคุณหนูมั่วขึ้นมาแต่งกลอนสักบท! ทุกท่านว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”
แม้ถ้อยคำที่นางพูดจะเป็นการอ่อนน้อม แต่น้ำเสียง ฟังแล้วช่างเสียดสี มองดูแล้วกำลังหาเรื่อง!
มั่วเชียนเสวี่ยหันไปตามเสียง เห็นสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนบนเวทีแข่งกลอนกวี มองมาทางตนด้วยความท้าทาย
คล้ายว่า…กำลังรอตนทำเรื่องขายหน้าอย่างไรอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยเจอนางที่ใด เคยรู้จักคนคนนี้เมื่อใด
เห็นความฉงนของมั่วเชียนเสวี่ย หลันรั่วเมิ่งที่อยู่ข้างกายพูดขึ้น “นางคือคุณหนูรองบุตรีสายตรงของตระกูลขุนนางใหญ่ตระกูลเซี่ย เซี่ยเย่ว์หลิน สนิทสนมกับองค์หญิงอวี้เหอ”