ตอนที่ 352 แผนการที่เปิดเผย ยืมดอกไม้ถวายพระ (3)
คำพูดบางคำ ไม่จำเป็นต้องพูดชัดเจน
ในเมื่อหลันรั่วเมิ่งบอกนางแล้วว่าสตรีคนนี้กับองค์หญิงอวี้เหอสนิทสนมกัน เช่นนั้นก็หมายความว่าต้นสายปลายเหตุที่สตรีคนนี้หาเรื่องตน นอกจากอยากจะให้ตนอับอายแล้ว มากไปกว่านั้นคือ ระบายความแค้นแทนองค์หญิงอวี้เหอ!
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยทราบประเด็นสำคัญของเรื่องทั้งหมด นางพยักหน้า
มองสตรีคนนั้นด้วยแววตานิ่งสงบ ไม่สนใจความเกลียดชังที่แผ่ซ่านออกมาจากสายตาของสตรีคนนั้น เพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเชียนเสวี่ยให้ความเคารพไม่สู้ทำตามคำเชิญ คุณหนูท่านนี้เชิญก่อน”
มั่วเชียนเสวี่ยวางตัวอย่างมีมารยาท แม้มีคนคิดอยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ก็ไม่อาจหาเจอแม้แต่น้อย!
แต่เซี่ยเย่ว์หลินกลับเข้าใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลัวนาง พลันหัวเราะเยือกเย็น เชิดหน้าขึ้นสูง ท่าทีของนางโอหังยิ่งนัก
“วันนี้พวกเรามาเที่ยวชมงานเลี้ยงดอกไม้ เช่นนั้นก็เริ่มต้นด้วยกลอนร้อยดอกไม้กันเถอะ ข้าเริ่มก่อนหนึ่งบท”
เซี่ยเย่ว์หลินกวาดตามองคนที่อยู่รอบๆ นางลำพองใจอย่างยิ่ง “ไป่ฮวาในเมืองผลิบาน โบตั๋นสีสันงดงาม เบญจมาศทองคำสูงสง่า งามสะพรั่งดั่งหญิงงาม”
หลังจากอ่านกลอนจบ นางเชิดหน้าขึ้นอีกครั้ง
“เยี่ยม คุณหนูเซี่ยช่างมากความสามารถจริงๆ!”
“เยี่ยม กวีนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก…”
คนที่กล่าวชื่นชมโดยมากล้วนเป็นคนที่พึ่งพิงตระกูลเซี่ยในการดำรงชีวิต
สำหรับคุณหนูบุตรีสายตรงของตระกูลเซี่ย พวกเขาไม่กล้าไม่ให้เกียรตินาง! แม้เวลานี้กวีที่เซี่ยเย่ว์หลินแต่งจะเป็นกวีขบขัน ทว่าพวกนางก็ต้องชื่นชม!
มั่วเชียนเสวี่ยยกมุมปากขึ้นโดยไม่ให้เกียรติแม้แต่น้อย!
เดิมทีคิดว่าการที่สตรีคนนี้หาเรื่องตน เช่นนั้นต้องเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแน่นอน ทว่ากลับเป็นเพียงตัวละครที่แย่ที่สุด
สมองถูกลาเตะมาหรือ
นี่เป็นการแต่งกลอนอย่างไร
แม้แต่กลอนขบขันก็ไม่อาจเป็นได้กระมัง
มั่วเชียนเสวี่ยมองสีหน้าของคนโดยรอบเงียบๆ พบว่าคนที่ไม่อาจทนรับกับกลอนร้อยดอกไม้นี้มีมากมาย หลายคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด!
ท่ามกลางพวกคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเล่านี้ ยังมีหลายคนชื่นชมเสียงดัง
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดในใจเงียบๆ พูดจาไม่ตรงกับใจเช่นนี้ ไม่อึดอัดตายหรือ
ทว่าเซี่ยเย่ว์หลินกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นางลำพองใจยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยนับถือความสามารถของนางจริงๆ ทั้งยังนับถือตระกูลเซี่ยที่สามารถอบรมสั่งสอนลูกให้แปลกประหลาดเช่นนี้
รออยู่นาน ไม่เห็นมั่วเชียนเสวี่ยพูด เซี่ยเย่ว์หลินคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลัว ไม่กล้าแข่งกับนาง จึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดเร่งมั่วเชียนเสวี่ย “เรียบร้อยแล้ว ข้าแต่งกลอนเสร็จแล้ว ตอนนี้ถึงคราวของเจ้าแล้ว!”
นางเชิดหน้าสูงเช่นนั้น ทำราวกับว่ากลอนที่ตนแต่ง ไพเราะและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก! แววตาที่มองมั่วเชียนเสวี่ย ราวกับกำลังมองขยะอย่างไรอย่างนั้น…
พูดไปแล้ว นางทำให้มั่วเชียนเสวี่ยสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง
ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังคงหัวเราะแล้วล้มตัวไปทางท่านหญิงซูซู
ไม่ห่างจากเวทีแข่งกลอนกวี บนต้นไม้สูงใหญ่ บุรุษคนหนึ่งหัวเราะจนปากเบี้ยว
เมื่อไม่มีการโต้ตอบ เซี่ยเย่ว์หลินจึงพูดขึ้น “ข้าเป็นคนมีความเมตตา หากเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่ทำให้เจ้าอึดอัด คุกเข่ายกน้ำชาเคารพข้า หลังจากนั้นก้มคำนับก็พอแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย”
มั่วเชียนเสวี่ยหมดแรงพูดแล้วจริงๆ…
หากเมื่อครู่กล่าวว่าเหมยฮูหยินและจิ้งฮูหยินป่วย เช่นนั้นนางสามารถยืนยันได้ว่า อาการป่วยของหญิงชั้นต่ำสองคนนั้นเบากว่าสตรีตรงหน้า คนตรงหน้า อาการหนักยิ่งนัก!
ดูเหมือนว่า ไม่อาจใช้เหตุผลกับคนเช่นนี้ได้
มาอย่างไร ตนก็เอาคืนเช่นนั้น ทั้งยังจะตบหน้านางแรงๆ ต่อหน้าผู้คน สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้สตรีคนนี้ไม่กล้าหาเรื่องนางอีก!
“เชียนเสวี่ยไร้ความสามารถ เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสคุกเข่าก้มคำนับคุณหนู ยกน้ำชาให้คุณหนู”
มั่วเชียนเสวี่ยหยัดกายลุกขึ้น ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ นางสง่างามยิ่งนัก สะท้อนให้เห็นความต้อยต่ำของเซี่ยเย่ว์หลิน
สง่างามกว่าหมื่นเท่า เห็นได้อย่างชัดเจน!
เซี่ยเย่ว์หลินหงุดหงิดเล็กน้อย!
แววตาของนางไม่ใช่แววตาโอหังโง่เขลาอีกแล้ว แต่แปรเปลี่ยนเป็นริษยาและคับแค้นใจ!
การเปลี่ยนแปลงของเซี่ยเย่ว์หลิน มั่วเชียนเสวี่ยเห็นอย่างชัดเจน นางเพียงส่ายหน้าเบาๆ โอดครวญว่าสตรีคนนี้สมองโตเกินไปแล้ว โง่เขลาเกินไปแล้ว
เดินขึ้นเวทีช้าๆ มั่วเชียนเสวี่ยเริ่มอ่าน
“ยามหนึ่งบุปผาบานสะพรั่งหาใช่ฤดูวสันต์ มีเพียงร้อยผกาผลิบานจึงจะย่างสู่วสันต์
มวลบุษบารู้ดีว่าอีกไม่นานจะสิ้นฤดู ใคร่อยากจะหยุดรั้งไว้
เหล่าบุหงาต่างส่งกลิ่นหอมเชิดฉายความงดงาม ปักษาขับร้องบรรเลงเพลงเพราะพริ้ง
ยามหยาดพิรุณแห่งวสันต์โปรยปราย มองต้นหญ้าจากที่ไกลช่างอุดมสมบูรณ์
ทว่าย่างกายเข้าใกล้กลับมีเพียงน้อยนิด
ผู้คนเห็นความงดงามของวสันต์ยามสายลมพัดผ่านบุปผาผลิบานงดงาม
ทุกแห่งหนมีเพียงความงามแห่งวสันต์
พันบุษบาดึงดูดสายตาทำให้ผู้คนหลงใหล ต้นหญ้าเติบโตบดบังร่องรอยเกือกม้า”
เมื่อร่ายกลอนจบ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ ให้กับทุกคน เอ่ยพูด “แสดงความอับอายแล้ว” หมุนตัวหันหลังลงจากเวที
มั่วเชียนเสวี่ยยามร่ายกวีน้ำเสียงมีขึ้นและลง บทกลอนหนึ่งบท ถ้อยคำและการกระทำของนาง ทุกท่วงท่า ทุกน้ำเสียง ล้วนทำได้เป็นอย่างดี ในความสูงสง่ามีความเป็นมิตร ท่ามกลางความสูงศักดิ์มีความไม่ธรรมดา ท่ามกลางความเย็นชามีความทระนง
กลอนบทต่อไปไม่มีผู้ใดพูดต่อ!
เงียบสงัดในชั่วพริบตา เทียบกับการชื่นชมหลังจากเซี่ยเย่ว์หลินกว่าจบเมื่อครู่ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ความริษยาบนดวงหน้าของเซี่ยเย่ว์หลินลดน้อยลง ความลำพองใจเพิ่มมากขึ้น
นางพูดเย้ยหยัน “คุณหนูมั่ว ได้ยินว่าเจ้าได้ตำแหน่งผู้ชนะเลิศงานเลี้ยงดอกท้อ ทั้งยังเป็นสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่ง เจ้าดูเล่า เจ้าศึกษาสิ่งใด ช่างเหลวใหลยิ่งนัก! ไม่เห็นหรือว่าทุกคนต่างตกตะลึงกับกลอนที่เจ้าแต่ง เจ้าแพ้แล้ว รีบมาคุกเข่าให้ข้าเร็วเข้า!”
เซี่ยเย่ว์หลินมองมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความโอหัง ยกมุมปากขึ้นยิ้มด้วยความลำพองใจ
มั่วเชียนเสวี่ยกวาดมองนาง ถามอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นหรือ”
“แน่นอน…”
ทว่า ในเวลานี้เอง บรรดาปัญญาชนและคุณหนูที่เมื่อครู่ตะลึงงัน คล้ายเพื่อพิสูจน์คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย ทุกคนดึงสติกลับมากันถ้วนหน้า!
“ไพเราะจริงๆ!”
“นับถือ!”
“ข่าวลือบอกว่ามั่วเชียนเสวี่ยบุตรีสายตรงของจวนกั๋วกงแต่งกลอนไพเราะ เป็นสตรีอันดับหนึ่งที่บัณฑิตจย่ากล่าวถึง เดิมทียังรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย เวลานี้ข้าน้อยเชื่อแล้ว! เชื่อด้วยความเต็มใจ…”
“ถูกต้อง! กลอนเช่นนี้มีเพียงบนสวรรค์เท่านั้น ในโลกมนุษย์ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
เซี่ยเย่ว์หลินตกตะลึงทันที
นางไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับคนพวกนี้ เหตุใดสีหน้าของพวกเขาจึงตื่นเต้นเช่นนี้ หรือว่า…หรือว่ากลอนที่มั่วเชียนเสวี่ยแต่ง จะไพเราะจริงๆ หรือ
“พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา! นางแต่งกลอนวิบัติ! ไม่อาจนับได้! พวกเจ้าหลงใหลไปกับรูปโฉมของนางหรืออย่างไร”
คุณหนูเซี่ยเย่ว์หลินโมโหแล้ว! โมโหแล้วจริงๆ!
ด้านล่างเต็มไปด้วยเสียงกระเอมไอ บรรดาปัญญาชนลุกออกจากที่นั่ง
คุณหนูเซี่ยคนนี้ พวกเขาไม่อาจบาดหมางด้วยได้ ต้องเลี่ยงจากนาง
การแข่งกลอนกวี เดิมทีคือสิ่งที่มีรสนิยม
บุ๋นไม่มีอันดับหนึ่ง บู๊ไม่มีอันดับสอง แพ้แล้วพาลเช่นนี้ รังแต่จะทำให้ผู้คนดูแคลน!
เซี่ยเย่ว์หลิน อาละวาดบนเวที มั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังกลับดูแคลนนางยิ่งนัก
คุณหนูสมองบวมคนนี้ก็ไม่ลองคิดเสียหน่อย แม้บรรดาบุรุษที่นี่จะหลงใหลในความงดงามของนาง แต่คนที่ชื่นชมก็มีสตรีด้วย หรือว่าสตรีเหล่านี้ก็หลงใหลนาง อยากจะเป็นสตรีรักสตรี
————————————-