ตอนที่ 120-1 การค้นหา การสั่งสอน

ตู้ม!

ใจของเฉียวเวยแทบขาดรอน นางไม่มีเวลาขบคิดว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีเวลาแม้แต่จะตำหนิติงเสี่ยวอิง นางกระโจนลงน้ำทันที

น้ำในทะเลสาบเดือนหกอุ่น แต่หัวใจของเฉียวเวยเย็นเฉียบ

หากมองจากบนเรือผืนน้ำอาจดูเหมือนนิ่งสงบ แต่เมื่ออยู่ในน้ำกลับพบว่าความจริงแล้วกระแสน้ำไหลเชี่ยว สาเหตุที่คลื่นกระทบลำเรือเพียงแผ่วเบาก็เพราะตำแหน่งที่ไม่ได้จมลงในน้ำตลอดลำเรือฝังอุปกรณ์ประหลาดไว้โดยรอบเพื่อลดทอนแรงกระแทกของกระแสน้ำ ดังนั้นเมื่อมองด้วยตาเปล่า คลื่นน้ำจึงดูอ่อนโยน

แต่หลังจากเฉียวเวยลงมาในน้ำ นางก็เกือบจะถูกพัดไป

แล้วลูกของนางจะเป็นเช่นไร ลองคิดดูก็รู้!

หัวใจของเฉียวเวยหนักอึ้งในทันใด นางพยายามทรงตัว แล้วเริ่มค้นหาร่างของลูกชายท่ามกลางผืนน้ำสีคราม

เสี่ยวเว่ยกับอากุ้ยที่กำลังชมทิวทัศน์ของทะเลสาบอยู่บนชั้นสอง เห็นเงาร่างเล็กจ้อยร่างหนึ่งร่วงลงไปในทะเลสาบ แต่ตอนนั้นพวกเขามองไม่ออกว่านั่นคือจิ่งอวิ๋นเพราะทั้งสองคนกำลังชมทัศนียภาพอยู่จึงเหลือบเห็นผ่านหางตา เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงน้ำกระจายแล้วหันมามองทางทะเลสาบ เฉียวเวยก็กระโดดลงไปแล้ว

“จิ่งอวิ๋นนี่!” แววตาของเสี่ยวเว่ยสั่นไหว

ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจิ่งอวิ๋นถูกผู้อื่นโยนลงน้ำ พวกเขาเพียงคิดว่าเด็กน้อยซุกซน ปีนหน้าต่างจนพลัดตกลงไป

อากุ้ยเติบโตมากับทะเล ปู่ของเขาเคยรับราชการกินตำแหน่งผู้ว่าราชการมณฑลเหลี่ยงก่วง บัญชาการทหารเรือเรือนแสน แม้บิดาไม่ประสบความสำเร็จเช่นปู่ แต่ก็มีตำแหน่งในทัพเรืออยู่พอสมควร เด็กที่เกิดจากครอบครัวเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดว่ายน้ำไม่เป็น

อากุ้ยถอดเสื้อ เตะรองเท้าทิ้งอย่างฉับไว แล้วกระโจนพลิ้วลงไปในน้ำราวกับปลาตัวหนึ่ง

เสี่ยวเว่ยว่ายน้ำไม่เป็น เขาเกาะราวกั้นมองลงไปด้านล่าง น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวคราม คนผู้หนึ่งหล่นลงไปแล้วแทบจะมองไม่เห็นร่าง เสี่ยวเว่ยร้อนใจดังไฟลน วิ่งลงมาชั้นล่าง!

ชั้นล่างวุ่นวายอลหม่าน

ท่านพี่ถูกโยนลงไปในน้ำ ท่านแม่ก็กระโดดลงไปด้วย

วั่งซูตกใจกลัวจนร้องไห้ จงเกอร์ก็ตกใจจนนิ่งอึ้ง

ชีเหนียงกอดเด็กน้อยทั้งสองไว้ในอ้อมแขนอย่างปวดใจ

แล้วนางก็ได้ยินเสียงน้ำกระจายอีกหน ชีเหนียงเดาว่าคงเป็นอากุ้ยกระโดดลงไป ในใจนางทราบดีว่าอากุ้ยว่ายน้ำเก่ง หวังเพียงว่าเขาจะช่วยจิ่งอวิ๋นขึ้นมาได้

ปี้เอ๋อร์เป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่โตมาหลายปี แต่นางไม่เคยเห็นเรื่องบ้าบอเช่นนี้มาก่อน ทาสที่ทำสัญญาขายชีวิตคนหนึ่ง กล้าโยนเด็กบริสุทธิ์ลงน้ำกลางวันแสกๆ จิตใจของคนผู้นี้ต้องอำมหิตเพียงใดจึงทำเรื่องผิดต่อสวรรค์เช่นนี้ได้

น้องชายคนเล็กของนางก็อายุพอๆ กับจิ่งอวิ๋น หากมีคนโยนน้องชายของนางลงน้ำต่อหน้าต่อตานาง นางต้องเป็นบ้าเป็นแน่!

นางว่ายน้ำไม่เป็น หากว่ายเป็น นางเองก็จะกระโดดลงไปช่วยคนด้วย!

หญิงรับใช้บนเรือได้ยินเสียงดังเอะอะจึงรีบเร่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ชีเหนียงสะอื้นตอบว่า “คุณชายน้อยของข้าตกลงไปในน้ำ! พวกเจ้ารีบเรียกพวกคนที่ว่ายน้ำเก่งมาช่วยเขาเร็ว!”

หญิงรับใช้หน้าถอดสี “ร่วงลงไปตรงไหน”

“ตรงนั้น!” ชีเหนียงชี้หน้าต่างบานที่สอง

หญิงรับใช้ยื่นตัวออกไปมองน้ำในทะเลสาบที่มีคลื่นโหมซัดอยู่ข้างใต้ ผู้อื่นมิทราบแต่นางทราบดียิ่งนัก น้ำในทะเลสาบหยางหูความจริงแล้วมิได้สงบดังที่เห็นด้านบน ด้านล่างเรือเริงรมย์ของพวกเขามีกลไกช่วยลดทอนแรงกะแทกกับเสียงจากกระแสน้ำ แต่ตำแหน่งที่อยู่ใต้กลไกมิได้สภาพดีเช่นนั้น

เดือนก่อนนางเพียงทำผ้าโผกหัวผืนหนึ่งร่วงลงไป แม้ให้คนช้อนขึ้นมาทันทีก็ยังช้อนขึ้นมาไม่ได้

หากกลายเป็นคนที่ร่วงลงไป ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นางไม่กล้าแม้แต่จะคิด

ไม่ว่าอย่างไรหญิงรับใช้ก็รีบเรียกคนเรือให้ลงไปงมหา

ติงเสี่ยวอิงกับสหายที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สหายของนางคิดไม่ถึงว่าพี่สือหลิวผู้อ่อนหวานใจดีและฉลาดเหลียวยามอยู่ในจวนจะทำเรื่องเสียสติเช่นนี้ แม้ก่อนหน้านี้ตอนสือหลิวทะเลาะกับคนโต๊ะนั้น ความจริงนางจะสังเกตเห็นความผิดปกติอยู่บ้างแล้วก็ตาม

ยามอยู่ในจวนสือหลิวมักทำตัวนอบน้อมมีเมตตา ต่อให้เป็นบ่าวฐานะต่ำกว่าตน นางก็ยังเป็นมิตรและอ่อนโยนอย่างยิ่ง แต่เมื่อครู่สือหลิวด่าทอด้วยถ้อยคำไม่น่าฟังมากมาย วาจาเต็มไปด้วยความดูแคลนที่มีต่อชีเหนียงผู้นั้น

ช่วงเวลานั้นนางรู้สึกราวกับว่าสือหลิวเป็นคนแปลกหน้า

แต่นางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าสือหลิวจะถึงขั้นลงมือโหดเหี้ยมกับเด็กน้อยคนหนึ่ง

นี่ยังใช้พี่สือหลิวที่นางรู้จักอยู่อีกหรือ

ติงเสี่ยวอิงตกใจ ความจริงนางไม่ได้วางแผนว่าจะลงมือกับจิ่งอวิ๋น นางไม่คิดจะเล่นงานอะไรเฉียวเวยด้วยซ้ำ แต่จังหวะที่เจ้าตัวน้อยคนนั้นวิ่งผ่านข้างกาย ร่างกายของนางราวกับไม่ฟังคำสั่ง นางรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่แต่มิอาจควบคุมตนเองได้ เมื่อนางกลับมาควบคุมตนเองได้อีกครั้ง จิ่งอวิ๋นก็ถูกนางโยนลงทะเลสาบไปแล้ว

นางเสียใจยิ่งนัก นางมิสมควรทำเช่นนี้กับเด็กน้อยคนหนึ่ง

ตอนนี้สหายจะมองนางเช่นไร

อีกประเดี๋ยวฮูหยินจะลงโทษนางเช่นไร

เมื่อกลับถึงจวน พี่น้องเหล่านั้นจะเยาะหยันนางเช่นไร

นางไม่กล้าจินตนาการ ปี้เอ๋อร์ถลึงตาใส่ติงเสี่ยวอิงอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสองคนยืนนิ่งอยู่ทำอะไร ว่ายน้ำเป็นหรือไม่ หากว่ายเป็นก็รีบไปช่วยคนสิ!”

สหายของติงเสี่ยวอิงส่ายศีรษะอย่างลนลาน “ข้าว่ายไม่เป็น”

ติงเสี่ยวอิงอ้าปากกำลังจะบอกว่าข้าว่ายเป็น แต่ปี้เอ๋อร์คิดอะไรได้จึงเอ่ยปากอีกครั้ง “เจ้าอย่าเลย ผู้ใดจะรู้ว่าหากเจ้ากระโดดลงไปแล้วจะทำอะไรนายน้อยของข้าอีก ไม่แน่อาจจะกดเขาไว้ใต้น้ำไม่ให้เขาขึ้นมาก็ได้!”

ติงเสี่ยวอิงหวังดีแต่กลับถูกคนกล่าวหา จึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมและโกรธเคือง “เจ้าอย่ามาใส่ร้ายผู้อื่น…”

“ข้าใส่ร้ายหรือ ผู้ใดโยนนายน้อยของข้าลงไป ผู้ใดทะเลาะกับฮูหยินของข้า ข้านับถือเจ้าจริงๆ เป็นถึงคุณหนูตระกูลขุนนาง แต่จิตใจกลับเป็นเช่นนี้ แม้แต่สาวใช้อย่างข้ายังดีกว่าเจ้า! อย่างน้อยข้าก็ไม่ไปทำร้ายลูกของผู้อื่น! เจ้าดูสิว่าเจ้าทำสิ่งใดลงไป”

นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของปี้เอ๋อร์ แม้นางจะได้รับคำสั่งจากสวีซื่อให้เดินทางมาขโมยสูตรลับของเฉียวเวย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางเลือกไม่ได้ เจ้านายของนางคือสวีซื่อ สวีซื่อให้นางไปตะวันออก นางก็มิอาจไปตะวันตก สวีซื่อให้นางไปทางตะวันตก นางก็มิอาจไปตะวันออก แต่นางไม่เคยคิดทำอันใดกับฮูหยินและลูกน้อยทั้งสองคน

ต่อให้เป็นคนชั่วก็มีเส้นขีดจำกัดของคนชั่ว เส้นแบ่งของปี้เอ๋อร์ก็คือจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์

แต่ดูจากตอนนี้ อดีตคุณหนูจวนผู้ว่าราชการมณฑลคนนี้คงไม่มีเส้นแบ่งอันใดทั้งสิ้น ช่างทำให้คนตกตะลึงโดยแท้

“เกิดอะไรขึ้นๆ มีคนโยนนายน้อยลงไปหรือ” เสี่ยวเว่ยลงมาจากชั้นบนก็ได้ยินคำพูดบางส่วนของปี้เอ๋อร์พอดี

ปี้เอ๋อร์ถลึงตาใส่ติงเสี่ยวอิงอย่างคับแค้นและโกรธเกรี้ยว “นางเป็นคนทำ!”

เสี่ยวเว่ยจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคืออดีตคุณหนูตระกูลขุนนางที่ทะเลาะกับอากุ้ยมิยอมเลิกราแล้วยังตบชีเหนียงหนหนึ่งที่โรงงานเมื่อหลายวันก่อน ตอนนั้นเขาโกรธมาก ตอนนี้เมื่อทราบว่านางโยนจิ่งอวิ๋นลงไปในน้ำ เพลิงโทสะยิ่งลุกโชติช่วง ไม่พูดพร่ำคำใดตรงเข้าไปตบนางฉาดใหญ่ทันควัน!

“เจ้าเป็นบ้าใช่หรือไม่ แม้แต่เด็ก เจ้าก็ยังโยนลงไป ข้าจะโยนเจ้าลงไปบ้าง! ให้เจ้ากลายเป็นอาหารปลาในแม่น้ำ!”

ชีเหนียงสะอื้นแย้งว่า “นางว่ายน้ำเป็น…”

เสี่ยวเว่ยตวาดด่าเสียงดัง “บัดซบ เจ้าว่ายน้ำเป็นแล้วยังยืนอยู่ที่นี่อีก! ไม่รู้จักลงไปช่วยคนหรือไร”

ติงเสี่ยวอิงชอบรังแกคนที่อ่อนข้อแต่กลัวคนที่แข็งใส่เป็นที่สุด หากเสี่ยวเว่ยทะเลาะกับนาง นางอาจยังตวาดกลับได้ แต่เมื่อเสี่ยวเว่ยปราดเข้ามาตบนาง นางก็หัวหดในพริบตา แต่นางมิกล้าแสดงออกมา เพราะน่าขายหน้าเกินไป นางจึงได้แต่กุมแก้ม หันไปมองปี้เอ๋อร์แล้วเถียงว่า “นางไม่ให้ข้าลงไปช่วย…”

เสี่ยวเว่ยโกรธจนขนพอง “นางให้เจ้ากินขี้ เจ้าจะกินด้วยหรือไม่ มารดาเถอะ บิดาเป็นโจรยังไม่เคยเห็นคนชั่วช้าเช่นนี้! เช่นนี้น่ะหรือคุณหนูตระกูลขุนนาง!”

ทุกคนที่นั่นคิดว่าเขาเปรียบเปรย ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาเป็นโจรจริงๆ

ชั่วพริบตานั้นติงเสี่ยวอิงสูญเสียการควบคุมตนเองจริงๆ ตอนนี้นางสำนึกผิดเหลือเกิน เมื่อถูกด่าก็ยิ่งสลด “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”

เสี่ยวเว่ยถีบนางเต็มๆ หนึ่งเท้าจนนางหงายหลังล้มไปพร้อมกับเก้าอี้ด้านหลัง “เวรเอ๊ย ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน! ข้าโกรธเกินไปจนห้ามตนเองไม่ได้!”

เฉียวเวยกลั้นลมหายใจนานเกินไปจนกลั้นไม่ไหวแล้วจึงลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ

ชีเหนียงรีบยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่างถามนาง “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะฮูหยิน หาจิ่งอวิ๋นพบหรือไม่”

เฉียวเวยประหยัดเรี่ยวแรงทุกหยาดหยดที่มีไว้ดำน้ำจึงไม่ตอบอะไร นางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วดำลงไปใต้น้ำต่อ

อากุ้ยก็ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำเช่นกัน

ชีเหนียงถามอย่างร้อนใจ “อากุ้ย เจ้าเห็นจิ่งอวิ๋นหรือไม่”

อากุ้ยส่ายหน้า หลังจากสูดอากาศเฮือกหนึ่งก็ดำลงไปใต้ผืนน้ำอีกครั้ง

คนอื่นที่ลงไปช่วยค้นหาทยอยลอยขึ้นมาสูดหายใจบนผิวน้ำ หลังจากนั้นลงไปหาใต้น้ำต่อ ขอบเขตที่ค้นหาขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ จากเรือเริงรมย์หยางหู ขยายออกไปรอบด้าน

เรือที่แล่นผ่านรอบด้านได้ยินว่าทางนี้มีเด็กตกน้ำก็พากันช่วยเหลืออย่างกล้าหาญ คนที่ว่ายน้ำเป็นลงไปในน้ำ คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นใช้ไม้ควานหา ใช้แหทอดหา

คนที่เดินผ่านไปมาบนฝั่งกับเถ้าแก่และลูกจ้างในร้านรวงทราบข่าวอย่างรวดเร็ว ริมฝั่งน้ำอันเงียบเหงามีผู้คนมาเบียดออในเวลาเพียงพริบตา หลังจากนั้นก็มีคนแล้วคนเล่ากระโดดลงไปในแม่น้ำราวกับเกี๊ยวที่ถูกหย่อนลงหม้อ

นั่นเด็กคนหนึ่งเชียวนะ

บ้านผู้ใดไม่มีเด็กบ้างเล่า

หัวใจของผู้คนทั้งหลายมิได้ทำจากศิลาเสียหน่อย

ชีเหนียงร้อนใจขึ้นทุกที คนมากมายเช่นนี้ลงไปหา เหตุใดยังช่วยนายน้อยขึ้นมาไม่ได้อีกเล่า

อีกฝั่งหนึ่งติงเสี่ยอวิงถูกเสี่ยวเว่ยเตะเข้าหลายทีจนรู้สึกเหมือนไส้ใกล้ขาด

สหายของนางอยากประคองก็ไม่กล้า อยากห้ามก็ไม่กล้า

“ชีเหนียง!” ติงเสี่ยวอิงตะโกนเสียงดัง

ชีเหนียงหันหลับไปมองนาง แต่มิพูดคำใดแล้วหันกลับมา

ในหัวใจของชีเหนียงโกรธแค้น ในเวลาเดียวกันก็ตำหนิตนเอง หากตนไม่ทำให้ติงเสี่ยวอิงโกรธก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ต่อมา นางอยากจะให้ตนเองตกน้ำไปแทนจิ่งอวิ๋นยิ่งนัก…

ขอให้จิ่งอวิ๋นไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นนางคงไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อ

คนในทะเลสาบหยางหูมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ชายฝั่งก็มีคนเบียดอยู่เต็มไปหมด เรื่องไปถึงทางการอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อทางการได้ข่าวก็ส่งเรื่องไปถึงในวังอย่างฉับไว

ในตอนนี้จีหมิงซิวยังไม่ทราบว่าลูกชายตกน้ำ เขาถูกฮ่องเต้รั้งตัวไว้ในห้องทรงพระอักษรเพื่อหารือเรื่องชายแดน

ฮ่องเต้ถอนปัสสาสะตรัสว่า “เผ่าซยงหนีว์เริ่มไม่อยู่สงบๆ แล้ว พวกเขากำลังกักตุนเสบียงสร้างค่ายแถวชายแดน ดูท่าทางคงมีแผนยกกองทัพเข้ารุกราน ปีนี้ฝนน้อย ชาวบ้านผลผลิตไม่ดี แม้จะไม่เกิดภัยแล้งเป็นวงกว้าง แต่ก็มีบางเขตต้องการให้ราชสำนักช่วยเหลือ หากเวลานี้เผ่าซยงหนีว์บุกเข้ามา แย่ ต้องแย่แน่!”

รัชทายาทอ้าปากหาว

ฮ่องเต้หันไปมองจีหมิงซิว “อัครมหาเสนาบดีมีความเห็นเช่นไร”

ยิ่นอ๋องอิจฉาริษา โอรสมากมายล้วนนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ถามคนของตนก่อนแต่กลับถามคนนอกก่อน

จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางสบายๆ “ศึกนี้ มิจำเป็นต้องรบพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” ฮ่องเต้ตรัสถาม

จีหมิงซิวจึงตอบว่า “หากเผ่าซยงหนีว์ตั้งใจจะเปิดศึกจริงก็คงไม่สร้างค่ายกักตุนเสบียงโจ่งแจ้งอยู่แถวชายแดน เรื่องเหล่านี้ล้วนทำเพื่อให้ต้าเหลียงเห็น ต้าเหลียงแล้ง ประชาชนเก็บผลผลิตได้น้อยลง แต่คลังของแคว้นต้าเหลียงยังบริบูรณ์เพียงพอรับมือปีแห่งภัยแล้ง แต่ทางเผ่าซยงหนีว์ กระหม่อมได้ยินมาว่าสถานการณ์ของพวกเขาไม่ดีนัก”

ฮ่องเต้สนพระทัย จึงส่งสัญญาณให้เขากล่าวต่อไป

จีหมิงซิวกราบทูลต่อ “เผ่าซยงหนีว์เป็นชนเผ่าเร่ร่อน เพาะปลูกน้อย เลี้ยงสัตว์มาก ฝนแล้งปีนี้มิได้ส่งผลต่อต้าเหลียงเพียงแห่งเดียว เผ่าซยงหนีว์ก็เผชิญหน้ากับสภาพเดียวกันด้วย หรืออาจเป็นไปได้ว่าสถานการณ์ของฝั่งนั้นอาจหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าต้าเหลียง ต้าเหลียงของพวกเราแล้งก็มีแต่ต้นพืชแห้งตายเท่านั้น แต่ฝั่งซยงหนีว์แล้ง สิ่งที่ตายกลับเป็นแพะและวัว หลังจากวัวแพะล้มตาย หากซากศพมิถูกจัดการอย่างทันท่วงที โรคระบาดย่อมเกิดตามมา ภายในเผ่าซยงหนีว์โกลาหลจนเละเทะ การยกทัพมาบุกต้าเหลียงเป็นเพียงอุบายแสร้งทำเหมือนภายในสงบดีเท่านั้น”

ยิ่นอ๋องยิ้มหยัน “อัครมหาเสนาบดีกล่าวเช่นนี้ คล้ายมิเห็นเผ่าซยงหนีว์อยู่ในสายตา อัครมหาเสนาบดีอย่าได้ลืม เผ่าซยงหนีว์ทหารกล้าแกร่งอาชากำยำ พลทหารต้าเหลียงของพวกเราต่อสู้กับพวกเขาได้ลำบากยิ่งนัก ครั้งนี้พวกเขาเริ่มกักตุนเสบียงรวบรวมทหารแล้ว ท่านจะให้พวกเรานั่งรอความตายหรือไร”

จีหมิงซิวตอบอย่างนิ่งสงบ “ยิ่นอ๋องปรารถนาจะทำสงครามถึงเพียงนี้ มิสู้ขออาสาเป็นแม่ทัพ ยกทัพขึ้นเหนือด้วยตนเองดีหรือไม่”

“ท่านคิดว่าข้ามิกล้าหรือ” ยิ่นอ๋องเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ สิ่งที่เขาเก่งกาจที่สุดก็คือวรยุทธ์ การทำสงครามย่อมแสดงจุดเด่นของเขาออกมาได้ เมื่อเทียบกับการไม่รบ เขากลับยินดีทำศึกให้สาแก่ใจมากกว่า ขอเพียงรบได้ชัย ยังต้องกลัวในราชสำนักไม่มีผู้ใดสนับสนุนเขา ติดตามเขาอีกหรือ

จีหมิงซิวพลิกฎีกาฉบับหนึ่งอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “ยิ่นอ๋องทำศึกเพื่อสงคราม เคยคิดถึงประชาชนที่ชายแดนกับพลทหารของกองทัพสองฝั่งบ้างหรือไม่”

ยิ่นอ๋องแค่นเสียงหยัน “รอเผ่าซยงหนีว์บุกเข้ามาแล้ว พลทหารของกองทัพเราก็ต้องถูกเข่นฆ่า ประชาชนต้องพลัดพรากถิ่นฐานเช่นกัน”

“ข้ากล่าวไปแล้ว ศึกนี้ มิจำเป็นต้องรบ”

“รอสงครามบังเกิด ท่านจะนึกเสียใจก็สายไปแล้ว!”

ฮ่องเต้ปวดพระเศียร “รัชทายาท…” กำลังคิดจะตรัสถามความเห็นของรัชทายาทก็เห็นรัชทายาทฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ

ขันทีน้อยคนหนึ่งยืนชะเง้ออยู่นอกประตู ฝูกงกงตาไวหลบไปด้านข้างแล้วถอยออกมาจากห้อง เขาลากขันทีน้อยไปที่ลาน แล้วเอ็ดเสียงเบาว่า “มิเห็นหรือว่าด้านในหารือเรื่องสำคัญอยู่ ปกติข้าสอนเจ้าเช่นไร เหตุใดจึงไม่รู้จักจำ ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรือ!”

ขันทีน้อยเป็นลูกชายบุญธรรมของฝูกงกง เขาได้ฝูกงกงผลักดันจึงกลายมาเป็นขันทีดูแลน้ำชาในห้องทรงพระอักษร ผู้ที่ได้มาเผยหน้าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ คุณสมบัติย่อมมิด้อยนัก หากมิเป็นดังนั้นฝูกงกงก็คงไม่กล้าเสนอชื่อเขามา เพราะไม่ว่าอย่างไรหากเกิดเรื่องขึ้น ฝูกงกงก็ยากปัดความผิดเช่นกัน

ขันทีน้อยย่อมเข้าใจว่ามิอาจเข้าไปกราบทูลตามใจได้ แต่เขาได้ยินข่าวมาเรื่องหนึ่งต้องการจะบอกกับพ่อบุญธรรมเท่านั้น “พ่อบุญธรรม ที่ทะเลสาบหยางหูเกิดเรื่อง”

ฝูกงกงด่าเขา “ทะเลสาบหยางหูวันไหนไม่มีเรื่องบ้าง ต้องให้เด็กอย่างเจ้าสนใจหรือ”

ขันทีน้อยกล่าวเสียงเบา “คนของจวนกั๋วกงก่อเรื่อง”

“จวนกั๋วกง” ฝูกงกงมุ่นคิ้ว “จวนกั๋วกงคนใด”

ขันทีน้อยตอบว่า “จวนอานกั๋วกง”

เมื่อได้ยินว่าจวนอานกั๋วกง ฝูกงกงพลันหมดความสุขุม สิบคนที่นั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรก็มีสามคนเข้าไปแล้วที่เป็นญาติกับจวนอานกั๋วกง คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในนั้นก็คือฮ่องเต้ของพวกเขา

หลินฮองเฮาผู้สวรรคตไปแล้วคือคุณหนูจากจวนอานกั๋วกง อานกั๋วกงรุ่นก่อนคือพ่อตาของฮ่องเต้ อานกั๋วกงคนปัจจุบันก็คือน้องชายภรรยาของฮ่องเต้ ซื่อจื่อของอานกั๋วกงก็คือหลานของฮ่องเต้ แล้วหลานชายคนนี้ยังแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้อีก เล่าแล้วความสัมพันธ์ก็ซับซ้อนอยู่บ้าง แต่กล่าวโดยสรุปก็คือจวนอานกั๋วกงเป็นตระกูลที่มีอำนาจเทียบเคียงกับตระกูลจีเลยทีเดียว