ตอนที่ 120-2 การค้นหา การสั่งสอน
จวนอานกั๋วกงเกิดเรื่อง ฝูกงกงย่อมต้องกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ
จากนั้นขันทีน้อยก็เล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้พ่อบุญธรรมฟัง
“เจ้าเด็กคนนี้!” ฝูกงกงตบกะโหลกของขันทีน้อยเสียหนึ่งครั้ง ขันทีน้อยหัวเราะแหะๆ ฝูกงกงเอ่ยต่อ “เข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ หลังจากนี้ข้าต้องใช้สมองสักหน่อย”
ขันทีน้อยคำนับ “ขอรับ ลูกจดจำได้แล้ว!”
ฝูกงกงเข้ามาในห้อง
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเขาท่าทางผิดปกติจึงตรัสถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก”
ฝูกงกงลังเลครู่หนึ่งก็ทูลตามจริง “จวนอานกั๋วกงเหมือนจะก่อคดีร้ายแรงพ่ะย่ะค่ะ”
“ก่อเรื่องใหญ่โตมากหรือ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ฝูกงกงทูลตอบ “เหมือนจะค่อนข้างใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ฝั่งหยางหูคนตื่นตระหนกกันทั้งบาง”
จีหมิงซิวแววตาวูบไหว “ที่ใดของทะเลสาบหยางหู”
“เรือเริงรมย์หยางหู เด็กคนหนึ่งตกลงไปในน้ำ” ฝูกงกงตอบ
บึ๊ม! ในสมองของจีหมิงซิวเหมือนมีบางสิ่งระเบิด “เด็กนามว่าอะไร”
ฝูกงกงมึนงงกับปฏิกิริยาของอัครมหาเสนาบดี หรือจะเป็นคนรู้จักของอัครมหาเสนาบดี เขาส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ”
แววตาของจีหมิงซิวมืดครึ้มในพริบตา “กระหม่อมมีธุระ ขอทูลลา”
ฮ่องเต้ตกตะลึง “อ้าว! เรื่องเผ่าซยงหนีว์ยังคุยกันไม่จบเลยนะ! แล้วจะรบหรือไม่รบกันเล่า”
แต่จีหมิงซิวก้าวพรวดออกจากห้องทรงพระอักษรไปแล้ว
ยิ่นอ๋องสงสัย เด็กที่ทำให้จีหมิงซิวมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ได้ หรือว่าจะเป็น…
“ยิ่นอ๋อง…” ฮ่องเต้หันไปทอดพระเนตรพระโอรส
ยิ่นอ๋องประสานมือคำนับ “เสด็จพ่อ ลูกก็มีธุระสำคัญเช่นกัน ขอทูลลา!”
ฮ่องเต้ลูบคาง จีหมิงซิวออกไป พระองค์ยังพอเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลที่เกี่ยวดองกัน แต่ยิ่นอ๋องจะไปทำอะไรเล่า ผู้ที่สมควรไปควรเป็นรัชทายาทจึงจะถูก…
ฮ่องเต้ประทานฝ่ามือให้รัชทายาทหนึ่งเพียะ “ตระกูลท่านตาเจ้าเกิดเรื่องแล้ว!”
รัชทายาทลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ “อ้อ”
จากนั้นก็หลับไปอีกหน
…
บนฝั่งของทะเลสาบหยางหูมีคนอออยู่เต็มไปหมด ยืนซ้อนด้านในสามชั้น ด้านนอกอีกสามชั้น
ซ่า! ศีรษะคนศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากผิวน้ำ เจ้าของศีรษะยกมือขึ้นลูบใบหน้าแล้วเอื้อมมือหาคนที่อยู่บนฝั่ง “ดึงข้าหน่อย ไม่ไหวแล้ว…”
คนที่เหนื่อยล้าหมดเรี่ยวแรงอีกคนหนึ่งกลับขึ้นมาบนฝั่ง
ทุกคนดึงเขาขึ้นมา
หลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนช่วยเหลือที่หมดเรี่ยวแรงจำใจต้องทอยอยขึ้นฝั่งอีกไม่น้อย
แน่นอนว่ามีคนที่พักจนพอแล้ว ทยอยกันกระโดดลงไปในน้ำเช่นกัน
มีแต่เฉียวเวยเท่านั้นที่ไม่ยอมพักแม้สักวินาที ไม่ทราบว่านางขึ้นมาหายใจแล้วดำลงไปในน้ำค้นหาร่างของลูกชายเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว
แม้แต่อากุ้ยที่เคยเป็นทหารในกองทัพเรือยังทนไม่ไหว ร่างกายแช่อยู่ในน้ำ แขนเกาะอยู่บนเรือลำน้อยลำหนึ่ง หายใจหอบอย่างหนัก
เขามองเฉียวเวยดำลงไปในน้ำอย่างไม่คิดชีวิตก็อยากเรียกให้เฉียวเวยหยุด แต่เขาเหนื่อยจนแม้แต่เอ่ยปากพูดก็ยังไม่มีแรง
ตาเฒ่าอายุราวห้าสิบปีคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วเกาะอยู่ข้างเขา หอบหายใจเอ่ยว่า “นานเพียงนี้แล้ว เด็กน้อยคนนี้น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว”
โชคร้ายมากกว่าโชคดีหรือ ไม่มีทาง จิ่งอวิ๋นต้องรอด!
อากุ้ยสูดลมหายใจดังเฮือก แล้วดำลงไปใต้น้ำอีกหน
คนลงไปในน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีคนทยอยขึ้นฝั่งมามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีสักคนเห็นร่างของเด็กน้อย
แสงตะวันเริ่มอ่อนแรง ท้องนภาสีครามกลายเป็นสีเทาหม่น ผิวทะเลสาบสูญเสียประกายวิบวับ
ทันใดนั้นลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งก็ชูร้องเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาจากผิวน้ำ “รองเท้า! ข้าเจอรองเท้า!”
ชีเหนียงเพ่งสายตามองแล้วร้องด้วยความดีใจ “นั่นรองเท้าของจิ่งอวิ๋น!”
ฝูงชนเริ่มฮือฮา
ลูกจ้างน้อยโยนรองเท้าให้ชีเหนียง แล้วดำลงไปหาต่อ
เฉียวเวยโผล่พ้นน้ำขึ้นมาหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็มิอาจทราบได้ คนบนฝั่งร้องตะโกน
“เรียกนางขึ้นมาเถิด ข้าเห็นนางดำน้ำไม่หยุดพัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยังไม่ทันหาลูกนางพบ นางต้องเหนื่อยตายก่อนแน่”
“ใช่แล้วๆ รีบขึ้นมาเร็ว”
ลูกชายของนางยังลอยอยู่ในน้ำทะเลสาบหนาวเย็น นางจะขึ้นไปได้อย่างไรเล่า
มีคนออกไปลากเฉียวเวยแต่ถูกเฉียวเวยสะบัดทิ้ง
เฉียวเวยว่ายน้ำไม่เก่งนัก นางทนมาจนถึงตอนนี้ได้เพราะอาศัยความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียว
ทันใดนั้นแขนทรงพลังข้างหนึ่งก็โอบเอวของนางไว้ นางดิ้นรนแต่ถูกรัดจนมิอาจกระดิกกระเดี้ยวได้ เจ้าของท่อนแขนกอดนางไว้แน่นแล้วลากนางขึ้นมายังผิวน้ำ
เฉียวเวยอ้าปากกัดบนท่อนแขนของเขา
ทว่าแม้จะกัดสุดแรงแล้วก็ยังไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด เห็นชัดว่านางหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ
จีหมิงซิวลูบหลังศีรษะของนางแล้วบอกว่า “ข้าเอง”
เฉียวเวยสะอื้น “ข้ารู้ว่าเป็นท่าน”
จีหมิงซิวกอดนาง ให้น้ำหนักตัวทั้งหมดของนางทับอยู่บนร่างของตนเอง เขามองใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของนางแล้วบอกว่า “ข้าจะตามหาจิ่งอวิ๋นให้พบ เจ้าขึ้นเรือไปก่อน รอฟังข่าวจากข้า”
เฉียวเวยขอบตาแดงเรื่อพลางส่ายหน้า
จีหมิงซิวประคองใบหน้าของนางขึ้นมา แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาแดงระเรื่อของนาง จากนั้นเอ่ยอย่างหนักแน่น “จิ่งอวิ๋นเป็นลูกชายข้า ต่อให้ทุกคนจะเหนื่อย แต่ข้าจะไม่เหนื่อย แม้ทุกคนจะเลิกตามหาเขาแล้ว แต่ข้าจะหาต่อไป ถึงข้าจะต้องสูบน้ำทะเลสาบแห่งนี้จนแห้ง ข้าก็จะต้องหาเขาให้พบ วั่งซูยังอยู่บนเรือ เจ้ากับพี่ชายหายไปทั้งคู่ นางคงกลัวแย่แล้ว อย่าให้นางเป็นอะไรไปอีกคน”
เฉียวเวยพยักหน้า หยดน้ำร่วงผล็อยลงมาจากขอบตา แยกไม่ออกว่าคือน้ำตาหรือน้ำในทะเลสาบ
“สือชี”
จีหมิงซิวออกคำสั่ง สือชีทะยานร่างเหินมา เขาสะกิดปลายเท้าบนผิวน้ำแล้วโฉบหิ้วเฉียวเวยขึ้นไปบนเรือ
สือชีว่ายน้ำไม่เป็น
ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระโดดลงน้ำไปแล้ว
เมื่อยิ่นอ๋องรีบเร่งมาถึงที่แห่งนี้ก็เห็นจีหมิงซิวลงน้ำไปแล้วจริงๆ พอได้ยินว่าเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็เดาว่าแปดเก้าส่วนคงเป็นจิ่งอวิ๋น ยิ่นอ๋องก็เหมือนกับจีหมิงซิว ไม่มีเวลาถามไถ่ว่าจิ่งอวิ๋นตกน้ำไปได้เช่นไร แต่กระโจนตู้มลงน้ำไปทันที
องครักษ์ของทั้งสองคนสั่งให้นำเรือเล็กออก แล้วส่งสัญญาณมือให้กันอย่างสามัคคี ออกเรือกระจายไปคนละทิศทาง
นี่คงเป็นเรื่องที่ทั้งสองคนเคยร่วมมือกันครั้งเดียวในชั่วชีวิตนี้
เฉียวเวยถูกสือชีวางลงบนดาดฟ้าของเรือเริงรมย์ วั่งซูวิ่งถลาเข้ามาในอ้อมแขนของนาง “ท่านแม่!”
เฉียวเวยกอดลูกสาวไว้แน่น หัวใจราวกับถูกมีดปั่น
ชีเหนียงหิ้วสัมภาระเข้ามาหา “ฮูหยิน เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยดันมือของชีเหนียงออก สายตาเย็นเฉียบมองติงเสี่ยวอิงที่ย่องออกมาจากห้องหมายจะเผ่นหนี จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะ ม้านั่งที่ตอกติดดาดฟ้าตัวหนึ่งถูกถีบครั้งเดียวหลุดจากพื้นปลิวลงไปชนร่างของติงเสี่ยวอิง กระแทกติงเสี่ยวอิงจนเลือดไหลจากศีรษะ!
ติงเสี่ยวอิงกรีดร้อง นางกุมศีรษะเซทรุดลงบนพื้น
เฉียวเวยส่งวั่งซูให้ชีเหนียง แล้วเดินเข้ามาหาติงเสี่ยวอิงด้วยสีหน้าถมึงทึง ศีรษะของติงเสี่ยวอิงถูกม้านั่งกระแทกจนกลายเป็นรูเลือด เลือดสีแดงสดเหม็นคาวทะลักลอดหว่างนิ้วลงมาอาบใบหน้าของนาง นางคิดจะมองว่าผู้ใดบังอาจเช่นนี้ แต่แล้วก็เห็นเฉียวเวยยืนอยู่ตรงหน้านางประหนึ่งนางอสุรี
เฉียวเวยก้มมองนางจากด้านบน แววตากระหายเลือดคล้ายแม่เสือดาวที่ถูกแย่งลูกน้อย
ติงเสี่ยวอิงไม่เคยรู้ว่าสตรีนางหนึ่งเมื่อดุร้ายขึ้นมาจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ แววตานั่นราวกับว่าจะจับนางถลกหนังกลืนลงท้องทั้งเป็น หนังศีรษะของนางเริ่มเจ็บปวด ร่างกายสั่นระริก มือกุมศีรษะเอาไว้
เฉียวเวยเอ่ยอย่างดูแคลน “ติงเสี่ยวอิง เจ้าใจกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ กล้าแตะแม้กระทั่งลูกของข้า”
ติงเสี่ยวอิงร้องไห้โฮออกมา ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บหรือเพราะกลัว “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร…ข้า…ข้า…ข้าจะไปช่วยท่านตามหาเขา…ท่านอย่าด่าข้าเลย ข้ากลัว…”
เฉียวเวยเหยียบหัวไหล่ของนาง “เจ้ากลัว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าลูกชายข้าอายุเพียงห้าขวบ เขาถูกเจ้าโยนลงไปในทะเลสาบ เขาก็กลัวเป็นเหมือนกัน!”
“กรี๊ดดด ข้าเจ็บ!” ติงเสี่ยวอิงรู้สึกเหมือนหัวไหล่ของตนกำลังจะถูกบดจนแหลก นางพยายามทำให้ตนเองดูบอบบาง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ใจอ่อนเลยสักนิด เหยียบนางเหมือนจะเหยียบให้ตาย เหยียบจนนางเจ็บแทบตายอยู่แล้ว
ชีเหนียงปิดตาวั่งซู
ติงเสี่ยวอิงเจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ นางตะโกนร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย…ช่วยข้าด้วย…”
“เจ้ายังร้องขอความช่วยเหลือได้ แต่ลูกชายของข้าไม่มีแม้แต่โอกาสจะเอ่ยปาก” เฉียวเวยเพิ่มแรงที่เท้ามากขึ้นอีก
หัวไหล่ข้างขวาของติงเสี่ยวอิงปริแตกทีละนิด นางเจ็บจนสลบไป แต่แล้วก็ถูกเฉียวเวยสาดน้ำจนตื่นขึ้นมาอีก
คนบนเรือเริงรมย์ไม่มีสักคนก้าวเข้าไปห้าม พวกเขาไม่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างติงเสี่ยวอิงกับเฉียวเวย แต่การโยนลูกของผู้อื่นลงน้ำ เรื่องพรรค์นี้แม้แต่เดรัจฉานยังไม่ทำ สาวใช้เช่นนี้ ตีให้ตายก็สมควรแล้ว
ติงเสี่ยวอิงพร่ำวิงวอน “ท่านปล่อยข้าเถิด…ข้าเจ็บเหลือเกินแล้วจริงๆ…”
เฉียวเวยสีหน้าเย็นชา “ลูกชายของข้าก็กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ยิน”
ติงเสี่ยวอิงหวาดกลัว นางกลัวแล้วจริงๆ หากรู้ว่าสตรีนางนี้ไม่ควรหาเรื่อง ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่โยนลูกของนางลงน้ำ ไม่ นางไม่ใช่คนเช่นนั้น นางไม่ได้ตั้งใจ นางไม่ได้ใจคอโหดเหี้ยมเช่นนั้น ตอนนั้น ตอนนั้นนางสมองว่างเปล่าไปหมดจริงๆ….
ติงเสี่ยวอิงนึกเสียใจจนใจแทบขาด
แต่นางเสียใจอีกเท่าใดก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้
“ผู้ใดบังอาจเช่นนี้ กล้าแตะต้องคนของจวนกั๋วกง”
ทันใดนั้นเสียงตวาดของสตรีนางหนึ่งก็ดังมาจากทางขึ้นเรือ หลังจากทหารของทางการเดินทางมาถึง พวกเขาก็ปิดกั้นเรือเริงรมย์ไว้เป็นสิ่งแรก ชาวบ้านที่มามุงดูล้วนถูกเชิญออกไป ผู้ที่ฝ่าวงล้อมแน่นหนาเดินมาขึ้นเรือได้ย่อมมีความเป็นมาไม่ธรรมดา
เฉียวเวยหันไปมองอย่างเฉยชา ประกายเย็นยะเยือกในแววตาทำให้สตรีที่เดินมาหลายคนตั่วสั่นเทากันถ้วนหน้า
ผู้ที่เอ่ยปากเมื่อครู่คือสตรีสูงศักดิ์ที่ถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ นางสวมเสื้อผ้าหรูหราสีม่วงอ่อน ดวงหน้าสะสวย ประโคมอัญมณีประดับเรือนกาย ข้างกายมีสาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีชมพูดอกท้อยืนอยู่นางหนึ่ง ด้านหลังมีสาวใช้ที่แต่งตัวเช่นเดียวกับติงเสี่ยวอิงติดตามมาอีกหกคน
ขบวนเช่นนี้ หากไม่ทราบคงคิดว่าเห็นพระสนมของฮ่องเต้มาเยือน เจาหวังเฟยยังไม่โอ้อวดเท่านาง
สหายของติงเสี่ยวอิงรีบเดินมาหาสตรีนางนั้น “ฮูหยินรอง!”
หลีซื่อไม่ชายตามองนาง แต่เลื่อนสายตาไปจับบนร่างของเฉียวเวยกับติงเสี่ยวอิง “เจ้าคือผู้ใด ถึงกล้าตบตีสาวใช้จวนอานกั๋วกง” กล่าวจบก็ไม่รอให้เฉียวเวยตอบ สายตาเย็นชากวาดไปมองเจ้าพนักงานทางการที่อยู่ด้านข้าง “พวกเจ้ากินข้าวแล้วไม่ทำงานกันหรือ ไม่รู้หรือว่านี่เป็นคนของจวนกั๋วกง ถึงปล่อยให้…ชาวบ้านธรรมดามารังแก”
เจ้าพนักงานทั้งหลายโอดครวญในใจ พวกเขามาถึงย่อมถามตัวตนของอีกฝ่ายจนชัดเจนแล้ว พวกเขาก็อยากซื้อใจจวนกั๋วกงเช่นกัน แต่ติดอยู่ตรงที่ก่อนอื่นก็อัครมหาเสนาบดี ตามมาด้วยยิ่นอ๋อง พวกเขาต่างกระโจนลงน้ำไปช่วยคน แล้วเด็กที่ตกน้ำไปนั่นจะเป็นเด็กธรรมดาได้หรือ
แล้วยังมีเด็กหนุ่มวรยุทธ์สูงอีกคนหนึ่งที่ยังนั่งอยู่บนเรือ เด็กหนุ่มผู้นั้นนั่งนิ่งไม่ขยับ แต่ทำท่าราวกับว่าหากผู้ใดสอดมือมายุ่ง ข้าจะฟันมันเสีย แล้วผู้ใดจะกล้าทิ้งชีวิตตนเอง
เฉียวเวยคร้านจะสนใจนาง นางเหยียบติงเสี่ยวอิงซ้ำอีกหนึ่งหน
หลีซื่อโมโห “เจ้าคนไม่รู้จักดีชั่ว! ข้าบอกเจ้าแล้วว่านั่นเป็นคนของจวนกั๋วกง เจ้ายังกล้าทำเป็นไม่รู้อีก!”
เฉียวเวยโต้อย่างเย็นชา “ทำไมท่านไม่ลองถามสาวใช้ของท่านดูว่านางทำอะไรลงไป”
หลีซื่อเชิดคาง “ไม่ว่าทำสิ่งใด จวนกั๋วกงย่อมจัดการเอง ผลัดไม่ถึงตาผู้อื่นสอดมือมายุ่ง!”
เฉียวเวยสีหน้าเย็นชา “ท่านหมายความว่าต่อให้นางฆ่าคนตาย จวนกั๋วกงของพวกท่านก็จะปกป้องนางเช่นนั้นหรือ”
หลีซื่อตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “แคว้นมีกฎแคว้น บ้านมีกฎบ้าน บ่าวของจวนกั๋วกงทำผิดย่อมต้องลงโทษตามกฎบ้าน หากฆ่าคนก็ย่อมมีทางการจัดการ แล้วเจ้าเป็นผู้ใดถึงกล้าลงโทษคนตามใจชอบต่อหน้าธารกำนัล!”
“ฮูหยินช่วยข้าด้วย…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…” ติงเสี่ยวอิงวิงวอนอย่างทุกข์ทรมาน
หลี่ซื่อเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าตั้งใจหรือไม่ ข้ากลับจวนแล้วจะสอบสวนให้กระจ่างด้วยตนเอง!” ท่าทางเหมือนไม่ได้จะปกป้องติงเสี่ยวอิง แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้เฉียวเวยลงโทษตามใจชอบ “เจ้าปล่อยนางเสีย เจ้ามีสิ่งใดเสียหาย ข้าจะชดใช้ให้เจ้า แต่บ่าวจวนกั๋วกงของข้า ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเอง”
หากสาวใช้คนนี้ทำความผิดจริง นางย่อมไม่อภัย แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่คนนอกลงมือ หากปล่อยให้คนนอกสั่งสอนบ่าวของจวนกั๋วกงตามใจชอบ แล้วผู้คนเล่าลือออกไป ผู้ใดยังจะเห็นจวนกั๋วกงอยู่ในสายตาอีก ผู้ใดยังจะเห็นนางหลีซื่อผู้นี้อยู่ในสายตาอีก
ชดใช้? พูดง่ายจริงนะ จนบัดนี้ก็ยังหาตัวลูกชายของนางไม่พบ นางหาจิ่งอวิ๋นกลับมาคืนให้นางได้หรือไม่เล่า
เฉียวเวยพูดแต่ละคำออกมาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง “หากท่านสั่งสอนได้จริงคงไม่ปล่อยสุนัขชั่วช้าตัวนี้ออกมาเพ่นพ่านไล่ตะปบไล่กัดผู้อื่น กัดจนครอบครัวข้าไม่ได้อยู่สงบสุข! ข้าขอเตือนท่านสักคำ เรื่องของนาง ท่านอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า ตอนนี้ข้ายังไม่อยากจะพาลโกรธท่านด้วย แต่หากท่านกล้าเอ่ยวาจาเหลวไหลอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโยนท่านลงไปในน้ำด้วย!”
หลีซื่อโกรธจัด “เจ้ากล้าหรือ”
เฉียวเวยชักเท้าที่เหยียบบนร่างของติงเสี่ยวอิงกลับมา จากนั้นก้าวพรวดราวกับดาวตกมาถึงหน้าหลีซื่อ แล้วคว้าตัวหลีซื่อห้อยออกไปนอกเรือ!
สาวใช้ทั้งหมดหน้าถอดสี!
สาวใช้คนหนึ่งตะโกนเรียก “องครักษ์อยู่ไหน รีบมาคุ้มกันเร็ว! มีคน มีคนจะสังหารฮูหยิน!”
องครักษ์จวนกั๋วกงทั้งหลายใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้ามาตามเสียงเรียก แต่ยังไม่ทันแตะถูกชายเสื้อของเฉียวเวยก็ถูกสือชีเตะลงน้ำไปทีละคน
หลีซื่อถูกมือสองข้างของเฉียวเวยหิ้วไว้ ปลายเท้าห้อยลงไปแตะผิวน้ำ เมื่อนางมองดวงตาที่แผดเผาด้วยโทสะของเฉียวเวย หัวใจก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ “เจ้า…เจ้าดึงข้าขึ้นไป…”
เฉียวเวยเอ่ยทีละคำ “เจ้าคืนลูกชายให้ข้า แล้วข้าจะดึงเจ้าขึ้นมา”
“เอะอะเรื่องอะไรกัน”
มีสตรีจุ้นจ้านเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก แล้วหย่อนหลีซื่อลงไปในน้ำอย่างฉับพลัน หลีซื่อหวาดกลัวจนกรีดร้องเสียงแหลม “พี่สะใภ้ใหญ่! ช่วยข้าด้วย…”
“นี่ เจ้าเป็นผู้ใดกันจึงกล้าแตะ…”
สตรีนางนั้นมองแผ่นหลังของเฉียวเวย แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็เห็นเงาร่างเล็กจ้อยร่างหนึ่งถลาเข้ามาหาตนเอง
“ท่านป้า!”
วั่งซูโผเข้ามาในอ้อมแขนของจีหว่าน