ตอนที่ 358 หาแฟนสักคนมาหลอกให้สบายใจ
ตอนที่ 358 หาแฟนสักคนมาหลอกให้สบายใจ
หลิวกุ้ยอิงเห็นเซี่ยไห่แล้วก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่เซี่ยก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ?”
“ผมมาอยู่รอเป็นเพื่อนพี่ใหญ่น่ะครับ ในเมื่อคุณมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน”
ก่อนที่เซี่ยไห่จะออกไป เขาก็ล้อเซี่ยเหลยว่า “พี่ใหญ่ เรายังยืนยันคำเดิม ถ้าพี่อยากให้พวกเราแต่งงานมาก พี่ก็เป็นผู้นำก่อนเลย แล้วเดี๋ยวเราจะแต่งงานกันหลังจากที่พี่แต่งงานแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่น้อง ๆ จะแต่งงานก่อนพี่ชายคนโต”
แม้เซี่ยเหลยจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว แต่ในความเข้าใจของเขาเอง เขาไม่เคยติดต่อกับผู้หญิงคนไหนเลย ต่อให้เขาจะขอให้น้อง ๆ รีบแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปเสีย แต่ตัวเขาเองก็ไร้ประสบการณ์ในการหาคู่เพื่อที่จะแต่งงานเช่นเดียวกัน
คำพูดของเซี่ยไห่ในเวลานี้ทำให้เขาเขินอายมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวกุ้ยอิง เขารู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวเพราะความตื่นตระหนก จึงกระแอมไอแก้เขินเบา ๆ และมองไปที่หลิวกุ้ยอิง “วันนี้เราควรเอาเครื่องรีดแป้งไปคืน”
“ค่ะ งั้นไปกันตอนนี้เลย”
หลิวกุ้ยอิงนำรถเข็นออกมาด้วย เครื่องรีดแป้งนั้นมีน้ำหนักมากเกินกว่าจะถือเป็นเวลานาน ๆ ได้ ดังนั้นจึงวางมันลงบนรถเข็นเพื่อทุ่นแรง
เซี่ยเหลยช่วยเข็นรถ หลิวกุ้ยอิงก็เดินตามเขาไป
ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง ประกอบกับหลังจากได้ยินการหยอกล้อของเซี่ยไห่เมื่อครู่ ทำให้หลิวกุ้ยอิงเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเซี่ยเหลยขณะที่เดินอยู่บนถนน
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไร้ความรู้สึก แต่เขากลับไม่กล้าสบตาหล่อนตรง ๆ
พูดตามตรงว่ายิ่งพวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเท่าใด ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหล่อนก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น
รูปถ่ายของหล่อนเมื่อครั้งยังเยาว์วัยดูนานเข้าก็ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงสาวในฝันที่เขามองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจนอย่างน่าอัศจรรย์
เพียงแต่ว่านิสัยของหลิวกุ้ยอิงคนนี้ออกจะเก็บตัวเกินไปหน่อย ในขณะที่หญิงสาวซึ่งมักจะปรากฏในความฝันของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและกล้าหาญมาก
เซี่ยเหลยเหลือบมองไปทางด้านข้างของหลิวกุ้ยอิงที่กำลังเดินก้มหน้าอยู่ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณช่วยเล่าเรื่องอดีตของเราให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?”
“หา?” หลิวกุ้ยอิงดูตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนี้
ปฏิกิริยาแรกคือ เขาไปรู้อะไรบางอย่างมาหรือเปล่า?
เซี่ยเหลยเดินต่อไปและพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “เล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าตอนนั้นเราเจอกันได้ยังไง? รู้จักกันมานานแค่ไหน? และความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันคิดว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว ตอนนั้นคุณมีอาการแพ้ตำแย ฉันก็เลยช่วยคุณรักษา” เมื่อเซี่ยเหลยเป็นฝ่ายริเริ่มถามเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต หลิวกุ้ยอิงก็เต็มใจที่จะบอกเขา
เซี่ยเหลยถามอีกครั้ง “แล้วคุณช่วยผมยังไง?”
“คั้นน้ำหญ้าตำแยแล้วราดลงบริเวณที่เป็นผื่น ล้างพิษด้วยการใช้พิษ จากนั้นคุณก็หายดี”
แม้หล่อนอาจจะเคยเล่าเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่หลิวกุ้ยอิงก็ยังคงเล่าซ้ำอย่างอดทน “แต่ตอนนั้นเราเพิ่งเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก คุณก็เลยไม่เชื่อวิธีการรักษาของฉัน แถมยังกล่าวหาว่าฉันจะฆ่าคุณ เราก็เลยทะเลาะกันยกใหญ่”
“ทะเลาะ?” หลังจากได้ยินคำพูดของหล่อน เซี่ยเหลยก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างออกไปซึ่งหาได้ยาก เขาเหลือบมองหลิวกุ้ยอิง ทำหน้าตาเหมือนไม่เชื่อ “คุณกล้าทะเลาะกับคนอื่นด้วยเหรอ?”
ตลอดช่วงเวลาที่ได้เจอหล่อนไม่กี่ครั้ง เขารู้สึกว่าหล่อนเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและรักความสงบ ไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ ทั้งยังมีบุคลิกเก็บตัวมาก ดูเหมือนไม่เคยมีความคิดอ่านที่เป็นอิสระ
ภาพลักษณ์นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเงาของเด็กสาวในความทรงจำที่คลุมเครือของเขา
ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมานาน แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าตัวเองคุ้นเคยกับหลิวกุ้ยอิงเลย
หลิวกุ้ยอิงเผชิญสายตาประหลาดใจของเขา ก่อนจะตอบกลับอย่างเย่อหยิ่ง “แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อก่อนฉันกล้าได้กล้าเสียจะตายไป”
หล่อนเลิกคิ้ว ท่าทางนั้นมีชีวิตชีวาอย่างหาได้ยาก และด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวใจของเซี่ยเหลยก็เริ่มเต้นรัว
เซี่ยเหลยเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ เขาเดินตามหล่อนและถามต่อ “กล้าได้กล้าเสียขนาดไหน? คุณยังติดต่อกับผมหลังจากที่เราทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า?”
“ติดต่อสิ คุณเป็นผู้โชคร้ายที่แพ้ตำแย ถึงเราจะทะเลาะกัน แต่ฉันก็เป็นคนใจดีมากพอ เลยพาคุณกลับมาพักที่บ้าน ตอนนั้นแหละที่คุณได้ดื่มสุราดอกกุ้ยฮวาเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นด้วยสภาพอากาศในค่ายทหารที่หนาวและทรหดจนเกินไป ฉันเลยแวะเวียนไปส่งเหล้าของที่บ้านให้คุณอยู่บ่อย ๆ เพื่อที่คุณดื่มแล้วร่างกายจะได้อบอุ่นในตอนกลางคืน”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงหวนนึกถึงอดีต น้ำเสียงของหล่อนก็เจือความอ่อนหวาน ส่งเสริมให้ความรู้สึกภายในใจของเซี่ยเหลยลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เขารู้สึกว่าในอดีต ตัวเองน่าจะสนิทสนมคุ้นเคยกับหลิวกุ้ยอิงมากพอสมควร
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่นั้น หลิวกุ้ยอิงก็ชี้ไปที่ตลาดสดที่อยู่ตรงหน้า “ถึงแล้ว”
ความจริงที่ร้านเก็บสินค้าเอาไว้ให้พวกเขาแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาจ่ายเป็นเงินมัดจำส่วนหนึ่ง ตอนนี้หลังจากชำระยอดคงเหลือครบถ้วน ทั้งสองก็ช่วยกันยกเครื่องรีดแป้งขึ้นใส่รถเข็น เซี่ยเหลยอาสาเป็นคนเข็น แต่หลิวกุ้ยอิงกลัวเขาจะลงน้ำหนักที่ขามากเกินไป จึงผลักรถเข็นนำหน้าไปก่อน
เซี่ยเหลยคอยสนับสนุนหล่อนจากด้านหลังขณะเดินกลับมาที่ร้าน
ระหว่างทางกลับ หลิวกุ้ยอิงเข็นรถเข็นอยู่ข้างหน้า ส่วนเซี่ยเหลยก็ช่วยดันจากข้างหลัง ทั้งสองคนเดินตามกันไป เซี่ยเหลยหยุดสานต่อบทสนทนาเอาไว้ชั่วคราว ทำให้หลิวกุ้ยอิงดูผิดหวังเล็กน้อย
พวกเขาพบกันมาตั้งหลายครั้ง เซี่ยเหลยยังไม่มีวี่แววว่าจะจดจำหล่อนได้เลยเหรอ?
หลินเซี่ยเคยบอกกับเซี่ยไห่และคนอื่น ๆ ว่าเมื่อใดที่ผลทดสอบความเป็นพ่อลูกออกมาแล้ว พวกเขาจะต้องบอกความจริงกับเซี่ยเหลยไม่ว่าเขาจะฟื้นความทรงจำแล้วหรือไม่ก็ตาม
ใจจริงแล้ว หลิวกุ้ยอิงยังคงหวังลึก ๆ ว่าเซี่ยเหลยจะจดจำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนต่างเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นเสียงทุ้มลึกของชายคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของหลิวกุ้ยอิง “แล้วพ่อของเซี่ยเซี่ยคือใคร?”
คำถามที่โพล่งขึ้นอย่างกะทันหันของเซี่ยเหลย ทำให้เท้าของหลิวกุ้ยอิงถึงกับสะดุด มือของหล่อนคลายลงจนรถเข็นเอียงกะเทเร่ และทำให้เครื่องรีดแป้งแทบจะกลิ้งตกลงจากรถเข็น
เซี่ยเหลยรีบก้าวไปคว้าเครื่องรีดแป้งไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง
หลิวกุ้ยอิงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเหลย กลัวว่าหากหล่อนมองหน้าเขา สีหน้าและอารมณ์ของหล่อนจะเปิดเผยซึ่งทุกสิ่ง
หล่อนเคยคิดที่จะบอกเซี่ยเหลยโดยไม่ลังเลว่าเธอก็คือลูกสาวของคุณอย่างไรล่ะ
แต่หล่อนต้องไม่ลืมพิจารณาถึงความสามารถของเซี่ยเหลยที่จะรับความจริงข้อนี้
สถานการณ์ปัจจุบันของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป ทำให้หล่อนไม่กล้าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าโดยที่ไม่ผ่านการปรึกษากับทุกคนเสียก่อน…
หลิวกุ้ยอิงทำได้เพียงกลืนสิ่งที่ต้องการจะพูดกลับลงคอไป
“ไว้ฉันจะตอบคำถามนี้หลังจากที่คุณได้ความทรงจำคืนกลับมาแล้วนะคะ”
…
เซี่ยไห่วิ่งเข้าไปในร้านตัดผมของหลินเซี่ย เมื่อเห็นว่าเซี่ยอวี่กำลังให้หลานสาวทำผมให้ เซี่ยไห่ก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจเฮือก “ทำไมจู่ ๆ พี่ใหญ่ถึงเริ่มเร่งเร้าการแต่งงานของพวกเราล่ะ?”
เซี่ยอวี่นั่งอยู่หน้ากระจก มองดูหลินเซี่ยทำโน่นทำนี่กับศีรษะของตัวเองไปพลาง ก่อนจะตอบว่า “ใครจะไปรู้ ตอนอยู่บ้านแม่ก็เอาแต่พูดปากเปียกปากแฉะกับฉัน พอออกมานอกบ้านพี่ใหญ่ยังมาบังคับฉันอีก ฉันทำตามใจพวกเขาไม่ได้หรอก ทุกวันนี้ฉันยังต้องทำงาน ใครจะอยากได้ภาระมาคล้องคอตัวเองบ้าง”
พี่น้องสองคนคิดเห็นตรงกัน ทั้งสองถอนหายใจ จากนั้นก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับความคิดล้าสมัยของแม่และพี่ใหญ่
ไม่แต่งงานแล้วจะเป็นอะไรไป?
พวกเขาไม่ต้องพึ่งพาใครเพื่อเลี้ยงดูตอนแก่ก็ได้ ตราบใดที่มีเงิน มีเวลาว่าง อยู่คนเดียวไม่มีความสุขกว่าหรือ?
หลินเซี่ยทำงานไปด้วย ออกความเห็นไปด้วยอย่างสบาย ๆ “พ่อฉันคงคิดว่าเขากำลังเป็นตัวถ่วงของพวกคุณเพราะมัวแต่ดูแลเขาจนไม่มีเวลาหาแฟนและแต่งงาน เขาอาจจะรู้สึกผิดแทนพวกคุณสองพี่น้องก็ได้นะคะ อย่าลืมว่าเขาต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจที่หนักมาก”
ตอนอยู่ในรถ หน้าตาเซี่ยเหลยดูเคร่งขรึมมากเมื่อเขาบอกว่าตัวเองเคยเป็นภาระครอบครัว จนทำให้การแต่งงานของพวกเขาล่าช้าออกไป
หลินเซี่ยรู้สึกเข้าใจและเสียใจต่อเซี่ยเหลยมาก
แม้ว่าน้องชายและน้องสาวจะยืนยันว่าเหตุผลที่พวกเขาไม่ยอมแต่งงานเสียทีก็เพราะเรื่องส่วนตัว แต่จากสถานการณ์ของเซี่ยเหลย มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่เขาจะเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง
เมื่อหลินเซี่ยพูดแบบนี้ ทั้งเซี่ยไห่และเซี่ยอวี่ต่างก็เงียบไป
“เซี่ยเซี่ย การที่พวกเราไม่แต่งงานไม่เกี่ยวอะไรกับพ่อของเธอเลยนะ”
เซี่ยไห่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ถูกเผง เราทั้งคู่รักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ไม่อยากให้ชีวิตโดนผูกมัดด้วยการแต่งงานหรอก”
เซี่ยอวี่พูดเสริมว่า “ฉันรู้สึกเสมอว่าหลังจากแต่งงานแล้ว ความรับผิดชอบที่ฉันต้องแบกรับมันมากเกินไป ฉันคงทนไม่ไหวแน่ คงจะดีกว่าถ้าฉันอยู่คนเดียว”
ถึงอย่างนั้นคำพูดของหลินเซี่ยก็ทำให้สองพี่น้องฉุกคิดขึ้นมาได้
แน่นอนว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาไม่คิดอย่างนั้น
แม่ของพวกเขาเอาแต่ทอดถอนใจ พร่ำบอกว่าถ้าพวกเขาปล่อยให้อายุล่วงเลยโดยที่ไม่รีบแต่งงาน พวกเขาจะถือเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อครอบครัว และต่อตัวพวกเขาเอง
ถ้าหนุ่มโสดสาวโสดทุกคนคิดแบบเดียวกับพวกเขา สังคมจะพัฒนาได้อย่างไร?
การสะสมเงินไว้จะมีประโยชน์อะไรในวัยชรา?
ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ พวกเขามักจะรับฟังแบบเข้าหูซ้ายแล้วปล่อยให้ผ่านทะลุหูขวาอยู่เสมอ แต่พอหลินเซี่ยพูดแบบนี้ อารมณ์ของพวกเขาก็เริ่มซับซ้อนเมื่อไตร่ตรองตาม
ถ้าพี่ใหญ่ยังอยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจอันหนักหน่วงเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่เอื้อต่อการฟื้นตัวทางร่างกาย
พอออกมาจากร้านตัดผม เซี่ยอวี่เหลือบมองเซี่ยไห่ “นายคิดว่าถ้าเราสองคนมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ความกดดันทางจิตใจของพี่ใหญ่จะลดลงไหม? แล้วจะทำให้เขาฟื้นตัวเร็วขึ้นหรือเปล่า?”
“พี่สาว เธอหมายความว่าไง?” เซี่ยไห่ก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ มองเซี่ยอวี่ด้วยความหวาดกลัว “คนอย่างเธอถ้าอยากจะหาแฟนสักคนไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ผู้หญิงที่ไหนจะมาสนใจฉัน”
ด้วยวัยที่ใกล้เหยียบกลางคนของเขา การหาคู่เป็นเรื่องง่ายเสียเมื่อไหร่?
อย่างน้อยก็ช่องว่างระหว่างวัย เขาเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว ผู้หญิงวัยเดียวกันกับเขาที่ยังไม่ได้แต่งงานก็มีจำนวนน้อยมาก
เซี่ยอวี่มองไปที่เซี่ยไห่พร้อมกับกลอกตาใส่ “ฉันก็ไม่ได้อยากจะหาแฟนหรอกนะ แต่เราจะมีแนวคิดที่เห็นแก่ตัวเกินไปไม่ได้ แม่เราแก่ตัวลงทุกวัน พี่ใหญ่ก็ยังมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้อีก เราต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก อย่าเห็นแก่ความอิสระของตัวเองไปหน่อยเลย”
เมื่อเซี่ยไห่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลง แต่ยังพูดอย่างเศร้าโศกว่า “แต่ของแบบนี้ใช่ว่าอยากมีแล้วจะมีกันง่าย ๆ”
“งั้นเราต้องลองหาแฟนกำมะลอมาหลอกให้พวกเขาสบายใจก่อน ดูว่าจะเรื่องนี้ช่วยให้กระบวนการรักษาของพี่ใหญ่ฟื้นตัวเร็วขึ้นไหม” หลังจากที่เซี่ยอวี่พูดจบ หล่อนก็หันหลังกลับไปอีกทางด้วยท่วงท่าสง่างาม
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยอวี่ เซี่ยไห่ก็นิ่งอึ้งเป็นเวลาหลายวินาที พอเห็นออร่านางพญาของเซี่ยอวี่ที่แผ่ออกมาจากรูปร่างสูงโปร่งระหง เขาก็เกิดรู้แจ้งขึ้นมาทันใด จนต้องยกนิ้วโป้งให้กับแผ่นหลังของเซี่ยอวี่ “เยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ สมแล้วที่เธอเป็นราชินีแห่งภาพยนตร์ของตระกูลเรา”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณพ่อเริ่มมีหวังว่าจะจำอดีตได้แล้วหรือเปล่านะ
หาแฟนหลอกๆ มาตบตาแม่กับพี่ชายนี่ ระวังแฟนหลอกๆ นั่นจะกลายเป็นตัวจริงแล้วกัน
ไหหม่า(海馬)