ตอนที่ 175 วิธีสอนแบบย้อนกลับของฉางโซ่ว (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 175 วิธีสอนแบบย้อนกลับของฉางโซ่ว (1)
หลี่ฉางโซ่วรู้สึกรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ…

เขาได้รับบัญชาจากจอมปราชญ์เทพหลังจากกราบไหว้แผนภาพไท่จี๋ จากนั้นก็ถูกส่งเข้ามาในภาพแผนที่ด้วยคำว่า ‘ไป’ ในขณะนั้นเขาได้รับคำสั่งที่ถูกต้อง…

มันไม่ใช่บัญชาของจอมปราชญ์เทพ!

ในไท่ชิงเต๋าหาน[1]ของบรรพชนไท่ชิงกล่าวไว้ว่า “ไม่คิด ไม่เคลื่อนไหว ไม่มีดีชั่ว ไม่กลับไปมา”

ด้วยเพียงมุมมองนี้อย่างเดียวเท่านั้น หลี่ฉางโซ่วก็สงสัยอย่างหมดใจว่า ยามนี้เขากำลังถูกปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ควบคุม!

ที่สำคัญที่สุด… หลี่ฉางโซ่วพลันมองไปที่หินสัมผัสชั้นยอดที่ผูกติดไว้ที่ข้อมือของเขา

ตั้งแต่ยามที่เขาเข้ามาในสถานที่นี้ หินก็สั่นไหวแล้ว

มีสัมผัสเซียนรับรู้อันทรงพลังที่ถูกอำพรางเอาไว้ กำลังคอยเฝ้าดูเขาอยู่

ซึ่งแตกต่างจากสัมผัสเซียนรับรู้จากในภาพภูเขาแม่น้ำ เขาสัมผัสได้เป็นครั้งคราวว่า สัมผัสเซียนรับรู้นั้นแตกต่างไป

สัมผัสเซียนรับรู้สายนั้นพุ่งมาที่เขาโดยตรง…

น่าเสียดายที่แม้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะแอบชี้แนะเขาลับหลัง เขาก็ไม่อาจละเลยคำสั่งของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ และยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่อาจตรวจสอบเพื่อยืนยันเรื่องนี้ได้

ในเมื่อปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ยังเป็นผู้สนับสนุนของเขา ดังนั้นเขาจึงคิดเสียว่าทำงานเพื่อเป็นเสมือนค่าคุ้มครองที่เขาต้องจ่ายให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่…

อันที่จริง หลี่ฉางโซ่วยังเดาได้เช่นกันว่า มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังสร้างปัญหา นั่นเป็นเพราะเพิ่งมีพระราชโองการ

จงเผยพลังสร้างชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน?

เหตุใดสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินต้องทำเช่นนั้น?

ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุบรรพชนไท่ชิงและปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ไม่ต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์ ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ในโลกบรรพกาล ล้วนรู้ถึงความลึกลับของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เพียงข้อเท็จจริงเหล่านั้น ย่อมเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์พลังและชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน

หลี่ฉางโซ่วยังคงซ่อนตัวอยู่ในน้ำขณะครุ่นคิด…

ห่างไปไม่ไกลนัก สงหลิงลี่กำลังวิ่งไปพร้อมด้วยค้อนอมตะที่อยู่บนไหล่และซากสัตว์ปีศาจสองตัวบนหลังของนาง นางวิ่งเร็วจนทำให้เกิดรอยฝุ่นฟุ้งโขมงไปตลอดทาง

หลี่ฉางโซ่วสังเกตดูนางขณะที่เขาอยู่ในน้ำอยู่ครู่หนึ่ง และเกิดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ถ้อยคำที่ว่า ‘จงเผยพลังสร้างชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน’ สามารถทำให้กลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมาได้ ขอเพียงแค่ให้สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเผยความน่าเกรงขามและสติปัญญาให้เปล่งประกายออกมาให้มากที่สุดในระหว่างการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าครั้งนี้ นั่นก็เพียงพอแล้ว

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเองแต่อย่างใด

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็กวาดพลังสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปค้นหา… ศิษย์น้องหญิงตัวอันตรายซึ่งเขาเคยค้นพบมาแล้วก่อนหน้านี้และหลีกเลี่ยงไปหลายครั้ง

เครื่องมือเวทเพียงชิ้นเดียว ย่อมไม่เพียงพอกับสิ่งที่เขาต้องกระทำต่อไป

ในชั่วพริบตานั้น หลี่ฉางโซ่วก็พบโหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังต่อสู้กับสัตว์ปีศาจที่อยู่ห่างออกไปหกร้อยลี้

ขณะนั้น ใกล้ๆ กับโหย่วฉินเสวียนหย่ามีศิษย์ชายสองสามคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินกำลังร่วมมือกับนางเพื่อต่อสู้กับสัตว์ปีศาจทั้งสอง …

แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์เหล่านั้นไม่ได้มาจากสำนักเซียน

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วพลันเปล่งประกาย วางยันต์วิเศษเคลื่อนที่และยันต์ตัวเบาที่เขาเพิ่งวาดขึ้นใหม่บนร่างของสงหลิงลี่เพื่อช่วยให้นางเดินทางได้คล่องตัวยิ่งขึ้น

จากนั้นเขาก็ใช้เวทหลบหนีเพื่อรีบไปหาโหย่วฉินเสวียนหย่า

เรื่องโดดเด่นได้หน้า ควรให้ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพออกหน้าถึงจะดี

ไม่นานหลังจากนั้น…

“ศิษย์น้องโหย่วฉิน?”

ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!

ในขณะที่โหย่วฉินเสวียนหย่ากำลังใช้กระบี่ของนางต่อสู้กับปีศาจ ทันใดนั้นนางก็ หันไปมองในทิศทางของเสียงนั้นทันที

แต่… นางเห็นศิษย์พี่ผู้ที่นางห่วงอยู่ในใจ กำลังยืนอยู่บนยอดพฤกษาใหญ่ที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจั้ง ในยามนั้น เส้นผมยาวและมุมเสื้อคลุมเต๋าของเขาปลิวไสวไปตามสายลมขณะที่เขากำลังยิ้มให้นางอย่างสงบ

บัดนั้น หัวใจของโหย่วฉินเสวียนหย่าก็เปี่ยมล้นไปด้วยความเบิกบานขณะที่ใบหน้างดงามชื้นเหงื่อเล็กน้อยของนางเผยร่องรอยแห่งความสุขและความยับยั้งชั่งใจ แต่นางก็ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ได้อยู่ดี

บัดนี้ บุปผาในใจของนางเบ่งบานด้วยความรู้สึกประหนึ่งมีเพียงเขาและนางอยู่กันสองคนที่นี่

ทันใดนั้น…

“ศิษย์น้องโหย่วฉิน รีบมาช่วยเถิด! พวกเราต้านไม่ไหวอีกแล้ว!”

“สหายเต๋าที่อยู่ตรงนั้น โปรดมาช่วยด้วยเถิด สัตว์ปีศาจสองตัวนี้ทรงพลังยิ่ง!”

เมื่อปราศจากกระบี่บินของโหย่วฉินเสวียนหย่าคอยช่วยเหลือ พวกศิษย์ชายก็ล่าถอยทันที พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังออกมา

ทันใดนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นกระบี่บินสิบหกเล่มที่ลุกโชนด้วยเพลิงแท้เสวียนชิงก็ส่งเสียงดังหวีดหวิวขณะบินผ่านอากาศเพื่อไปปราบสัตว์ปีศาจทั้งสองอีกครั้ง ในยามนั้น ริมฝีปากของหลี่ฉางโซ่วขยับเล็กน้อยขณะกำลังส่งข้อความเสียงไปให้สงหลิงลี่อย่างเป็นธรรมชาติ

ในขณะนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่า สตรีน้อยร่างใหญ่ราวหอคอยเหล็ก กำลังยืนอยู่ด้านหลังของสัตว์ปีศาจทั้งสอง จากนั้นนางก็ชูค้อนอมตะด้วยมือซ้ายและถือง่ามยาวเอาไว้ในมือขวาก่อนจะพุ่งทะยานออกมาจากป่าและร้องตะโกนว่า “ข้าคือ ศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน นาม สงหลิงลี่ ข้าพิฆาตปีศาจชำนาญยิ่ง!”

ภายนอกแผนที่สมบัติ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูซึ่งนั่งอยู่บนก้อนเมฆ จู่ๆ ก็แทบจะหัวเราะลั่นออกมาอย่างถูกใจยิ่งนักขณะชื่นชมตัวเองว่าทำผลงานได้ดีในทันทีที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของสงหลิงลี่

แค่กๆ ข้าต้องเผยท่าทีสง่างาม เย็นชา และมีท่าทางของปรมาจารย์ผู้เก่งกาจ…

ในภาพนั้น สงหลิงลี่ที่ตะโกนวลีชวนเชื่อของนางเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นพร้อมด้วยค้อนอมตะในมือซ้ายของนางก่อนจะทะยานเข้าใส่ปานสายฟ้าฟาดขณะที่พุ่งง่ามยาวในมือขวาแล้วแทงทะลุเข้าที่ด้านหลังของเสือดาวปีศาจสามเศียรอย่างรุนแรง!

ในพริบตาเดียวนั้นแม่มดน้อยก็ร้องตะโกนออกมาสองสามคำแล้วกระโดดขึ้นไปในขณะที่สัตว์ปีศาจสองตัวที่เทียบได้กับระดับเซียนหยวนเผ่าพันธุ์มนุษย์ตกตายลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว…

ศิษย์ชายของปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงสองสามคนล้วนมองไปที่สงหลิงลี่ซึ่งอาบโชกไปด้วยเลือดและรีบโค้งคำนับเพื่อแสดงขอบคุณในทันที

ในเวลานั้น สงหลิงลี่ไม่มองพวกเขาด้วยซ้ำ ขณะนั้นง่ามดินในมือของนางได้กลายเป็นทรายและกระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ถือค้อนอมตะแล้ววิ่งกลับไปหาเทพแห่งท้องทะเลพร้อมด้วยรอยยิ้มเบิกบานอย่างมีความสุข

“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว!”

โหย่วฉินเสวียนหย่าร่ายเวทควบคุมกระบี่บินวนไปรอบๆ กายนางอย่างต่อเนื่องไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและรีบไปทักทายหลี่ฉางโซ่วด้วยความยินดีอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเช่นนี้ บรรดาศิษย์ชายก็ขมวดคิ้ว

หลี่ฉางโซ่วจะมองไม่เห็นความคิดของพวกเขาได้อย่างไร?

แต่ยามนี้ เขาต้องการให้โหย่วฉินเสวียนหย่าช่วยเหลือจริงๆ ดังนั้นจึงประสานมือและโค้งคารวะให้พลางกล่าวว่า “ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยดูแลน้องสาวของข้า”

ศิษย์ชายเหล่านั้นก็รู้สถานะของพวกเขาเป็นอย่างดี จึงกล่าวคำอำลาแล้วจากไป

โหย่วฉินเสวียนหย่ากล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าเพิ่งช่วยพวกเขาเอาไว้ ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณพวกเขาเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงันไปชั่วขณะ…

“ศิษย์น้องโหย่วฉิน ทุกสิ่งในโลกรอบตัวเราล้วนเป็นบทเรียนให้ความรู้เราทั้งสิ้น การจะเข้าสังคมกับผู้อื่นได้นั้น ก็ต้องใช้ความรู้เช่นกัน ต่อให้อยู่ในวิถีเซียนก็อย่าได้ละเลยวิธีการเข้ากับผู้อื่น เพราะมนุษย์และสิ่งมีชีวิตล้วนจับมือเคียงข้างไปด้วยกันบนวิถีเซียน”

ทันใดนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าที่อยู่ในภาพวาด และปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไร้นามผู้หนึ่งที่อยู่นอกภาพวาด ต่างก็พยักหน้าช้าๆ พร้อมกัน ในยามนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าคิดในใจว่า ทุกถ้อยคำของศิษย์พี่ล้วนน่าจดจำ และควรจำใส่ใจเอาไว้

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูผู้เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ไม่กี่คนของสำนักบำเพ็ญเต๋า และแน่นอนว่า ความคิดของเขาย่อมแตกต่างไปจากโหย่วฉินเสวียนหย่า

เสี่ยวฉางโซ่วกล่าวได้ดีทีเดียว เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันสมเหตุผลยิ่ง

ภายในภาพนั้น หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ศิษย์น้องหญิง โปรดตามข้ามาก่อน ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะพูดคุย” “เจ้าค่ะ” โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้าเบาๆ แล้วโค้งคำนับให้สงหลิงลี่ที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวเสียงดังว่า “ศิษย์ขอน้อมพบอาจารย์อาเจ้าค่ะ”

สงหลิงลี่กะพริบตาปริบๆ ขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน

นางเป็นอาจารย์อาได้อย่างไรกัน…

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนรอบๆ ท่านเทพทะเลนั้นยุ่งเหยิงยิ่ง

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็พาโหย่วฉินเสวียนหย่าและสงหลิงลี่ไปที่ป่าไผ่แล้วหยิบเบาะรองนั่งสมาธิออกมาสามใบก่อนที่ทั้งสามจะนั่งลง

“ศิษย์น้อง” หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองหินสัมผัสบนข้อมือแล้วกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดอยากเผยพลังสร้างชื่อเสียงของสำนักตู้เซียนของเราในภาพวาดที่พวกเราเข้ามาในวันนี้”

โหย่วฉินเสวียนหย่าพยักหน้ารับฉับพลัน “ขอเพียงศิษย์พี่ฉางโซ่วชี้แนะให้ข้าเจ้าค่ะ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีขั้นแปด แต่เจ้าไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาพนี้ ก่อนหน้านี้ ข้าเคยได้สัมผัสกลิ่นอายลมปราณของเซียนเสิ่น เวลานี้เมื่อมีหลิงลี่อยู่ใกล้ๆ หากเจ้าประสานพลังกับหลิงลี่ ผลที่ได้นั้นย่อมไม่น้อยไปกว่าของระดับปรมาจารย์”

โหย่วฉินเสวียนหย่าขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฉางโซ่ว พวกเราต้องทำอย่างไรเจ้าคะ?”

………………………………………………………………….

[1] พระสูตรที่บรรพชนไท่ชิงเขียนเอาไว้ ซึ่งมีเต๋าเต๋อจิ่งอยู่