ตอนที่ 176 วิธีสอนแบบย้อนกลับของฉางโซ่ว (2)
“สร้างชื่อเสียง”
“ชื่อเสียง? ด้วยเหตุใดกัน?”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เหตุใดสำนักตู้เซียนของเราถึงอยู่ในอันดับสุดท้ายในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน?”
เขากล่าวต่อว่า “นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงของพวกเราในดินแดนเทวะมัชฌิมายังไม่เป็นที่รู้จักเพียงพอ ดังนั้นอัจฉริยะที่ดูดีซึ่งอยากขอฝากตัวเป็นศิษย์และแสวงหาเต๋าจึงไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อเสียงของสำนักตู้เซียนของเรา วิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงความแข็งแกร่งของสำนักตู้เซียนและแม้แต่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็คือการเพิ่มชื่อเสียงของเราและสร้างภาพลักษณ์ของสำนักตู้เซียนเพื่อให้เมล็ดพันธุ์เซียนยอมรับและมาฝากตัวเป็นศิษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะได้เป็นหนึ่งในพันคนที่เหล่าผู้อาวุโสเลือกไปดูแล ด้วยวิธีนี้ เราย่อมสามารถเห็นผลได้ในอีกไม่กี่พันปี ไม่ใช่สิหลายหมื่นปี”
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ต้องจำกัดระบบคู่บำเพ็ญเต๋าให้เป็นไปอย่างเหมาะสม” โหย่วฉินเสวียนหย่าคิดตามก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ที่ด้านนอกภาพ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดลึกซึ้งเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเช่นกัน แล้วไม่นาน ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างชื่นชมยินดี
หลี่ฉางโซ่วพูดได้สมเหตุสมผลยิ่ง นั่นเป็นสิ่งที่เขาละเลยไปก่อนหน้านี้เช่นกัน…
ในภาพวาด ขณะนี้หลี่ฉางโซ่วโน้มน้าวโหย่วฉินเสวียนหย่าได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็เริ่มเผย ‘แผนการสร้างดาว’ ของเขาออกมา
“ประการแรก การจะมีชื่อเสียงได้อย่างรวดเร็วที่สุดคือ การจัดตั้งกลุ่มผสมผสานกันโดยแต่ละคนในกลุ่มสามารถชดเชยข้อบกพร่องพร้อมกับส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วยการใช้ข้อดีของคนอื่นๆ ในกลุ่มเพื่อดึงดูดความสนใจได้ ในขณะนี้ ข้อดีของหลิงลี่ คือ เข่นฆ่าสัตว์ปีศาจได้อย่างรวดเร็ว ส่วนศิษย์น้องโหย่วฉินก็ดูงดงาม…และมีความสามารถเก่งกาจ! พวกเจ้าสองคนรวมตัวกันเป็นคู่หูผู้กวาดล้างสัตว์ปีศาจในภาพนี้ นี่ย่อมเป็นก้าวแรกสู่การมีชื่อเสียง!”
ทันใดนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที ส่วนสงหลิงลี่ที่อยู่ข้างๆ นางก็พยักหน้าหงึกหงักหนักแน่นอย่างท่วมท้น
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว ไฉนไม่เป็นพวกเราสามคนตั้งกลุ่มกันเล่าเจ้าคะ?”
หลี่ฉางโซ่วคิดแล้วกล่าวว่า แล้วเจ้าเคยเห็นมีบุรุษในกลุ่มสตรีบ้างหรือไม่?
“ข้าต้องปกป้องพวกเจ้าทุกคน” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าต้องวางเส้นทางที่ดีที่สุดในการกำจัดปีศาจ เตรียมการต่างๆ พร้อมกับโอสถและยันต์ต่างๆ ให้พวกเจ้า”
ทันใดนั้น ดวงตาของโหย่วฉินเสวียนหย่าพลันฉายแววไม่พอใจออกมาขณะกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ ท่านเป็นเช่นนี้เสมอ ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเราได้ผลงานไปเพียงลำพังเท่านั้น”
หลี่ฉางโซ่วยืนขึ้นและยิ้มพลางกล่าวว่า “สำหรับข้าแล้ว ชื่อเสียงล้วนเป็นดั่งเมฆหมอก ข้าสนใจเพียงวิถีแห่งการมีอายุขัยยืนยาวเท่านั้น มาเถิด เวลาเหลือน้อยแล้ว เรามาลองร่วมงานกัน ข้าจะใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย เพื่ออยู่ใต้ดิน คอยสำรวจเส้นทางให้พวกเจ้า ส่วนพวกเจ้าสองคนต้องทำงานร่วมกันเพื่อชดเชยข้อบกพร่องของกันและกันและเผยจุดแข็งของพวกเจ้าให้เต็มที่ ศิษย์น้องโหย่วฉิน จงใช้ผงพิษเหล่านี้ปรับแต่งกระบี่บินและใช้มันเป็นไพ่ตายของเจ้า หลิงลี่ สิ่งของเหล่านี้คือยันต์ตัวเบาและยันต์วิเศษเคลื่อนที่ ช่วยให้เจ้าวิ่งไปได้รวดเร็วกว่าเดิมอีกหลายเท่า จงทำความคุ้นเคยกับพวกมันก่อนออกเดินทาง”
โหย่วฉินเสวียนหย่าและสงหลิงลี่พลันลุกขึ้นยืนและรับคำทันทีในขณะที่หลี่ฉางโซ่วโบกแขนเสื้อแล้วรีบ… ดำดิ่งลงไปในพื้นดิน
ไม่นานหลังจากนั้น คู่หูคู่นี้ก็ปรากฏตัวอย่างโดดเด่นอยู่ในภาพ! สงหลิงลี่พุ่งกายไปอย่างรวดเร็วบนพื้นดิน ส่วนโหย่วฉินเสวียนหย่าก็เหยียบกระบี่บินและบินไปในอากาศ นางทำตามคำแนะนำของหลี่ฉางโซ่วและมาถึงสถานที่แรกที่มีสัตว์ปีศาจและผู้บำเพ็ญต่อสู้กัน สงหลิงลี่กระโดดขึ้นพร้อมกับร้องตะโกนดังก้องไปในอากาศ “เหล่าศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินมาช่วยแล้ว!”
ทันใดนั้น ค้อนอมตะกระแทกลงไปและกระบี่บินกวัดแกว่งไปมา และก่อนที่สัตว์ปีศาจจะทันได้โต้ตอบใดๆ มันก็ถูกค้อนของสงหลิงลี่ฟาดลงไปบนพื้นแล้ว วิญญาณปีศาจของมันถูกเจาะทะลุผ่านกระบี่อมตะกิเลนไฟ หลังจากทำทุกอย่างแล้ว สงหลิงลี่ก็ร้องตะโกนว่า “การช่วยเหลือผู้คนคือการปกป้องวิถีธรรมสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเก่งกาจ พิฆาตปีศาจชำนาญยิ่ง!”
จากนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็ค่อยๆ ร่อนกายลงมาและยืนบนแขนที่ยกขึ้นของสงหลิงลี่ เส้นผมสีดำของนางพลิ้วไสวไปในสายลมขณะที่กระบี่อมตะล้อมรอบกายนาง นางดูน่าทึ่งตะลึงลานแม้ไม่เอ่ยวาจาใด บัดนี้ นางเข้าสู่สนามต่อสู้ เข่นฆ่าปีศาจ และตะโกนวลีชวนเชื่อพร้อมกับวางท่างดงามพลางกล่าวเย็นชาว่า “ไปกันเถิด”
จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยัง ‘ด่าน’ ถัดไปด้วยคนหนึ่งบินและคนหนึ่งวิ่งไป มีศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สับสนงุนงงด้วยไม่รู้ว่าพวกเขาเพิ่งพบสิ่งใดมา… และด้วยวิธีนี้ ภายใต้การชี้แนะของหลี่ฉางโซ่ว พวกนางสองคนก็พุ่งผ่านไปทั่วและปรากฏตัวขึ้นทุกที่ เมื่อสังหารสัตว์ปีศาจแล้ว พวกนางก็เพียงแค่เดินผ่านและวางท่างดงามโดยไม่ได้ฉวยสมบัติใดๆ ไปเลย
เพียงสองหรือสามชั่วยามหลังจากนั้น ทั้งสองก็สังหารสัตว์ปีศาจไปหลายร้อยตัว และสร้างความประทับใจให้เหล่าผู้บำเพ็ญหลายร้อยคนอย่างลึกซึ้ง
ภายนอกภาพวาด บัดนี้ มีการสนทนาถึงเหล่าศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเพิ่มมากขึ้น
ในบรรดาพวกนางทั้งสองคน ผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญโด่งดังที่สุดนั้น มิใช่สงหลิงลี่ ผู้เป็น ‘ศัตรูปีศาจ’ แต่เป็น ‘เทพธิดาผู้สูงส่งเย็นชา’ โหย่วฉินเสวียนหย่าผู้ไม่เอ่ยวาจาใดๆ
เช่นนี้ ย่อมเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่า ในโลกบรรพกาลนั้น ใบหน้างดงามนั้น หาใช่สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวไม่…
แต่รูปร่างงดงามย่อมสำคัญด้วยเช่นกัน
“ท่านอาจารย์ให้ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเรื่องทั้งหมดนี้ผ่านฉางโซ่วใช่หรือไม่?” บนเมฆสูงในท้องฟ้า ในขณะนี้ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
คำพูดที่หลี่ฉางโซ่วกล่าวกับโหย่วฉินเสวียนหย่ายังดังก้องอยู่ในใจของเขา ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่รู้แจ้งทันที ไม่ทำยังดีกว่าฝืนทำ ไม่ต่อสู้ยังดีกว่าดิ้นรน ในยามสงบ ข้าจะพบธรรมชาติ และในที่สุด ทุกวิถีธรรมทั้งหลายย่อมให้ผลดีอย่างอัศจรรย์
ท่านอาจารย์อยากให้ศิษย์ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่? ’
เสวียนตูถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย บัดนี้ ขอบเขตเต๋าของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกเล็กน้อย
ย่อมเป็นการดีกว่ามากที่จะเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ และรอให้เสี่ยวฉางโซ่วเข้าไปในวังดุสิตเองแทนที่จะบีบบังคับ…
ในขณะนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูเอ่ยวาจาใดไม่ออก เขาได้เพียงแต่มองหลี่ฉางโซ่วแล้วถอนหายใจ
เมื่อได้สังเกตการกระทำและถ้อยคำของหลี่ฉางโซ่วแล้ว ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ยอมรับหลี่ฉางโซ่วในฐานะศิษย์น้องในอนาคตของเขาแล้ว แต่เขาไม่อาจบังคับหลี่ฉางโซ่วให้เข้าไปในวังดุสิตได้…
ช่างเถิด ปล่อยเขาไป ท่านอาจารย์ย่อมจัดการทุกอย่างเอง
ทันใดนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวคำอำลากับกวงเฉิงจื่อและนักพรตเต๋าตั๋วเป่าก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปเงียบๆ
แต่ก่อนจะจากไป ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ทิ้งร่องรอยของอักขระเต๋าเอาไว้เพื่อส่งต่อวิธีการ ‘รู้แจ้งในใจ’ ที่บรรพชนไท่ชิง เหล่าจื้อสอนเขาให้กับหลี่ฉางโซ่ว
หลี่ฉางโซ่วซึ่งใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายอยู่ใต้ดินในภาพ พลันถอนหายใจในใจและสัมผัสอักขระเต๋านั้นได้ในทันที
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รีบกระโดดขึ้นจากพื้นดินและโค้งคำนับขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะยืนตัวตรง บัดนี้ถ้อยคำของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูค่อยๆ แผ่ซ่านกระจายไปในใจของเขาแล้ว
“ฉางโซ่ว เป็นข้าที่ให้เจ้ามางานประชุมยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เดิมทีข้าประสงค์จะให้เจ้ามีชื่อเสียงเร็วขึ้นเพื่อให้เจ้าเข้าไปในวังดุสิตได้โดยเร็วที่สุดและช่วยข้าจัดการงานในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน แต่วันนี้ กลับเป็นข้าที่ได้เห็นและเรียนรู้ทั้งถ้อยคำ การกระทำมากมายหลายอย่างจากเจ้าจนรู้สึกละอายใจยิ่งนัก ข้าจึงไม่ปรารถนาจะบังคับเจ้าอีกต่อไป ยามนี้ ข้ากลับมาบำเพ็ญเพียรต่อไปแล้ว ส่วนเจ้า ก็จงบำเพ็ญเพียรอยู่ในโลกบรรพกาลต่อไป ไม่จำเป็นต้องฝืนใดๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปธรรมชาติที่ควรเป็น จงทำตามประสงค์ของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะจำคำพูดของเจ้าในวันนี้ไว้ และมุ่งเน้นแสวงหาอายุขัยยืนยาวอย่างเต็มที่ โดยไม่ยึดติดกับชื่อเสียงจอมปลอม บัดนี้เมื่อมีเจ้าอยู่ในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ข้าย่อมวางใจได้แล้ว”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงัน
ในขณะนั้น สายลมเหนือพัดกระโชกแรงผ่านด้านหลังของเขาและพาเอาใบไม้เหลืองสองหรือสามใบไป…
หลี่ฉางโซ่วกระตุกริมฝีปากอย่างรุนแรงในขณะที่ครุ่นคิดถึงถ้อยคำที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งเอาไว้อย่างถี่ถ้วน ทันใดนั้น ดูเหมือนว่า เขาจะหมดกำลัง สิ้นเรี่ยวแรงขณะคุกเข่าลงไป…
ช่วงเวลานั้น ดูเหมือนจะมีเพลงเศร้าของเอ้อหู[1]กำลังบรรเลงอยู่ข้างหูของเขา[2] …
มันเรื่องบ้าอันใดกันนี่!
ก่อนหน้านี้เขาได้ทำอันใดลงไป!?!
มันเป็นโอกาส!
โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า!
หากข้ารู้ว่าจะสามารถเข้าไปบำเพ็ญเพียรในวังดุสิตได้หลังจากสร้างชื่อให้ตัวเองในการประชุมสามสำนักบำเพ็ญเต๋าแล้ว ไยข้าต้องพลิกเปลี่ยนหลายอย่างให้วุ่นวายวกวนมากมายขนาดนี้!
หากเพียงเผยระดับฐานพลังปราณที่แท้จริงของข้าและเหยียบย่ำบรรดาศิษย์ของทั้งสามสำนักบำเพ็ญ เช่นนั้นแล้ว มันจะไม่จบเรื่องลงเลยหรือไรเล่า!?!
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ไฉนท่านถึงต้องอ้อมค้อมมากมายถึงเพียงนี้? ถามข้าตรงๆ เลยสิ หากถามข้าตรงๆ ข้าย่อมเต็มใจพยักหน้ารับนับหมื่นๆ ครั้งอย่างแน่นอน!
หากเขาอยากให้สัญญานี้มีกำหนดเส้นตาย ข้าจะพูดอย่างแน่นอนว่า “หลายร้อยล้านปี!”
ข้าทำอีกครั้งได้หรือไม่ ข้าย่อมจะ… ก้าวไปในวิถีทางที่ธรรมดาที่สุดเพื่อสร้างชื่อเสียงอย่างแน่นอน!
หรือว่าข้าไร้ชะตาลิขิต?
หลี่ฉางโซ่วคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หัวใจของเขามืดมนขณะถอนหายใจออกมา แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ กลืนไปกับความรู้สึกอับจนหนทาง…
บัดนี้ ดวงตาของเขารื้นไปด้วยน้ำตาเพราะความรักอย่างสุดซึ้งต่อสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินในโลกบรรพกาล…
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว?”
ในขณะนั้น โหย่วฉินเสวียนหย่าและสงหลิงลี่กำลังวิ่งมาจากทางด้านหลัง
เมื่อเห็นหลี่ฉางโซ่วนั่งด้วยท่าทีดูผิดหวังอย่างยิ่งอยู่ที่นั่น โหย่วฉินเสวียนหย่าก็รีบบินลงมาอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้น อักขระเต๋าลึกลับรอบๆ หลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ สลายไป ขณะที่หนึ่งในพวกมันเหล่านั้นก็บังเอิญผ่านร่างของโหย่วฉินเสวียนหย่า
แล้วจู่ๆ โหย่วฉินเสวียนหย่าก็มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงการรู้แจ้งได้ จากนั้นนางก็ก้าวออกไปข้างหน้าและยืนนิ่งตรงจุดนั้นในขณะที่เกิดจิตอริยะฉับพลันซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในการบำเพ็ญเพียรของนาง…
……………………………………………………………….
[1] เอ้อหูหรือซออู้(ซอสองสาย)เป็นเครื่องดนตรีจีนประเภทสีที่มีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง นิยมเล่นในหมู่ชนเผ่าในเขตพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ว่ากันว่าเสียงของมันแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้ด้วยเสียงคล้ายเสียงคน จึงเป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะเหมือน การร้องเพลง ได้รับการขนานนามให้ว่าเป็น“ไวโอลินจีน” เนื่องจากเสียงเศร้าของมัน
[2] เปรียบถึงความโศกเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งของหลี่ฉางโซ่ว