ตอนที่ 177 วิถีของกรงฟาราเดย์สู่ชื่อเสียงในโลกบรรพกาล (1)
โอกาส…
ไม่ถูกต้อง…
หลี่ฉางโซ่วที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเอามือไพล่ไว้ด้านหลังก่อนจะจ้องมองไปที่ต้นหญ้าเล็กๆ บนพื้น และคิดคำนวณในใจ แม้ขณะนี้จะท้อแท้ ผิดหวัง และปวดใจ แต่เขายังคงไม่ลืมที่จะเฝ้าสังเกตสิ่งรอบตัวด้วยสัมผัสเซียนรับรู้ของเขา ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทีเดียวที่เขาพลาดโอกาสนี้ไป ทุกสิ่งย่อมมีสองด้านทั้งดีและร้ายเสมอ ในด้านหนึ่งนั้น ยามนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีนักที่เขาจะเข้าไปในวังดุสิต หากเขาทำตามความปรารถนาของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก่อน เขาคงจะละเมิดคำสอนของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และอาจสูญเสียความโปรดปรานของท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์… หากเป็นเช่นนี้ วิถีการพัฒนาในอนาคตของเขาอาจจะเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ หรือศิษย์ของท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์ที่อวตารมาเป็นไท่ซ่างเหล่าจวิน และในอนาคต จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินในช่วงข้ามผ่านมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ?
ก่อนที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจะได้รับมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ บรรพชนไท่ชิงเพียงแค่กล่าวว่า เขามีศิษย์เพียงคนเดียวเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูพ้นจากรายนามเทพเจ้า
หากตอนนี้หลี่ฉางโซ่วเข้าไปอยู่ในวังดุสิต บางทีเขาจะต้องข้ามผ่านภัยพิบัติของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า!
“อา…”
ยามนี้ เขาทำได้เพียงแค่ปลอบใจตัวเองเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่ว รู้ดีว่าหากในเวลานี้ เขาเข้าไปในวังดุสิต เขาจะสามารถรับใช้องค์เง็กเซียนได้ก่อนล่วงหน้าและกลายเป็นเทพเจ้าที่ชอบธรรมแห่งศาลสวรรค์ เมื่อเข้าไปในวังดุสิตแล้ว ความปลอดภัยในชีวิตของเขาย่อมจะเพิ่มขึ้นมาก…
แต่เมื่อเปลี่ยนมุมมองในการพิจารณาแล้ว เขาก็บรรเทาความผิดหวังลงได้ เฉกเช่นเดียวกับชีวิตที่แล้วของเขาที่เมื่อยังเรียนอยู่ เขาชอบรถสปอร์ต แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อมัน ซึ่งในอีกด้านหนึ่งนั้น เท่ากับเขาประหยัดเงินไปได้หลายล้านหยวน…
แม้จะไม่เข้าใจโอกาสในครั้งนี้ แต่เขาก็สรุปได้อย่างถี่ถ้วน กล่าวได้ว่าจวบจนถึงวันนี้ เขาได้รับประสบการณ์ล้ำค่าจากความล้มเหลว เซียนต้าหลัวจินได้กล่าวไว้ว่าความล้มเหลวคือ บ่อเกิดแห่งความสำเร็จ แม้ความสำเร็จของเขามักจะถูกบีบอัดจนกลายเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย… แต่สิ่งใดๆ ที่มากเกินไปย่อมจะกลายเป็นเลวร้ายได้ และแน่นอนว่า หากปรารถนาความมั่นคง ย่อมต้องมีผลเสียจากมันเช่นกัน
เมื่อพิเคราะห์จากเรื่องราวที่หลี่ฉางโซ่วเคยอ่านมาในชีวิตก่อนหน้านี้ หากในตอนนั้น จูเก่อข่งหมิง[1]ไม่ได้ปรารถนาความมั่นคง จนยึดติดความสมบูรณ์มากเกินไป แล้วไม่ยอมรับแผนการที่เว่ยเหยียน[2]เสนอคือ ‘แผนหุบเขาจื่ออู’ จนเป็นเหตุให้ต้องปราชัยในที่สุด บางทีผลสรุปในตอนจบของ ‘สามก๊ก’ อาจจะเปลี่ยนไปจากที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้
ดังนั้น… ข้าควรจะคลายความเข้มงวดในบางด้านลงในขณะที่ยังคงรากฐานมั่นคงเอาไว้หรือไม่?
หลี่ฉางโซ่วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและปัดความคิดนั้นออกไป ยามนี้เขามีความสัมพันธ์กับบรรพชนไท่ชิงและองค์เง๊กเซียน ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งสองด้านนี้ยังบังเอิญซ้อนทับกันอยู่ชั่วคราว หากอาศัยความสัมพันธ์นี้เขาย่อมปีนสูงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมากเกินไป
เขาต้องจัดการเรื่องการนำเผ่ามังกรเข้าสู่ศาลสวรรค์ เขาต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เซียนจินด้วยตัวเขาเอง ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์จะเข้าสู่ศาลสวรรค์และกลายเป็นนักพรตเต๋าและช่วยให้เขาได้กลายเป็นเทพผู้ชอบธรรมเพื่อจัดการรับมือกับมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพที่กำลังจะมาถึง
นี่คือสามเรื่องสำคัญที่เขาต้องทำให้ดีที่สุด!
ข้าจะโชคดีหากได้รับโอกาสนี้ แต่ก็ยังตายได้เช่นกัน ในเมื่อสูญเสียมัน ข้าก็ต้องปล่อยมันไป
ต่อให้ไม่ดีขึ้น แต่อย่างน้อยข้าย่อมไม่ด้อยลงเพราะเรื่องนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะฟื้นคืนพลังขึ้นมาอีกครั้ง และเพียงไม่นานหลังจากนั้น เขาก็มีความคิดกระจ่างใส และอักขระเต๋าก็วนเวียนอยู่ในใจของเขา ทำให้รู้สึกเชื่อมโยงกับโลกได้มากขึ้น…
ช้าก่อน!
มีอันใดผิดไปในการรู้แจ้งล่าสุดของข้า? เหตุใดจึงมักเกิดขึ้นในสถานที่และสถานการณ์เยี่ยงนี้เสมอ ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็รีบระงับหัวใจเต๋าที่แตกซ่านทันทีพร้อมกับซึมซับการรู้แจ้งทุกประเภทมากมายของเขา ซึ่งภายหลังจากนี้ เขาจะกลับไปทะลวงด่านขึ้นอีกระดับต่อไป การระงับการรู้แจ้งนั้น หาใช่การทิ้งมันไปอย่างสิ้นเชิงไม่ แต่จะชะลอการกำเนิดจิตอริยะเท่านั้น และจะสูญเสียผลประโยชน์ไปราวหนึ่งถึงสองส่วนจากสิบส่วน
ยามนี้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่อยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเปิดเผยขอบเขตพลังของเขาหลังจากทะลวงฝ่าด่านพลังไปแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเขาเองเท่านั้น
แต่ขณะที่หลี่ฉางโซ่วระงับการรู้แจ้งของตัวเอง เขาก็ตระหนักว่ามีอักขระเต๋าเลือนรางทว่าลึกซึ้งวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอย่างช้าๆ… ทะลวงขอบเขต?
ข้าคิดว่า ในตอนนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าเพิ่งได้รับการรู้แจ้ง เมื่อพิเคราะห์จากท่าทางของนางแล้ว ดูเหมือนว่านางกำลังจะทะลวงขอบเขตแล้ว!
โหย่วฉินเสวียนหย่า ซึ่งเดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ทันใดนั้น นางก็กำลังค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้าๆ ในขณะนั้น มีเสี้ยวพลังวิญญาณเซียนสายหนึ่งเข้ารายล้อมรอบกายนาง และบงกชหกกลีบก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างของนาง
หกกลีบ… หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่ามัน… ยังน้อยไปสักหน่อย
หากไม่อาจบรรลุถึงเก้ากลีบ แต่อย่างน้อยนางก็ควรมีเจ็ดหรือแปดกลีบเพื่อดำรงรากฐานมั่นคง
ไม่ มันไม่ใช่เพียงแค่การทะลวงขอบเขตแล้ว!
ดูเหมือนว่าจะเป็นการทะลวงขอบเขตพลังขึ้นไปอย่างต่อเนื่องและทะยานสู่การข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียนโดยตรง! หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวกับสงหลิงลี่ว่า “หลิงลี่ รีบไปให้ห่างจากที่นี่มากกว่าร้อยจั้ง แล้วร้องตะโกนไปรอบๆ ว่ามีคนกำลังจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ขึ้นสู่เซียน บอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ เดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ!”
ฉับพลันนั้น สงหลิงลี่ก็วิ่งออกไปพร้อมกับถือค้อนเอาไว้ในมือ ทว่าเมื่อก้าวออกไปทุกๆ สองก้าว นางก็หันกลับมาถามเบาๆ ว่า “พี่ชาย ให้ข้าตะโกนไปในทิศทางเดียวหรือ?”
“หลังจากนี้ ข้าจะวางค่ายกลขนาดใหญ่ที่นี่ เจ้าวิ่งตะโกนไปที่ขอบของค่ายกลสักสองสามรอบและตะโกนต่อไปเรื่อยๆ” “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว!”
สงหลิงลี่วิ่งพร้อมกับถือค้อนออกไปอย่างรวดเร็ว ยามนี้นางเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญ จึงรู้ดีว่าการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นั้น มีความสำคัญต่อผู้ฝึกบำเพ็ญเช่นไร
แม้สงหลิงลี่อาจไม่ฉลาดนัก แต่นางก็ไม่ได้โง่เขลามากเช่นกัน นางรู้ดีว่าเทพแห่งท้องทะเลน่าจะเป็นเซียน ความจริงแล้ว การปรากฏตัวของเทพแห่งท้องทะเลเป็นวิชาเวทบางอย่าง บิดาของนางเคยเอ่ยหลายครั้งก่อนที่นางจะออกจากบ้านมา แต่มารดาของนางกล่าวว่า เทพแห่งท้องทะเลแตกต่างจากผู้ฝึกบำเพ็ญคนอื่น ๆ เทพแห่งท้องทะเลจะปกป้องและคุ้มครองหมู่บ้านของพวกเขาไม่ให้ถูกศัตรูภายนอกรุกราน มารดาของนางยังกล่าวอีกว่าเทพนั้นเป็นเซียน แต่เซียนไม่จำเป็นต้องเป็นเทพ…
สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือ เมื่อบูชาเทพแห่งท้องทะเลแล้ว ชีวิตของทุกคนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่ต้องออกไปล่าสัตว์ในขณะที่มีเนื้อกินและมีเสื้อผ้าให้สวมใส่อย่างไร้ที่สิ้นสุด
บัดนี้ มีสตรีคนใดในหมู่บ้านของพวกเขาที่…ไร้เสื้อขนสัตว์เล่า?
เมื่อเป็นเช่นนี้ สงหลิงลี่ย่อมต้องใช้กำลังแข็งแกร่งของนางปกป้องเทพแห่งท้องทะเลที่ดีที่สุดในใต้หล้า!
ในขณะนั้นสงหลิงลี่เพิ่งวิ่งออกไปได้ห้าจั้งขณะที่ได้ยินเสียงแหวกฝ่าอากาศอยู่ทางด้านหลัง นางจึงรีบหันกลับไปมองในทันที
ทันใดนั้น ศิลาวิญญาณจำนวนมากได้พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของหลี่ฉางโซ่ว และตกลงไปในตำแหน่งที่แตกต่างกันสี่สิบเก้าแห่งท่ามกลางป่าที่นี่พร้อมๆ กัน
ในยามนั้น พลังวิญญาณไหลผ่านระหว่างศิลาวิญญาณ ขณะที่ลำแสงส่องสว่างและปราการแสงของค่ายกลก็เปิดใช้งานทันที โอ้ พี่ชายเทพแห่งท้องทะเลช่างทรงพลังยิ่ง… สงหลิงลี่กะพริบตาปริบๆ ขณะที่ก้มศีรษะลงและหยิบชิ้นส่วนโลหะออกมาจากชุดเกราะของนาง จากนั้นนางก็ขดตัวให้เป็นรูปแตรก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนก้องขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า “อย่าเข้ามา!” ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ มีผู้ฝึกบำเพ็ญจำนวนมากเริ่มสนใจขณะที่ผ่านไปมา ชั่วขณะนั้น พวกเขาก็ขี่ก้อนเมฆและเหยียบกระเรียน แล้วค่อยๆ บินมาเข้าใกล้พวกเขา
แต่นางก็ร้องตะโกนอีกครั้งว่า “มีคนกำลังข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่นี่!” ทันใดนั้น ผู้ฝึกบำเพ็ญพลันหยุดลงกะทันหันก่อนจะหันกลับแล้วบินออกไป จากนั้นก็แผ่พลังปราณสัมผัสรับรู้และสัมผัสเซียนรับรู้ออกไปที่นั่น
ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์มาถึงในลักษณะเช่นนี้จะเป็นเพียงเบาๆ เท่านั้น
กระทั่งโหย่วฉินเสวียนหย่าที่มีหัวใจเต๋าเข้มแข็งไม่ย่อท้อ แต่เมื่อต้องเผชิญกับการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่ได้รับการกล่าวถึงซึ่งนางปรารถนาจะบรรลุเซียนมานานหลายสิบปีแล้ว บัดนี้นางก็ยังรู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว…”
“ศิษย์น้องโหย่วฉิน ข้าอยู่นี่แล้ว”
ในเวลานั้น หลี่ฉางโซ่วตอบกลับเมื่อได้ยินนางเรียกเช่นนั้นในขณะที่กำลังแอบออกไปให้ห่างจากรัศมีค่ายกลห้าจั้ง
หลี่ฉางโซ่วยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยินดีกับศิษย์น้องหญิงด้วย ข้าเดาว่าการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้ น่าจะเป็นด่านทัณฑ์สวรรค์ขั้นเจ็ดหรือแปด”
โหย่วฉินเสวียนหย่ายิ้มแหย แต่เมื่อได้ยินหลี่ฉางโซ่วกล่าวล้อเล่นเช่นนี้ นางจึงรู้สึกสงบลงมาก
“ศิษย์พี่ฉางโซ่ว โปรดวางใจ เสวียนหย่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแน่นอนเจ้าค่ะ!”
……………………………………………………………..
[1] จูเก่อ ข่งหมิง เป็นภาษาจีนกลาง เป็นที่รู้จักกันดีในนามจูกัดเหลียงหรือขงเบ้ง หนึ่งในตัวละครเอกของสามก๊ก
[2] เว่ยเหยียน หรือฮุยเอี๋ยน เป็นตัวละครในสามก๊ก ซึ่งเป็นขุนพลแห่งจ๊กก๊ก ด้วยแท้จริงแล้ว เขาจงรักภักดีต่อฮองตงที่ถูกเจ้าเมืองประหารเพราะคิดว่าทรยศ เว่ยเหยียนจึงสังหารเจ้าเมืองเป็นการแก้แค้นและย้ายมาสวามิภักดิ์เล่าปี แต่ด้วยเหตุที่ดูเหมือนทรยศท่านเจ้าเมืองของตนเอง จูเก่อข่งหมิงจึงไม่ไว้ใจเว่ยเหยียนมาตลอด และสุดท้าย ในพิธีต่อชะตาอายุของจูเก่อข่งหมิง ซือหม่าอี้ แม่ทัพใหญ่แห่งเว่ยก๊กได้ส่งคนมาสอดแนม เว่ยเหยียนจึงรีบเข้าไปรายงานในขณะที่พิธีจวนจะสำเร็จแล้ว และทำให้ตะเกียงไฟในพิธีดับ สุดท้าย เว่ยเหยียนก็ประกาศไม่ร่วมทัพด้วย และตายตามแผนที่จูเก่อข่งหมิงได้วางไว้ก่อนสิ้นชีพ