บทที่ 289 เก็งกำไรและทำธุรกิจ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 289 เก็งกำไรและทำธุรกิจ

บทที่ 289 เก็งกำไรและทำธุรกิจ

สรุปแล้วไม่มีหลานชายคนไหนรอดพ้นเสียงตำหนิของคุณย่า

และตอนที่เห็น เสี่ยวเถียนก็น้ำตาคลอเบ้าแล้ว

พวกเขาคิดผิด ไม่น่ารู้สึกเห็นใจน้องเล็กเลย

ถ้าไม่รู้สึกแบบนั้น ก็คงไม่ต้องโดนย่าดุเยอะขนาดนี้หรอก!

เสี่ยวเถียนอดคร่ำครวญไม่ได้

ในเมื่อย่าเรียนไม่ได้ แล้วทำไมพี่ ๆ ไม่ตั้งใจสอนล่ะ? ช่างเถอะ เธอสอนเองก็ได้ พวกพี่ ๆ ต้องตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้

เสี่ยวเถียนสอนย่าอย่างอดทน แต่แกก็ยังเรียนไม่ได้

ทว่าหญิงชรากลับไม่ดุหลานสาว เอาแต่ดุหลานชายไม่หยุด

“ไอ้เด็กพวกนี้ ไม่คิดจะสอนย่าดี ๆ เลย”

“หลานรักย่าเก่งกว่าตั้งเยอะ พวกเขาสอนย่าวันสองวันก็ยอมแพ้แล้ว”

“หลานรักของย่ารักย่าจริง ๆ!”

เสี่ยวเถียนได้ฟังก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถึงย่าจะไม่ได้ดูเธอ แต่เธอรู้สึกไม่ดีเลย!

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ซูเสี่ยวเถียนแปลกใจมากคือ ทำไมคุณย่าไม่เคยบอกว่าเธอเต็มใจที่จะล้มเลิกความคิดในการอ่านออกเขียนได้?

ถ้าเรียนไม่ได้ก็ยอมแพ้ไม่ใช่หรือ?

คุณย่าซูไม่รู้ว่าหลานสาวของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตัวคุณย่าเองไม่มีทางยอมแพ้กับศัพท์พวกนี้เลย

ไม่รู้ก็ไม่ต้องรีบร้อนหรอก แค่อ่านหลาย ๆ รอบเอาก็พอ

เขียนไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบร้อน แค่เขียนหลาย ๆ ครั้งก็พอ

คุณย่าซูตั้งใจมาก แม้แต่เหล่าซานยังคิดไม่ถึง เขาแปลกใจมาก แม่อายุหกสิบปีแล้วนะ ทำไมต้องขยันขนาดนั้น คงไม่ได้คิดจะไปเรียนมหาวิทยาลัยใช่ไหม?

คุณย่าซูมองลูกชาย และไม่คิดจะคุยกับเขา

กลับกัน เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงกับยกย่องมาก ทำให้คุณย่าซูมีความมั่นใจสุด ๆ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และถึงสิ้นเดือน 6 ในพริบตาเดียว

การสอบเข้ามหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาแล้ว และบรรยากาศในเมืองก็ตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว

นี่เป็นการสอบครั้งที่สองแล้ว

ครูใหญ่กัวเสียใจที่ไม่มีเด็กบ้านซูเข้าร่วมในครั้งนี้

ปีนี้ผลการเรียนของโรงเรียนเราก็ไม่น่าดีมาก

ไม่ใช่แค่ครูใหญ่กัว แต่เสี่ยวเถียนก็เสียใจเหมือนกัน พี่สี่กับพี่ห้าต้องรอจนกว่าจะถึงปีหน้า

มันช้าไปปีนึง ไม่รู้ว่าจะพลาดไปมากขนาดไหน

แต่ในไม่ช้า เสี่ยวเถียนก็โล่งใจ

เธอเข้าใจความจริงว่า ความเร่งรีบทำให้สูญเปล่า ถึงพี่สี่กับพี่ห้าจะเรียนหนักมากในสองปีที่ผ่านมา แต่พื้นฐานยังไม่แน่นเลย ถ้าฝืนแล้วไปสอบ มันไม่สามารถพัฒนาให้ดีได้

เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่รู้ต่างก็รู้ว่าตนมีความสามารถเท่าไร ทุกอย่างมันชัดเจนมากเลยนะ พวกเขาไม่สนคนที่ดิ้นรนเพื่ออนาคต แล้วออกเดินทางกลับหงซินโดยไม่รอผลสอบ

ไม่ได้กลับมาครึ่งปีแล้ว รู้สึกคิดถึงหงซินจะแย่แล้ว ถึงตัวเมืองจะดี แต่สำหรับพวกเด็ก ๆ ไม่ใช่สถานที่ที่จะอยู่ยืนยาว

เด็กที่โตในชนบทก็ต้องชอบขึ้นเขาหาของป่าอยู่แล้ว ไม่ได้ขึ้นเขามาครึ่งปี คิดถึงผลไม้กับเนื้อสัตว์มาก

คุณย่าซูหวังว่าจะได้กลับไปให้เร็วที่สุด แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่ที่นี้มาหนึ่งปี แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับชีวิตที่นี่อยู่ดี

เพราะไม่มีพี่น้องให้คุยด้วย คุณย่าซูมีเพียงคำเดียวในใจคือ หดหู่!

เธอจึงกลับไปหงซิน ไม่ได้เจอพวกพี่ ๆ น้อง ๆ มาตั้งนาน คุยเยอะ ๆ เลยดีไหมเนี่ย?

คุณย่าซูพาหลานกลับหงซิน เด็ก ๆ จึงดีใจเหมือนกระต่ายถูกปล่อยเข้าป่า

ในเช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่พาน้อง ๆ ขึ้นเขา

มีผลไม้ป่าเพียบเลยในฤดูนี้ สตรอว์เบอร์รีป่าเต็มไปหมด

ช่วงนี้ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม การควบคุมป่าไม้ในชุมชนการผลิตเลยไม่เข้มงวดเท่าเมื่อก่อน

สมาชิกบางคนของชุมชนการผลิตก็เริ่มขึ้นเขาเหมือนกัน แม้จะไม่ได้อะไรมากก็เถอะ

แต่เพราะหาได้ไม่เท่าไร แล้วคนที่ขึ้นเขาก็ค่อย ๆ น้อยลง แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ขึ้นเขาไปเก็บผักผลไม้เหมือนกัน

แต่พวกเขาไม่ได้กินเอง แต่ส่งไปขายที่ตำบล

เพราะที่นั่นมีตลาดมืดเปิดอีกครั้ง คนเลยเข้าตำบลเอาของที่ไม่ได้ใช้ไปขาย

เรื่องนี้ซูฉางจิ่วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

เพราะสภาพหงซินในตอนนี้ดีมาก พวกเขาค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไข่และเนื้อสัตว์ เลยไม่ต้องทำธุรกิจ

ตอนพวกเด็ก ๆ ลงมาจากภูเขา พวกเขาบังเอิญเจอหลี่จู้จื่อ

หลี่จู้จื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบ้านซูลอด พอเห็นเด็ก ๆ ก็เข้าไปคุยด้วยความตื่นเต้น

“ลุงจู้จื่อจะขึ้นเขาหรือคะ?” เสี่ยวเถียนถามอย่างร่าเริง

“ใช่ จะขึ้นไปดูหน่อยน่ะ เผื่อจะหาอะไรแลกเงินได้บ้าง”

หลี่จู้จื่อกับภรรยาเป็นคนขยันขันแข็ง พวกเขาแค่หวังว่าจะหาวิธีทำเงินได้มากขึ้นบ้าง

“ลุงจู้จื่อไม่ต้องขึ้นเขาก็หาเงินได้นะ” เสี่ยวเถียนนึกบางอย่างออกจึงเอ่ยออกมา

หลี่จู้จื่อแปลกใจมาก ถ้าไม่ขึ้นเขาแล้วจะหาเงินได้อย่างไร?

“ลุงจู้จื่อ ของที่ไม่ขาดเลยของชุมชนการผลิตเราคือไข่ไก่ แต่ไข่ของแต่ละบ้านมีไม่เยอะ ถ้าจะเข้าเมืองไปขายโดยเฉพาะก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีคนเก็บไข่ได้ ไข่ฟองนึงทำเงินได้หนึ่งเฟินนะคะ ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ ด้วย”

หลี่จู้จื่อแปลกใจมาก เขาทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

แต่ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้นี่! ไข่หนึ่งฟองทำเงินได้หนึ่งเฟิน ถ้าได้วันละร้อยฟองก็ได้เงินตั้งหยวนนึงเลย

ตลอดทั้งปีจะทำเงินได้สามร้อยกว่าหยวน มันเป็นจำนวนเยอะมาก ยิ่งหลี่จู้จื่อคิดคำนวณเท่าไร ก็ยิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น

ถ้ามีเวลาว่างเขาจะขึ้นเขา แต่ไปตั้งหลายรอบกลับทำเงินได้ไม่เท่าไรเลย ไม่ดีเท่าที่เสี่ยวเถียนพูดด้วย

“เสี่ยวเถียนเป็นดาวนำโชคจริง ๆ ทำไมลุงคิดไม่ถึงเลยนะ?”

“ลุงจู้จื่อ ในเมื่อเราตัดสินใจแล้ว งั้นก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า” ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม

ตอนนี้มันเรียกว่าการเก็งกำไร แต่พอผ่านไปก็จะไม่เหมือนกันแล้ว เป็นพ่อค้าคนกลาง จะหาเงินก็ไม่มีปัญหาหรอก

หลี่จู้จื่อเดินไปได้สองก้าวจู่ ๆ ก็คิดอะไรขึ้นได้ “เสี่ยวเถียน สถานการณ์ในเมืองเป็นยังไงบ้าง? มีคนตรวจสอบคนที่หวังเก็งกำไรไหม?”

เรื่องนี้หลี่จู้จื่อต้องถามให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่ไม่ได้แค่เงินนะ แต่ยังสูญเสียความมั่งคั่งของครอบครัวไปด้วย

“สถานการณ์ตอนนี้ยังดีค่ะ ในอนาคตน่าจะดีขึ้นกว่านี้” เสี่ยวเถียนพูดได้ไม่เต็มปาก จึงกล่าวอย่างคลุมเครือแทน

ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีในการหาเงิน เธอคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องหาเงินให้ครอบครัว

ถึงสมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำเงินได้มากนัก

ถึงตอนนี้จะดูเหมือนมีอาชีพที่มั่นคงและอยู่ดีกินดี

แต่หลังจากผ่านไปสองปี ทุกอย่างจะแตกต่างออกไป