บทที่ 290 ระดมกำลังกันทั้งครอบครัว (1)

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 290 ระดมกำลังกันทั้งครอบครัว (1)

บทที่ 290 ระดมกำลังกันทั้งครอบครัว (1)

อย่างที่ว่า วันรุ่งขึ้นหลี่จู้จื่อไปเริ่มเก็บไข่จากแต่ละบ้าน สมาชิกแต่ละบ้านในชุมชนหงซินมีไข่อยู่พอประมาณ

เพราะแต่ละบ้านมีไข่ไม่มากนัก จะไปขายที่อำเภอโดยเฉพาะก็ไม่คุ้ม

ตอนจู้จื่อได้ไข่มา พวกเขาจึงรู้สึกมีความสุขมาก แต่เพราะว่าเขามีปัญหาเรื่องการเงิน จึงซื้อได้ไม่มาก

เป็นการตลาดแบบหิวโหย*[1]

บางคนรอดูสถานการณ์ พอได้ยินว่าหลี่จู้จื่อรับไข่ได้สามร้อยฟองก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา

“จู้จื่อ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ พวกเราอยู่ชุมชนการผลิตเดียวกัน คุณรับของคนอื่น แต่ไม่รับของฉันได้ยังไง?”

หลี่จู้จื่อเป็นคนซื่อสัตย์ จึงเอ่ยขึ้นอย่างละอายใจ “คุณป้า ไม่ใช่ผมไม่รับนะ แต่ผมไม่มีเงินจริง ๆ”

เมื่อได้ยินว่าหลี่จู้จื่อไม่มีเงินจริง ๆ ผู้หญิงที่มีไข่เป็นโหลก็ไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงกลับบ้านไปพร้อมไข่เท่านั้น

ก่อนจะกลับยังไม่ลืมที่จะถามว่า “ไม่มีเงินจริง ๆ หรือ?”

หลี่จู้จื่อตกใจ “ไม่มีจริง ๆ ครับป้า ทำไมผมต้องโกหกด้วยล่ะ?”

“วันหลังถ้าจะมาเก็บไข่ อย่าลืมมาหาฉันก่อนนะ!” หญิงวัยกลางคนเตือนอีกครั้ง

หลี่จู้จื่อรีบตอบตกลงทันที

ภรรยาจู้จื่อกังวลเมื่อเห็นสามีเก็บไข่มาได้สามร้อยฟองในคราวเดียว และใช้เงินบ้านเราจนหมด

“ถ้าเราขายไม่ได้จะทำยังไง?” ภรรยาจู้จื่อเอ่ยถามอย่างกังวล

ถึงคนบ้านหลักตระกูลซูจะเป็นคนดี และปฏิบัติต่อจู้จื่ออย่างดีเช่นกัน แต่เธอก็ยังกังวลว่าจะเสียเงินเพราะคำพูดจากเด็กคนหนึ่ง

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเอาไปที่อำเภอ ผมว่าน่าจะขายได้” หลี่จู้จื่อไม่ได้คิดมาก

ถึงจะไม่ค่อยแน่ชัด แต่จากที่ได้ยินมา คนบ้านซูฟังเสี่ยวเถียนตลอด

ถ้าฟังเด็กคนนี้จะได้ดีเสมอ

ภรรยาจู้จื่อยังไม่อยากเชื่อ หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะใจยังคิดว่ามันอาจเป็นไปได้

หลี่จู้จื่อไปบ้านซูในตอนเย็น

คุณย่าซูก็ได้ยินเรื่องที่หลี่จู้จื่อเก็บไข่ไปขายเหมือนกัน เลยรีบถามว่าทำไปทำไม

“มันไม่ใช่แค่อยากหาเงินหรอกครับ แต่บ้านเรามีเด็กสองคน แล้วก็มีพ่อตาอีกคน ค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยครับ” หลี่จู้จื่อยิ้ม “คุณป้า ผมแค่อยากมาถามเสี่ยวเถียนว่าเอาไข่ไปขายที่ไหนของอำเภอดี”

เสี่ยวเถียน เสี่ยวซื่อ และเสี่ยวอู่ไปคอกวัว ก่อนจะได้ยินเรื่องนี้ตอนกลับถึงบ้าน

“ลุงจู้จื่อ หนูได้ยินว่าวันนี้ลุงเก็บไข่มาได้เยอะเลย”

“ลุงเอาเงินที่บ้านไปใช้หมดเลย แต่ก็เก็บได้แค่สามร้อยฟองเอง” จู้จื่อพูดขึ้นอย่างเขินอาย

เสี่ยวเถียนคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่กล้าหาญมาก คนแบบนี้ ในอนาคตจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแน่นอน

ขายแค่ไข่ดูไม่ค่อยแสดงความสามารถเท่าไร อาจจะทำอย่างอื่นก็ได้นะ

“ลุงจู้จื่อ หนูมีอีกหนึ่งความคิดนะคะ ลุงฟังดูนะว่าใช้ได้ไหม”

“มีความคิดอะไรหรือ?” อีกฝ่ายสนใจมากจริง ๆ

“ถึงไข่จะขายง่าย แต่หนูได้ยินมาว่า ถ้าอิงจากราคาตลาด ถึงจะขายได้ในราคาที่สูงกว่า แต่ก็ไม่น่าจะทำเงินได้มาก”

หลี่จู้จื่อคิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน เลยมาหาเสี่ยวเถียน

“ลุงคำนวณมาบ้างแล้วล่ะ ถ้าหักลบค่าเดินทางออกไป วันนี้ก็น่าจะทำเงินได้ไม่มาก”

แล้วก็ต้องเป็นสถานการณ์ที่ขายไข่ให้ราบรื่นด้วย หากขายไม่ออกขึ้นมาจะเสียเงินเปล่า

“หนูว่าเอาไข่ไปแปรรูปแล้วขายที่สถานีรถไฟก็ได้นะคะ สถานีรถไฟเพิ่งเปิดเมื่อเดือนก่อน ถ้าไปขายที่นั่นน่าจะขายได้แน่นอน”

หลี่จู้จื่อไม่เข้าใจความหมายของเสี่ยวเถียน

แปรรูปไข่? เอาไปต้มแบบนั้นหรือ?

“แปรรูปยังไงหรือ?” ไม่ทันได้ถาม หญิงชราก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

เธอรู้สึกสนใจเรื่องนี้มาก

“แปรรูปเป็นไข่ต้มชาค่ะ”

เสี่ยวเถียนนึกขึ้นได้จากคำพูดของคนรุ่นหลังที่ว่า “สร้างขีปนาวุธเลวร้ายกว่าขายไข่ต้มชา”

ว่ากันว่าในกลุ่มคนที่เริ่ม มีคนนึงขายไข่ต้มชา

“ได้ด้วยหรือ? แต่ลุงไม่รู้ว่าวิธีทำไข่ต้มชานะ!” หลี่จู้จื่อทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

ถ้าทำไข่น้ำก็ว่าไปอย่าง แต่ไข่ต้มชาทำไม่เป็นจริง ๆ

“ฉันทำเป็น เคยเรียนกับคนอื่นมาก่อน แต่หลายปีมานี้ไม่มีโอกาสได้ทำเลย” คุณย่าซูพูดทันที

งานฝีมือนี้ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีแล้ว

พูดถึงไข่ต้มชา เธอก็รู้สึกหิวขึ้นมา

เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าคุณย่าของตนเองจะมากความสามารถขนาดนี้

เด็กหญิงกรอกตาพลางครุ่นคิด “คุณย่าคะ ไม่งั้นร่วมงานกับลุงจู้จื่อดีไหมคะ”

เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ยอมกันไม่ได้หรอก

ก่อนหน้านี้ก็เคยคิดวิธีหาเงินนะ หรือนี่จะเป็นโอกาส?

หลี่จู้จื่อและคุณย่าซูเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน “ร่วมงานกันหรือ?”

“ก็ลุงจู้จื่อรับผิดชอบเรื่องซื้อไข่แล้วส่งเข้าเมือง ส่วนคุณย่าทำไข่ต้มชา หนูกับพี่ ๆ ก็เอาไปขายที่สถานีรถไฟไงคะ”

“จะได้หรือ?” คุณย่าซูถามอย่างลังเล

ไข่ต้มชาอร่อยนะ และราคาต้องไม่ต่ำแน่นอน

ราคาไข่ในตลาดปัจจุบันคือฟองละเก้าเฟิน ถ้าขายหนึ่งฟองในราคาหนึ่งเหมา ก็จะเท่ากับไข่ใบหนึ่งจะทำเงินได้หนึ่งเฟิน

แล้วถ้านำไข่มาแปรรูป แล้วขายในราคาหนึ่งเหมา คงจะขาดทุน

“ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ พวกเรามาลองกันเถอะค่ะ!” ซูเสี่ยวเทียนพูดอย่างกล้าหาญ

“ไข่ต้มชาฟองนึงราคาหนึ่งเหมาห้าเฟิน ไข่ต้มหนึ่งฟองราคาหนึ่งเหมาสองเฟิน ถ้าเป็นไปได้ก็มาทำหมั่นโถวขายด้วยดีกว่าค่ะ จะได้เงินมากขึ้นด้วย” ยิ่งเสี่ยวเถียนพูดก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปได้

“ไม่ได้ ๆ หลานกับพี่ ๆ รู้อะไรที่ไหน ถ้าเกิดโดนหลอกขึ้นมาล่ะ!”

คุณย่าซูคิดว่าหลาน ๆ ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนเลย ถ้าพวกเขาถูกโกงขึ้นมาจะทำอย่างไร?

ที่น่ากลัวกว่านั้น ถ้าเจอคนลักพาตัวหรืออะไรสักอย่างแล้วพาตัวทุกคนไป จะไปตามหาที่ไหน?

“ไม่เป็นไรหรอกย่า พวกเราไปด้วยกันนี่ไง” เสี่ยวซื่อพูดอย่างตื่นเต้น

เขาคิดว่ามันคุ้มที่จะทำนะ ถ้ามันสามารถทำเงินได้ก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเลย

“ไอ้เด็กคนนี้ รู้อะไรบ้างไหมเนี่ย” หญิงชายมองหลานชายแล้วดุ

เสี่ยวซื่อไม่กล้าพูดต่อ

เสี่ยวเถียนกอดแขนหญิงชรา “ย่าขา มาลองดูกันเถอะนะ”

เธอพูดไปด้วยเขย่าแขนย่าไปด้วยเหมือนลูกอมที่เป็นเกลียว ๆ

คุณย่าซูถูกหลานสาวตัวน้อยรบเร้า จึงไม่มีทางเลือกอื่น

“แต่ลุงจู้จื่อยังไม่ตกลงเลย”

หลี่จู้จื่อรู้ว่าหญิงชราทนให้หลานมาตอแยไม่ได้ จึงรีบตอบตกลง “คุณป้า เดี๋ยวผมจัดการเองครับ เรื่องซื้อไข่ผมจะจัดการเอง”

“ลุงจู้จื่อ พวกเรามาลองกันก่อนเถอะค่ะ ถ้าทำสำเร็จ ไข่ฟองนึงจะได้หนึ่งเฟินครึ่งนะคะ ลุงว่าไงคะ?”

เสี่ยวเถียนรู้สึกว่าถ้าจะให้พี่ ๆ คิดบัญชีไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

แม้ว่าความสัมพันธ์บ้านเรากับเขาจะดี แต่ก็ต้องบอกให้ทราบล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต

ไม่เคยเห็นพวกคนรุ่นหลังทะเลาะเรื่องเงินทองหรือไง?

“เกินไปหรือเปล่า ฟองนึงให้ฉันแค่หนึ่งเฟินก็พอไหม?” จู้จื่อรู้สึกละอายใจ

ไข่หนึ่งฟองราคาหนึ่งเฟินครึ่งก็เป็นข้อตกลงที่แน่นอนแล้วนะ

“อิงตามไข่หนึ่งฟองราคาหนึ่งเฟินครึ่ง ถ้าลุงขายไข่ได้วันละสามร้อยฟอง ลุงจะได้เงินสี่หยวนห้าเหมาเลยนะคะ ตัดค่าเดินทางออกไปก็ยังได้ตั้งสามหยวนแน่ะ”

คุณย่าซูยังกล่าวอีกว่า “เพราะทุกวันต้องใช้แรงวิ่งไปมา เธอควรจะได้เงินเหมือนกันนะ”

หลี่จู้จื่อไม่ได้พูดอะไรมา

พอตัดสินใจขายไข่ต้มชาแล้ว คุณย่าซูตัดสินใจพาหลานกลับไปอำเภอในวันพรุ่งนี้ทันที

เมื่อคุณปู่ซูได้ยินว่าภรรยาจะเข้าอำเภออีกครั้งก็ไม่พอใจมาก

“เพิ่งกลับมาได้สองวัน ทำไมเธอยังกลับไปอีก? ตัวอำเภอมันดีขนาดนั้นเลยหรือ?”

เมื่อเห็นท่าทางโกรธของคุณปู่ซู คุณย่าซูก็รู้สึกขบขัน

“ตาเฒ่า ทำไมแกตลกแบบนี้เนี่ย?”

คุณปู่ซูยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ น่าตลกหรือ? ตลกขนาดไหนกันล่ะ!

“ถ้าฉันมันน่าตลก งั้นเธอก็ดูตัวเองสิ เป็นผู้หญิงแท้ ๆ บ้านช่องไม่อยู่ แบบนี้มันหมายความว่ายังไง!”

ยิ่งคุณปู่ซูคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งโกรธ ทำไมหญิงชราในครอบครัวของเขาคนนี้ทะเยอทะยานเสียจริง

*[1] เป็นการตลาดที่เล่นกับกิเลสของคน อย่างเช่น กล่องสุ่มที่จำกัดจำนวนเพื่อกระตุ้นการซื้อขาย ชักจูงให้ผู้บริโภคซื้อในปริมาณมาก ๆ โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง