บทที่ 286 ถูกซุ่มโจมตีบนภูเขา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 286 ถูกซุ่มโจมตีบนภูเขา

ในที่ดินห้าสิบหมู่ ถูกเช่าไปแล้วสิบหมู่ กู้เสี่ยวหวานต้องการไปหาข่งฟางเพื่อถามว่ามีคนต้องการเช่าที่ดินหรือไม่ จึงปฏิเสธน้ำใจของหลิวต้าจ้วงที่จะไปส่งที่บ้าน และมุ่งหน้าไปบ้านข่งฟาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อนางมาถึงบ้านของข่งฟางก็เห็นประตูถูกลงกลอนเอาไว้ และหลังจากถามเพื่อนบ้านของเขาแล้ว ก็ได้รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับบ้านเกิดของข่งฟาง และเขาก็กลับไปบ้านเกิดเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว

ดูเหมือนว่าที่ดินอีกสี่สิบหมู่คงจะต้องไปหาผู้เช่าด้วยตัวเองเท่านั้น กู้เสี่ยวหวานจึงได้แต่ถอนหายใจ

อย่างไรก็ตาม กู้เสี่ยวหวานไม่ได้รีบร้อน ผู้ที่ต้องการเช่าที่ดิน นางต้องการให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์และใจดี นอกจากนี้ ค่าเช่าที่นางเรียกเก็บนั้นต่ำมากจึงจะมีคนมาเช่าแน่นอน ค่อย ๆ รอไปก็คงไม่มีปัญหา

กู้เสี่ยวหวานคาดเดาถูกต้อง วันรุ่งขึ้นหลิวต้าจ้วงพาคนเพิ่มอีกสองคน

เขาบอกว่าคนผู้นั้นเป็นญาติห่าง ๆ ของครอบครัวของเขาที่อาศัยอยู่ในเมืองหลิวเจีย ได้ยินมาว่าหลิวต้าจ้วงเช่าที่ดินราคาถูกเช่นนี้จึงต้องการเช่าบ้าง วันรุ่งขึ้นเขาขอให้หลิวต้าจ้วงพาเขามาที่นี่ ครอบครัวนี้ต้องการเช่าที่ดินทั้งหมดสิบห้าหมู่ กู้เสี่ยวหวานลงนามในสัญญากับพวกเขา พาพวกเขาไปดูที่ดินและเลือกแปลงที่ดิน

คราวนี้ กู้เสี่ยวหวานไปที่เมืองหลิวเจียคนเดียว เมื่อนางกลับถึงบ้านก็มืดเล็กน้อย กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ก็ไม่อยู่บ้าน

กู้เสี่ยวหวานเดาว่าพวกเขาคงจะไปบ้านของป้าจาง เพราะป้าจางก็ตัดเสื้อผ้าเป็นเช่นกัน ดังนั้นถ้ากู้เสี่ยวอี้ไม่เข้าใจอะไร นางก็จะไปหาป้าจาง นางจึงไม่ได้คิดอะไรมาก

หลังจากทำอาหารเสร็จก็เกือบจะมืดแล้วและเด็กสองคนก็ยังไม่กลับมา กู้เสี่ยวหวานจึงออกไปข้างนอกและวางแผนจะไปที่บ้านของป้าจางเพื่อไปหาพวกเขา

เมื่อเดินไปตามถนนเล็ก ๆ กู้เสี่ยวหวานไม่มีเวลาดูทิวทัศน์โดยรอบ นางแค่ก้มหน้าและรีบเดินไป

ทันใดนั้น กู้เสี่ยวหวานก็มีความรู้สึกอึดอัดมากราวกับว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองอยู่ นางรีบหันกลับไปอย่างกะทันหัน แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ข้างหลังนาง มีเพียงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนข้างหลังนางเท่านั้นที่ถูกลมพัดจนทำให้เกิดเสียง

ดวงอาทิตย์เป็นสีแดงและกำลังจะลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง บนถนนสายเล็ก ๆ นี้ ยกเว้นครอบครัวของป้าจาง ปกติแล้วจะไม่มีผู้คนอื่น

กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเยาะตัวเอง “ดูเหมือนว่าในช่วงสองวันที่ผ่านมาข้าได้เจอผู้คนมากมายจึงหูแว่ว” นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะความสงสัยของนาง

กู้เสี่ยวหวานเดินไปข้างหน้าไม่หยุด แต่ความรู้สึกไม่สบายใจนี้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มีฝีเท้าอันแผ่วเบาอยู่ข้างหลังนาง

นกบนภูเขาที่ออกมาหากินจนเหนื่อยกำลังบินกลับรังของมัน บนภูเขาไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง มีเพียงสายลมพัดผ่าน บรรยากาศเงียบสงัด เป็นเพราะความเงียบนี้กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกถึงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ข้างหลังตน

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย แต่นางยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างนิ่งสงบ และรู้สึกว่าเสียงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหันกลับอย่างรวดเร็วและตะโกนว่า “ใครกัน?”

แต่ไม่มีผู้ใดอยู่ด้านหลังนาง บนทางที่ว่างเปล่ามีเพียงใบไม้ที่ปลิวไหวไปตามสายลม

กู้เสี่ยวหวานกลืนน้ำลายหนึ่งอึก แต่จิตใจของนางไม่สงบนิ่งเหมือนเมื่อครู่แล้ว และนางไม่ได้ยินผิดแน่นอน เมื่อสักครู่นางได้ยินเสียงฝีเท้าจริง ๆ นางรีบหันกลับมาทันที เร่งความเร็วฝีเท้ามากขึ้น และเดินไปทางบ้านของป้าจางด้วยความประหม่า และแววตาหวาดกลัว

ทันใดนั้นก็มีคนย่องเข้ามาด้านหลัง และใช้มือปิดปากกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกหวาดกลัว เด็กหญิงส่งเสียงร้องอู้อี้อยู่ในลำคอ กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงใช้สองเท้า ทั้งเตะทั้งถีบอย่างสิ้นหวัง ดิ้นรนอย่างหนัก มือทั้งสองของนางทั้งตีทั้งข่วนมือที่ปิดปากนางเอาไว้ ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง ต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานตกใจมาก นี่ใครกัน? ใครทำร้ายนางกัน?

คนที่อยู่ข้างหลังยังคงปิดปากของกู้เสี่ยวหวานและลากนางเข้าไปในพุ่มไม้ข้าง ๆ จนกระทั่งผู้คนบนท้องถนนมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นก็โยนกู้เสี่ยวหวานลงไป ในตอนนี้กู้เสี่ยวหวานถึงมีโอกาสได้เห็นว่าใครเป็นคนจับตนเองมา

“ท่านนั่นเอง!” กู้เสี่ยวหวานตกใจ

คนที่อยู่ข้างหน้าสวมชุดสีดำและสวมหน้ากากสีดำ แต่จากร่างกายและดวงตาที่คุ้นเคยของคนผู้นั้น กู้เสี่ยวหวานก็เดาได้ทันทีว่าใครคือคนที่อยู่ข้างหน้านาง “เหมียวเอ้อร์!”

“ใช่ ข้าเอง!” เมื่อเหมียวเอ้อร์เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเดาได้แล้วว่าเขาเป็นใคร จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก ดังนั้นจึงถอดหน้ากากออกและมองดูกู้เสี่ยวหวานอย่างโกรธแค้น “ไม่คิดว่าเจ้าจะมองออกได้ในแวบเดียว”

“ฮึ่ม…” กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นยืน ลูบแขนที่เหมียวเอ้อร์จับไว้ และกล่าวอย่างเย็นชา “จับข้ามาทำไม?”

กู้เสี่ยวหวานมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ เหมียวเอ้อร์ผู้นี้พาตนเองเข้ามาในป่าด้วยความเร็วเมื่อสักครู่ มันต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเค่อจึงจะวิ่งออกไปได้ กู้เสี่ยวหวานค่อย ๆ ก้าวถอยหลังเพื่อพยายามอยู่ห่างจากเหมียวเอ้อร์

เหมียวเอ้อร์สังเกตเห็นท่าทางของกู้เสี่ยวหวาน จึงก้าวไปข้างหน้าทันที เขาหยิบมีดออกจากแขนเสื้อและขู่ว่า “ถ้าเจ้ายังถอยอีกก้าวหนึ่ง ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”

กู้เสี่ยวหวานหวาดกลัวจนเหงื่อไหลซึม แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหมียวเอ้อร์ นางก็ต้องพยายามสงบสติอารมณ์และกล่าวว่า “คุณชายเหมียว ท่านลักพาตัวข้า ท่านต้องการอะไรกันแน่?”

“ต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ?” เหมียวเอ้อร์พ่นลมอย่างเย็นชา จ้องไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างอาฆาตแค้นและกล่าว “เจ้าแย่งงานของข้าไป ข้าจะฆ่าเจ้า”

“ข้าไม่ได้แย่งงานของท่าน ท่านทำตัวเอง และแหกกฎของคนอื่น”

“เจ้าเด็กบ้า!” เหมียวเอ้อร์กล่าวอย่างโกรธเคือง “ถ้าเจ้าไม่เปิดโปงข้า ใครจะรู้ว่าข้ายักยอกเงินไป ในตอนนี้ข้าไม่มีเงินและก็ไม่มีงานทำอีกแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครต้องการข้า แต่ชีวิตเจ้ากลับดีขึ้น ได้เข้าไปอยู่ในร้านจิ่นฝู ได้เป็นคนที่หลี่ฝานยอมรับ เป็นเพราะอะไรกัน”

“เป็นเพราะข้าซื่อตรงมากกว่าท่าน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวเสียงดัง “ข้าไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายและไม่ได้ยักยอกเงินของร้านไป เหมียวเอ้อร์ แม้ว่าท่านจะเป็นคนทำบัญชีที่มีฝีมือ แต่ในใจของท่านกลับไม่ซื่อตรง และบัญชีที่ท่านคำนวณก็ยุ่งเหยิงเช่นกัน”

“ไร้สาระ!” เห็นได้ชัดว่าเหมียวเอ้อร์กำลังถูกกู้เสี่ยวหวานยั่วยุ มือของเขาที่ถือมีดสั่นเล็กน้อยและกล่าวซ้ำ ๆ ว่า “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระ เจ้าพูดเรื่องไร้สาระ!”

เมื่อกู้เสี่ยวหหวานเห็นท่าทางนั้นของเหมียวเอ้อร์จึงต้องการหลบหนีโดยเร็วที่สุด ดังนั้นนางจึงค่อย ๆ เดินถอยหลัง ในขณะที่ยังคงทำให้เขาหงุดหงิด “คนที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นท่าน ไปที่ไหนก็ไม่มีใครจ้างหรอก”