บทที่ 283 บรรพชนกระบี่นั้นโหดเหี้ยม

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 283 บรรพชนกระบี่นั้นโหดเหี้ยม
บทที่ 283 บรรพชนกระบี่นั้นโหดเหี้ยม

เพื่อที่จะไล่ตามความฝัน และทนทุกข์กับความเจ็บปวดที่คาดไม่ถึง… เช่นนั้นจะไม่เต็มใจได้อย่างไร

ถังรั่วเวยไม่ลังเลเมื่อได้ฟังคำถามนี้ นางไตร่ตรองเพียงเสี้ยวลมหายใจ ก่อนจะตอบกลับว่าเลือกวิธีที่สอง

“เช่นนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม”

ไป๋ชิวหรานบีบฝ่ามือของเขา

“มันคงจะเจ็บมากแน่ และข้าจะไม่ใช้โอสถให้เจ้าหลับใหล เพราะการทำเช่นนั้นมันจะทำให้ประสาทสัมผัสเป็นอัมพาต เพราะเจ้าต้องเปิดใช้งานวิชาหลอมร่างกายทันทีที่ข้าทำลายแผ่นกระดูกหน้าอกนั่น”

“ข้าพร้อมแล้ว”

ถังรั่วเวยกล่าวตอบจริงจัง

“อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าในคราวนี้เป็นเพราะขอให้ท่านป้าหลินรุ่ยหักมือและเท้าของข้า หลังจากมันถูกหักจนไม่อาจใช้งาน ข้าก็จัดการฟื้นฟูมันด้วยวิชาหลอมร่างกาย”

ไป๋ชิวหรานประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าสตรีผู้นี้ที่มักจะนิสัยเสียจะโหดร้ายกับตนเองได้มากเพียงนี้ ซึ่งต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะหน้าอกที่แบนราบเท่านั้น…

“ท่านอาจารย์”

ถังรั่วเวยกล่าวถาม

“เราจะเริ่มกันเมื่อใด?”

“อืม…”

ไป๋ชิวหรานพลิกถุงเก็บของก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ข้ามีโอสถพร้อมแล้ว หากเจ้าเตรียมใจเสร็จสิ้น เรามาเริ่มกันเลย”

“อย่าได้เสียเวลากล่าวคำ”

ถังรั่วเวยสูดหายใจเข้าลึก

ไป๋ชิวหรานบอกให้ศิษย์ของเขายืนขึ้น และผ่อนคลายร่างกายให้มากที่สุด จากนั้น ชายหนุ่มตรงเข้าหานางก่อนจะเหยียดมือขึ้นสูง

“เหยียนเฟย คราวนี้กองทัพเทพยุทธ์ของพวกเราถูกโจมตีหนักหนายิ่ง และเหล่าพี่น้องก็ตายตกไปมาก ตอนนี้เจ้าจึงเป็นเมล็ดพันธุ์ทหารชั้นดีที่หลงเหลือในกองทัพเทพยุทธ์ เจ้าต้องทำตัวเป็นพี่หญิงใหญ่ที่ดี เป็นผู้นำให้กับทุกคน”

จ้าวเทียนจ้งสวมชุดเกราะสีดำเดินตรงเข้าสู่ฐานบัญชาการ พร้อมกล่าวกับสตรีที่เดินตามหลังมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ศิษย์จะจดจำเอาไว้”

จั่วเหยียนเฟยก้มศีรษะพร้อมกล่าวตอบรับ

หลังจากครุ่นคิดคำที่จ้าวเทียนจ้งกล่าว นางก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า

“โชคดีที่ท่านผู้บัญชาการยังปลอดภัย ข้าอยากกล่าวขอบคุณอาวุโสไป๋ชิวหรานที่พาท่านกลับมาในคราวนี้”

“ถูกต้อง เป็นเขาที่ช่วยเหลือโลกแห่งผู้ฝึกตนเสมอมา”

จ้าวเทียนจ้งเดินตรงไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะหันกลับมาหาจั่วเหยียนเฟย

“เขาเคยช่วยเหลือหมู่บ้านของเจ้ามาก่อน ดังนั้นจึงไม่ผิดแปลกที่จะยกย่องเขา แต่เหยียนเฟย อย่าคิดว่าเขาคือบุรุษที่สมบูรณ์แบบ บรรพชนเฒ่าผู้นั้นเริ่มต้นจากการสังหารคนของตนเอง เขาไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ”

“อาวุโสไป๋ชิวหรานโจมตีคนของตนเองงั้นหรือ?”

จั่วเหยียนเฟยอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาดูใจดี และมีเมตตายิ่ง”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้มีสัมพันธ์ใดกับเขา และไม่เคยเห็นเขาเอาชนะผู้อื่น ทั้งจู๋เฟิงและเจวี๋ยอวิ๋นจื่อจากสำนักกระบี่ชิงหมิง ล้วนถูกเขาทุบตีตั้งแต่ยังเยาว์ แม้จะมาถามบ่อยครั้ง… แค่ก ๆ เอ่อ เพียงขอคำแนะนำ”

จ้าวเทียนจ้งกลับไปที่ห้องของตนเองในขณะกล่าวคำ เขาถอดเกราะที่ศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าชายวัยกลางคนที่เฉลียวฉลาด

“เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนี้เขาพาศิษย์ของตนเองขึ้นไปบนหน้าผา ตรงนั้นคือลานฝึกซ้อมไม่ใช่หรือไร? บางทีเขาอาจจะกำลังทุบตีศิษย์ของตนเองอยู่ก็ได้”

“ไม่มีทาง”

จั่วเหยียนเฟยกล่าวตอบ

“รั่วเวยเป็นเด็กผู้หญิง อีกทั้งนางยังน่ารักน่าชังยิ่ง”

“บรรพชนกระบี่เป็นผู้ที่นิยมสตรีงดงาม เจ้าคงไม่ทราบว่าแม้แต่สำนักของซูเซียงเสวี่ยที่เป็นคนใกล้ชิดยังถูกทุบตีเมื่อเขาไม่ได้มีสัมพันธ์ด้วย”

จ้าวเทียนจ้งยกมือขึ้น

“เอาล่ะ ลืมมันไปเสีย อย่าได้กล่าวเรื่องนี้ออกไป มิฉะนั้นบรรพชนกระบี่อาจขุ่นเคืองได้ ข้าไม่ต้องการพ่ายแพ้ในตอนนี้ เหยียนเฟย เจ้าก็เช่นกัน วันนี้เจ้าช่วยเอาขนมไปส่งให้กับบรรพชนกระบี่สักหน่อย โดยบอกกล่าวว่าเป็นสิ่งที่กองกำลังเทพยุทธ์อยากกล่าวขอบคุณผู้อาวุโส”

“ย่อมได้”

จั่วเหยียนเฟยตอบกลับ

หลังจากได้รับคำสั่ง นางตรงไปที่โรงครัวของกองทัพเทพยุทธ์ในทันที จากนั้นถามเหล่าศิษย์น้องที่รับผิดชอบอยู่ในนี้ว่าของหวานที่ดีที่สุดตอนนี้คืออะไร จากนั้นเดินตรงไปที่ศาลาเล็ก ๆ บนหน้าผาสูงชันซึ่งอยู่ถัดไปจากลานฝึกซ้อม

เมื่อนางกำลังเดินเข้าใกล้ศาลาเล็ก ๆ นางก็ได้ยินเสียงของถังรั่วเวยดังขึ้นจากที่นั่น

“ลงมือเลย”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่นมั่นราวกับทหารที่พร้อมจะพลีชีพในสนามรบ

จั่วเหยียนเฟยรีบหลบอย่างรวดเร็ว นางซ่อนตัวอยู่ด้านหลังก้อนหินข้างถนน ก่อนจะโผล่ศีรษะออกมาเล็กน้อยเพื่อลอบมอง

นางเห็นไป๋ชิวหรานหันหลัง และวางมือบนหน้าอก ‘สูงชัน’ ของถังรั่วเวย

จั่วเหยียนเฟยเป็นเพียงสตรีธรรมดา และนางยังคงเป็นสตรีเพศ ดังนั้นจึงไม่พูดคุยกับถังรั่วเวยเกี่ยวกับเรื่อง ‘หน้าอก’

และจิตใจของนางไม่ได้สั่นไหวเหมือนกับหลีจิ่นเหยา ซูเซียงเสวี่ย หรือสตรีอื่น ๆ ที่จะกระตือรือร้นต่อไป๋ชิวหรานเสมอ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องเช่นนี้ดังในใจของถังรั่วเวย

จนถึงตอนนี้ นางเชื่อมั่นเสมอว่าถังรั่วเวยร่างเล็กและน่ารัก ซ้ำยังมีรูปร่างที่น่าอิจฉา

เมื่อนางเห็นไป๋ชิวหรานเหยียดมือออกไปแตะหน้าอกของถังรั่วเวย หลายสิ่งหลายอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจของจั่วเหยียนเฟย

ส่วนใหญ่แล้วมาจากช่องลับที่นางบังเอิญขุดออกมาได้จากฐานบัญชาการกองทัพเทพยุทธ์ มี ‘ผลงานชิ้นเอก’ ที่เหลืออยู่ เป็นภาพวาดที่มีการร่วมมือกันโดยเหล่าผู้ฝึกตนที่เก่งกาจของหอหยกแห่งเซียนตู และงานพู่กันที่ยอดเยี่ยมของสำนักกระบี่ชิงหมิง

อย่างเช่น ‘ผู้อาวุโสไป๋ อาจารย์แห่งสำนัก’ หรือ ‘ผู้เฒ่าฉิน ศิษย์ผู้พิทักษ์ขุนเขา’ ทั้งหมดล้วนแต่ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ และหัวใจเต้นแรง

แต่กว่านางจะฟื้นคืนสติกลับมาได้ ถังรั่วเวยที่ถูกไป๋ชิวหรานคลำหน้าอกเอาไว้ก็บ้วนโลหิตออกมาคำใหญ่

เอ๊ะ นั่น… มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?

แม้รั่วเวยจะอับอายและครวญคราง แต่อย่างไรนางก็คงรู้สึกอับอาย และไม่อาจแสดงสีหน้าอับอายได้เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่?

ศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ถูกสัมผัสหน้าอกเพียงน้อยนิด ถึงกับบ้วนโลหิตคำโตได้เลยงั้นหรือ?

จั่วเหยียนเฟยมองดูสถานการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความตื่นตระหนก

ในขณะจิตใจของนางกำลังปั่นป่วน นางก็เห็นมือของไป๋ชิวหรานกลายเป็นภาพหลอนทุบตีหน้าอกของถังรั่วเวยรุนแรง ยิ่งทำให้โลหิตพวยพุ่งออกจากปากของหญิงสาว และยังมีสิ่งแปลกประหลาดปะทุออกมาจากหลัง

กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ใช่ ‘ท่านพี่’ แต่เป็น ‘ปีศาจ’ นั่นเอง!

ในขณะที่จั่วเหยียนเฟยกำลังตื่นตระหนก นางลังเลว่าควรจะออกไปหยุดการเคลื่อนไหวของไป๋ชิวหรานหรือไม่ ตอนนี้เกรงว่าสหายที่มีอยู่น้อยนิดของนางจะถูกทุบตีจนตายตก

แต่กังวลว่าตนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของไป๋ชิวหรานและศิษย์เช่นถังรั่วเวย อีกอย่างนางเป็นเพียงคนนอก แม้แต่จ้าวเทียนจ้งก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวช่วยเหลือถังรั่วเวย…

อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานไม่ได้ให้เวลานางคิดนานนัก ในขณะที่จั่วเหยียนเฟยลังเล เขาก็ออกเคลื่อนไหวเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนถังรั่วเวยล้มลงไปกองบนพื้นพร้อมกับโลหิตเปรอะเปื้อนเต็มหน้าอกและแผ่นหลัง สภาพของนางน่าสังเวชนัก

กระดูกในร่างกายของนางที่งอกออกจากซี่โครงและกำลังจะผสานรวมกันเป็นแผ่นถูกชายหนุ่มทุบตี และด้วยพลังที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้มันหลุดออกมาจากร่างกาย

“อย่าเพิ่งรีบพักผ่อน”

ไป๋ชิวหรานเผยท่าทีเข้มงวดขึ้นมาในเวลานี้

“โอกาสนี้มีเพียงชั่วพริบตา แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ต้องยินยอม ขอให้เจ้าโชคดี!”

ถังรั่วเวยได้ยินเช่นนั้น นางกัดฟันแน่นและหยัดยืนขึ้น จากนั้นจึงเริ่มใช้วิชาหลอมร่างกาย นางกัดฟันเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวด

การต้องอดทนกับความเจ็บปวดของกระดูกที่แตกหัก และยังต้องเปิดใช้งานวิชาหลอมร่างกายเพื่อบังคับความเจ็บปวดทั้งหมด ความรู้สึกนี้หากเป็นมนุษย์ธรรมดาย่อมไม่อาจต้านทานได้

อย่างไรก็ตาม จิตใจของถังรั่วเวยนั้นไร้ผู้ใดเทียบ ใบหน้านางซีดขาวด้วยความเจ็บปวด หยาดเหงื่อหลั่งท่วมร่างกาย แต่ยังยืนกรานที่จะเปิดใช้งานวิชาหลอมร่างกายจนเสร็จสิ้น

ด้วยวิชาหลอมร่างกาย ทำให้อาการบาดเจ็บทั้งหมดค่อย ๆ ฟื้นตัว และกระดูกในทรวงอกค่อย ๆ ถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยพลังของการหลอมร่างกาย

ไป๋ชิวหรานหยิบผ้าออกมาเช็ดโลหิต และหยาดเหงื่อบนใบหน้าของนาง จากนั้นจึงหันกลับหลัง

“แม่นางจั่ว ออกมาเถิด ข้าเห็นเจ้าแล้ว”