บทที่ 254 ผ่านเข้ารอบ (1)
ฮ่องเต้กำลังตรวจข้อสอบของเหล่าผู้เข้าสอบในตำหนักจินหล่วนอยู่ เจ้ากรมพิธีการและเอกอัครราชทูตรวมถึงเสนาบดีต่างยืนเรียงกันอยู่ด้านข้าง
แม้ว่าข้อสอบจะมีพวกเขาแก้ไขมาแล้ว แต่หากฮ่องเต้เกิดข้อสงสัยก็ยังจะถามเอากับพวกเขาอยู่ดี
พวกเขาต่างตื่นเต้น คนที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นเอกอัครราชทูต
แน่นอนว่าข้อสอบที่ถวายฝ่าบาทไม่มีทางสะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมด ด้านในผสมผู้เข้าสอบที่พวกเขาแต่ละพรรคสนับสนุนอยู่ หากว่าด้วยเรื่องศักยภาพแน่นอนว่าไม่เรียกว่าแย่ คนที่แย่เกินไปก็สอบไม่ติดมาถึงรอบระดับเตี้ยนซื่อหรอก
กลัวก็แต่ไม่เข้าตาฮ่องเต้ หยิบยกออกมากำจัดเดี่ยวๆ หลังจากยี่สิบอันดับแรกข้อสอบจะเลือกใหม่ สถานการณ์เช่นนี้มีน้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน
ฮ่องเต้อ่านข้อสอบแต่ละฉบับเสร็จไม่วางไว้ด้านขวาแสดงว่าผ่าน เก็บเอาไว้ได้ ก็จะวางไว้ด้านซ้ายแสดงว่ามีความเห็นต่าง
โดยปกติแล้วข้อสอบที่มีความเห็นต่างจะหลุดที่หนึ่งขั้นหนึ่งแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกมาถึงที่สามขั้นหนึ่ง
ฮ่องเต้อ่านข้อสอบสิบฉบับจบ ยังไม่เกิดการปัดตกทิ้ง
วันนี้อากาศไม่เลว ห้องหนังสือเงียบงัน มีเพียงลมฤดูสารทอันอบอุ่นที่พัดโชยอยู่นอกหน้าต่าง
ข้อสอบถูกพัดมุมปลิวขึ้น เว่ยกงกงรีบหยิบที่ทับกระดาษลายปี่เซียะสีเหลืองมาทับเอาไว้
ฮ่องเต้ไม่ได้เงยหน้ามองแต่ก็แอบชมความละเอียดอ่อนของเว่ยกงกง สมกับที่เป็นคนเก่าคนแก่ติดตามข้างกายกันมาหลายปี
ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ ขึ้นมา เว่ยกงกงรีบส่งชาร้อนให้
ดูสิ แม้แต่อุณหภูมิของชายังพอดีเลย
“ฝ่าบาท ท่านอ่านมาทั้งเช้าแล้ว พักหน่อยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมหลี่เอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างห่วงใย “วรกายสำคัญ”
“เราไม่เป็นไร” แค่ร้อนในนิดหน่อยเท่านั้น ข้อเสียของการเป็นฮ่องเต้ก็ตรงนี้แหละ แค่ลมพัดใบไม้ไหวก็ทำเอาสั่นสะเทือนได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงไม่ชอบยอมรับว่าร่างกายตัวเองไม่แข็งแรง
ฮ่องเต้ดื่มชาไปคำหนึ่ง แล้วอ่านข้อสอบต่อ พระองค์เพิ่งอ่านข้อสอบของหยวนอวี่กับหนิงจื้อหย่วนผู้มีความสามารถแห่งเจียงหนานจบ ข้อสอบของทั้งคู่สามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้เลยในขณะนี้
ศักยภาพโดยรวมของผู้เข้าสอบรอบนี้โดดเด่นกว่ารอบก่อนๆ มาก ยามคัดเลือกจึงยากไม่น้อย
เอกอัครราชทูตเป็นหนึ่งในคนที่ลงมือกับข้อสอบ เขารู้ว่าฮ่องเต้ใกล้จะอ่านไปถึงข้อสอบของเซียวลิ่วหลังแล้ว ข้อสอบของเซียวลิ่วหลังได้คะแนนไม่สูง จึงอยู่รั้งท้ายในยี่สิบอันดับแรก
แน่นอนว่านี่มีสาเหตุ เขา ‘เขียน’ ถ้อยคำกำเริบเสิบสาน ที่ยังเอาเขาเข้ามาอยู่ก็เพราะเขาเป็นฮุ่ยหยวน ฮุ่ยหยวนไม่โดนปัดทิ้ง นี่เป็นกฎแต่โบราณมา ต่อให้ปัดทิ้งก็ไม่ใช่หน้าที่พวกเขา ต้องให้ฮ่องเต้ลงมือเอง
ทุกอย่างไร้ช่องโหว่ยิ่งนัก
สายตาเอกอัครราชทูตจดจ้องอยู่บนข้อสอบฉบับที่สองที่โดนทับไว้
ฮ่องเต้แก้ข้อสอบซ่งผิงเสร็จก็ค่อนข้างไม่พอใจ วางเอาไว้ทางซ้าย
เจ้ากรมหลี่หนักใจขึ้นมา ซ่งผิงเป็นศิษย์ของเขา ดูท่าแล้วจะไม่มีอะไรให้หวังแล้วสินะ
ฮ่องเต้ยกมือไปหยิบข้อสอบฉบับต่อไป นี่เป็นข้อสอบของผู้เข้าสอบนามว่าจูก่วงเม่า บัณฑิตยากจน ไม่มีภูมิหลัง แสดงออกในการสอบฤดูใบไม้ผลิได้ไม่ค่อยโดดเด่นนัก อันดับในการสอบระดับชนบทก็สิบกว่าๆ ของท้องที่ ไม่เรียกความสนใจต่อพรรคไหนเลย
พอแก้ของเขาเสร็จก็คงเป็นของเซียวลิ่วหลังแล้ว
เอกอัครราชทูตใจกระดอนมาถึงคอหอยแล้ว แม้ว่าน่าจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังกินปูนร้อนท้อง เขาค่อนข้างหวาดผวา คิดว่าถ้าเกิดฮ่องเต้จำได้ว่านั่นไม่ใช่ลายมือเซียวลิ่วหลังขึ้นมาจะทำเช่นไร
อันที่จริงเลียนแบบลายมือได้ดียิ่ง เกรงว่าเซียวลิ่วหลังเองก็ยังมองไม่ออกในแวบแรกว่าเป็นของปลอม แน่นอนว่าฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางรู้แน่
ในขณะที่เอกอัครราชทูตหวาดวิตกใจตุ๊มๆ ต่อมๆ นอกประตูก็มีเสียงรายงานจากขันทีคนหนึ่งว่า “ฝ่าบาท ราชครูจวงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เอกอัครราชทูตย้ายสายตาจากข้อสอบของเซียวลิ่วหลังไปยังหน้าประตู
เวลาแบบนี้ราชครูมาทำอะไร
ฮ่องเต้เพิ่งหยิบข้อสอบขึ้นมาก็วางกลับลงไปใหม่ แล้วตรัสกับคนที่อยู่นอกประตูว่า “ให้เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีขานรับ “ฝ่าบาทเรียกราชครูจวงเข้าเฝ้า”
เว่ยกงกงเลิกคิ้ว นี่เป็นขันทีที่มารับตำแหน่งใหม่ เขาเป็นคนสนับสนุนเอง ทำการทำงานมีกฎมีเกณฑ์เกินไป ฝ่าบาทไม่ถือกฎเกณฑ์มากมายเพียงนี้มาตั้งนานแล้ว
จะประกาศทำไมเล่า ให้เข้ามาเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว
ราชครูจวงก็ชะงักงันเช่นกัน เดิมทีเขากะว่าจะเดินเข้าไปอย่างอาจหาญ ประสานมือคำนับให้ แต่ขันทีคนใหม่ทำสถานการณ์เป็นทางการเช่นนี้ ทำเอาหลังจากเขาเข้าห้องหนังสือมาแล้วยังต้องคุกเข่าคำนับให้ฮ่องเต้อีก
ฮ่องเต้โบกมือนิ่งๆ บ่งบอกให้ราชครูยืดตัวขึ้น “ราชครูมีธุระใดรึ”
ขุนนางใหญ่ทุกคนคำนับให้ราชครูจวง
หลังจากราชครูจวงประสานมือคำนับคืนแล้วจึงมองฮ่องเต้แล้วเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “กระหม่อมมีเรื่องกราบทูล”
“ตอนนี้น่ะรึ” ฮ่องเต้มองไปยังเขา
“พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูจวงประสานมือ
เจ้ากรมหลี่เอ่ยอย่างรู้งานว่า “เช่นนั้นพวกกระหม่อมขอตัวลาก่อน”
“อืม” ฮ่องเต้อนุญาต
เจ้ากรมหลี่และคนอื่นๆ ออกจากห้องหนังสือมาก็ไม่ได้เดินไปไกล พากันดื่มชาอยู่ในตำหนักข้างใกล้ๆ นี้
สายตาฮ่องเต้ตกลงบนร่างราชครูจวงอีกหน “ธุระอะไรรึจึงได้รีบร้อนเช่นนี้ รอเราอ่านข้อสอบเสร็จไม่ได้”
ราชครูจวงกวาดตามองข้อสอบบนโต๊ะอย่างแนบเนียน เห็นว่าข้อสอบของเซียวลิ่วหลังใกล้จะถึงในอีกสองแผ่นเขาก็ลอบถอนหายใจออกมา
เขาก้าวไปหาก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ระหว่างทางที่กระหม่อมกลับไปเมื่อครู่นี้จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของไทเฮาแล้ว กระหม่อม…ขอบังอาจไปเยี่ยมไทเฮา”
ฮ่องเต้ชะงักไป วางพู่กันลงก็หลุบตาลงดื่มชาคำหนึ่ง จึงค่อยมองไปยังราชครูจวงพลางตรัสว่า “เสด็จแม่ท่านวรกายไม่แข็งแรง หมอหลวงบอกว่าไม่ควรโดนลม ไม่ควรรับแขก อีกเดี๋ยวเราจะให้คนไปที่ตำหนัก ดูว่าเสด็จแม่ดีขึ้นหรือยัง แล้วค่อยแจ้งให้ราชครูทราบ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก!” ราชครูจวงประสานมือคำนับให้จนสุด ชั่วขณะที่ยืดตัวขึ้นก็ทำคล้ายว่าไม่ได้ตั้งใจชนข้อสอบบนโต๊ะเสียจนถ้วยชาของฮ่องเต้ล้ม ข้อสอบก็หล่นลงพื้นมาทั้งปึก
“กระหม่อมสมควรตาย!” เขารีบคุกเข่าลงขออภัย แต่มือเท้ากลับรีบกวาดข้อสอบขึ้นมาจากพื้น
เว่ยกงกงรีบไปตรวจดูว่าฮ่องเต้โดนน้ำชาลวกเอาหรือไม่ ฮ่องเต้ก็ก้มลงปัดหยดน้ำบนร่างออกเช่นกัน
ราชครูจวงอาศัยจังหวะที่ทั้งคู่ไม่ทันระวัง เอาข้อสอบปลอมของเซียวลิ่วหลังซ่อนไว้ในแขนเสื้อด้านซ้าย แล้วล้วงเอาข้อสอบจริงของเซียวลิ่วหลังมาแทรกไว้ในกองข้อสอบ
…
ราชครูจวงออกจากวังมาก็เห็นเซวียนผิงโหวถือเตาอุ่นมือด้วยมือสองข้าง
เดือนสี่แล้วไม่รู้ว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงยังใช้ของพรรค์นี้อยู่อีก
เซวียนผิงโหวสีตาเย็นชา มาดเคร่งขรึม ทว่าชั่วขณะที่ราชครูจวงเดินผ่านมา หน้าเขากลับกระตุกขึ้นอย่างเอาแต่ใจ “โอ้ ราชครูรวดเร็วนัก ดาบดีไม่แก่นี่นา”
ราชครูจวงถูกเขายั่วโมโหจนจุกอยู่ในลำคอ จะกลืนก็ไม่เข้าจะคายก็ไม่ออก “ข้าเอาข้อสอบวางกลับคืนแล้ว เจ้ายังไม่รีบปล่อยจวิ้นอ๋องอีก!”
“ปล่อยก็ปล่อย” เซวียนผิงโหวหันหน้าไปแล้วสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “ฉังจิ่ง”
ฉังจิ่งโยนอันจวิ้นอ๋องลงมาจากม้าทั้งอย่างนั้น
ราชครูจวง “…”
สารถีตระกูลจวงก็ถูกปล่อยเช่นกัน เขารีบแบกอันจวิ้นอ๋องขึ้นหลังไปที่รถม้าบ้านตัวเอง อันจวิ้นอ๋องได้รับบาดเจ็บ เลือดสดๆ ไหลอาบขาข้างหนึ่ง
ราชครูจวงกำหมัดแน่นจนเกิดเสียง
เซวียนผิงโหวเอ่ยว่า “รีบไปรักษาแผลสิ อยากให้เขากลายเป็นคนขาเป๋หรือไร จุ๊ๆ เจ้าว่าคนอย่างเจ้านี่เป็นปู่คนประสาอะไรกัน ไม่ใส่ใจหลานชายตัวเองเลยสักนิด”
ราชครูจวงแทบจะระเบิดตัวเองอยู่ตรงนั้น
หลานชายข้าได้รับบาดเจ็บอย่างไรเจ้าไม่รู้แก่ใจเลยหรือไร เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก
น่าโมโหนัก! ไอ้เด็กนี่มันยั่วโมโหข้าเก่งจริงๆ!