บทที่ 310 หนูทดลอง

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 310 หนูทดลอง

ซูอันไม่ได้โกหก แค่คิดว่าเขาจะไม่ได้อะไรดี ๆ ในการสุ่มรางวัลอีกสามครั้งต่อ ๆ ไปก็รู้สึกหดหู่

ทว่าเฉียวเสวี่ยอิงดูเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเขาผิด นางคิดว่าเขาใช้ทักษะลับบางอย่างที่สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเช่นนาง ซึ่งทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งอย่างสุดแสน “อันที่จริง… เจ้าไม่จำเป็นต้องทำดีกับข้าขนาดนี้หรอก…”

ชายหนุ่มโบกมือและพูดว่า “เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้หลายครั้งแล้ว ดังนั้นข้าย่อมไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน ข้าแบ่งแยกบุญคุณความแค้นได้ชัดเจน”

เฉียวเสวี่ยอิงจ้องที่ซูอันด้วยความงุนงง นางเต็มไปด้วยอารมณ์อันอ่อนไหว

ทำไมนางถึงจะไม่เข้าใจการตอบแทนแบบง่าย ๆ เช่นนี้? ในยามอันตราย เขาก็ไม่ทอดทิ้งข้า

เมื่อเห็นน้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของเฉียวเสวี่ยอิง ซูอันก็ส่ายหัวและพูดว่า “แค่นี้ก็ทำให้เจ้ารู้สึกประทับใจมากจนร้องไห้เหรอ? จุ๊ จุ๊ เจ้าต้องมีชีวิตที่น่าสังเวชมาตลอดแน่ ๆ”

“ไร้สาระ ใครร้องไห้? ทรายเพิ่งเข้าตาข้าแค่นั้นเอง ดูสิ แถวนี้มีแต่ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว!” เฉียวเสวี่ยอิงเบือนหน้าหนี

“เมื่อเจ้าหายดีแล้วก็ไปจัดการกับทหารดินเผาตัวสุดท้ายให้ข้าที ข้าเหนื่อยเกินไปแล้ว ข้าอยากจะพักบ้าง” ซูอันพูดขณะนั่งลง

“ได้!” เฉียวเสวี่ยอิงไม่กล้าที่จะมองหน้าซูอัน จากนั้นนางเดินไปทำลายทหารราบดินเผาตัวสุดท้ายอย่างไม่ลังเล

“เจ้าตุ๊กตาดินเผาที่น่าสงสาร ดูเหมือนว่ามันจะถูกซ้อมไม่ต่างกับกระสอบทรายแน่นอน” ซูอันเอ่ยขึ้นพลางหยิบผลไม้พลังชี่ 49 ผลออกมาแล้วกลืนลงคอ พลังงานอันอบอุ่นไหลผ่านเส้นลมปราณของเขา ทำให้รู้สึกราวกับแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อน เขารู้สึกสบายอย่างไม่น่าเชื่อ

หืม?

ซูอันตระหนักว่าเขาสามารถเติมเต็มอักขระตัวที่หกได้หลังจากกินผลไม้พลังชี่ไปเพียง 49 ผล ทั้ง ๆ ที่เขาเคยคำนวณไว้ว่าการจะเติมเต็มมันได้ต้องใช้ถึง 610 ผล!

ก่อนหน้านี้เขาแทบจะไม่สามารถเติมเต็มอักขระตัวที่ห้าได้จากการบริโภคกลีบของดอกบัวเร้นลักษณ์ แต่ตอนนี้อักขระตัวที่ 6 ได้ถูกเติมเต็มแล้ว?

แต่แล้วเขาก็จำการต่อสู้ที่เลวร้าย และอาการบาดเจ็บสาหัสที่เขาได้รับ หากไม่ใช่เพราะเฉียวเสวี่ยอิงก็คงตายไปหลายครั้งแล้ว…

วิชาวัฏจักรหงส์อมตะ เป็นทักษะที่เพิ่มระดับการบ่มเพาะของคน ๆ หนึ่งด้วยการหาเรื่องเจ็บตัว ดูเหมือนว่าการถูกทุบตีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องไร้ประโยชน์

แน่นอนว่ารางวัลใหญ่ที่สุดของซูอันคือการได้รับอายุขัยที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายศตวรรษที่ได้รับจากสายสัมพันธ์ครึ่งชีวิตของเฉียวเสวี่ยอิง มันเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มากจนเขาเองก็พูดอะไรไม่ออก

“ทำไมมองข้าแบบนั้นล่ะ?” เฉียวเสวี่ยอิงเดินกลับมาหลังจากจัดการกับทหารราบดินเผาตัวสุดท้าย นางสังเกตเห็นว่าซูอันกำลังจ้องมองนางด้วยสายตาไม่ปกติ

“จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าดูดีมาก” ซูอันตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

ตอนแรกเขาก็แค่ชมไปอย่างนั้น แต่เมื่อมองอย่างจริงจัง ผิวของนางขาวราวกับหิมะและดวงตาของนางเปล่งประกายราวกับดวงดาว ก่อนหน้านี้เขามองข้ามรูปลักษณ์ของนางตั้งแต่นางแต่งตัวเป็นสาวใช้ แต่ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้าธรรมดา ความงามของนางก็เริ่มฉายแสงออกมา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในสิบสุดยอดสาวงามของสถาบันจันทร์กระจ่าง

เฉียวเสวี่ยอิงหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “เก็บคำพูดของเจ้าไว้หลอกฉู่ชูเหยียนเถอะ”

“เจ้าไม่เรียกนางว่าคุณหนูแล้วเหรอ?” ซูอันถาม

“ข้าเป็นสายลับที่แทรกซึมเข้าไปในตระกูลฉู่ ไม่ใช่สาวใช้ที่แท้จริงของตระกูล ทำไมข้าถึงต้องเรียกนางว่าคุณหนูตลอดไปด้วยล่ะ?” เฉียวเสวี่ยอิงดูโกรธเคืองอย่างผิดปกติ “นอกจากนี้ ข้าได้เสียสละครั้งใหญ่เพื่อช่วยนางไปแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่ข้าเคยเป็นหนี้นางก็ควรจะหายไปจนหมด”

“ก็จริง…” ซูอันยังต้องการจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่จู่ ๆ กลับมีลมกระโชกแรงที่ทำให้ศพของทหารดินเผากลายเป็นฝุ่น พัดพาให้พวกมันสลายไป ในไม่ช้าพื้นที่รอบ ๆ ทั้งสองคนก็บิดเบี้ยวและรู้สึกถึงสภาวะไร้น้ำหนักเช่นเคย

เมื่อทั้งสองได้สติ พวกเขาก็กลับมาที่สุสานใต้ดินอีกรอบ

เมื่อรู้ตัวว่าได้กลับมายืนอยู่ที่ใจกลางของผนึกปฐพี พวกเขาก็รู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากประสบการณ์ครั้งก่อนก็ตะโกนพร้อมกันว่า “ระวัง!”

ขณะที่พวกเขาตะโกนคำนั้น ต่างฝ่ายต่างคว้าตัวอีกฝ่ายเพื่อกระโดดออกจากผนึก ทั้งสองตกอยู่ในความประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายคิดแบบเดียวกัน จากนั้นผนึกปฐพีก็เปิดออก เผยให้เห็นผนึกสวรรค์ ซึ่งเป็นผนึกสุดท้าย…

“โอ้? ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายังทะเลาะกันอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเจ้าสองคนเริ่มห่วงใยกันและกัน ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในผนึกปฐพี?” เสียงล้อเลียนของหมี่ลี่ดังขึ้น ทั้งสองรีบชักมือออก

เฉียวเสวี่ยอิงหันศีรษะไปทางด้านข้างและบ่นว่า “ใครเป็นห่วงเขา? ข้าย่อมช่วยเพื่อนของข้าแม้ว่ามันจะเป็นแค่หมูตัวหนึ่งก็ตาม”

“ข้าไม่ได้ใจดีเหมือนเจ้า ถ้าเจ้าเป็นหมู ข้าคงไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือออกไป” ซูอันตอบ

“เจ้าว่าใครเป็นหมู!?” เฉียวเสวี่ยอิงหันกลับมามองเขาทันที

“เมื่อกี้ข้าไม่ได้เอื้อมมือไปดึงเจ้าเหรอ? นั่นพิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่ใช่หมู” ซูอันยักไหล่

“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าพิสูจน์ว่าข้าไม่ใช่หมู…” เมื่อคำพูดนี้ออกจากปากของเฉียวเสวี่ยอิง นางก็รู้สึกว่าคำพูดของนางฟังดูแปลก ๆ

“พวกผู้ชายนี่มันไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ภรรยาของเจ้ายังตกอยู่ในอันตราย แต่เจ้ากลับยังมีอารมณ์ที่จะทำเจ้าชู้กับผู้หญิงคนอื่น หึหึ…” หมี่ลี่เยาะเย้ย

ซูอันขมวดคิ้ว

หมี่ลี่มองผู้ชายในแง่ลบอย่างมาก ดูเหมือนว่าจิ๋นซีฮ่องเต้หักอกนางมาแน่ ๆ ไม่งั้นนางคงไม่มีท่าทีเกลียดชังผู้ชายทุกคนบนโลกแบบนี้

“ใครจะไปชอบคนอย่างเขาได้ลง? ไหนผนึกสวรรค์เปิดแล้วใช่ไหม? เราไปกันเลยเถอะ!” เฉียวเสวี่ยอิงรีบแก้ตัวพัลวัน

เสียงของหมี่ลี่ดังขึ้นอีกครั้ง “คาดไม่ถึงจริง ๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าสองคนจะสามารถทำลายผนึกมนุษย์และผนึกปฐพีได้ ดูจากวิธีการที่อิ่งเจิ้งชอบใช้ เจ้าสองคนไม่น่าจะทำลายผนึกทั้งสองได้เลย”

ซูอันรู้ว่านางกำลังพูดความจริง สำหรับผนึกมนุษย์นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นผมของเฉียวเสวี่ยอิงและแท่งพิษของเขา ก็คงไม่สามารถเอาชนะยักษ์ทองแดงที่มีขนาดใหญ่โตและฟื้นตัวได้เองอย่างน่าอัศจรรย์

ในส่วนของผนึกปฐพี หากไม่ใช่เพราะไฟฉายวิเศษที่กองทัพดินเผาแพ้ทางอย่างรุนแรงและวิชาร่างก้าวทานตะวัน เขาคงตายไปหลายรอบแล้ว ตนมั่นใจว่าแม้แต่ผู้บ่มเพาะที่มากความสามารถอย่างฉู่จงเทียน หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคงทำอะไรได้ไม่ดีเท่าเขา

และมีอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขารอดมาได้เป็นเพราะเฉียวเสวี่ยอิงใช้สายสัมพันธ์ครึ่งชีวิตแบ่งอายุขัยครึ่งหนึ่งมาให้เขา

“ในเมื่อเจ้าคิดว่าเราไม่น่าจะประสบความสำเร็จ ทำไมเจ้าถึงยังคงช่วยเรา?” ซูอันถามกลับ

เสียงหัวเราะที่ไพเราะแต่เย็นเหยียบดังก้อง “ข้าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แม้ว่าเจ้าจะล้มเหลว ทั้งหมดที่ข้าต้องทำคือรอให้คนกลุ่มต่อไปเข้ามาในสุสานแห่งนี้ เวลาเป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยขาดแคลน”

คนทั้งคู่เงียบไปเมื่อฟังคำตอบของหมี่ลี่

“นี่เจ้ามองเห็นเราเป็นแค่หนูทดลองของเจ้างั้นเหรอ!” ซูอันกัดฟันเมื่อนึกถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ที่เขาเกือบเสียชีวิตในการทดลองของหมี่ลี่

“ข้าแค่ยื่นข้อเสนอให้เจ้าเลือก ข้าไม่ได้บังคับให้เจ้าทำ!” หมี่ลี่ตอบอย่างเย็นชา

ชายหนุ่มรู้สึกอยากออกไปให้พ้น ๆ จากที่นี่จริง ๆ แต่เมื่อคิดถึงว่าฉู่ชูเหยียนยังคงรอเขาอยู่ จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธและพูดว่า “ฮึ่ม! ช่างเถอะ พวกเราไปกันเถอะ!”

หลังจากพูดจบเขากับเฉียวเสวี่ยอิงเดินไปที่ผนึกสวรรค์และก้าวขึ้นไปบนผนึกด้วยกัน

มีแสงสีขาวพุ่งออกมาล้อมรอบร่างของพวกเขาทั้งสองคน และเมื่อความรู้สึกไร้น้ำหนักหายไป ทั้งสองคนก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกเขาคิดว่า ผนึกสวรรค์ จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวที่เห็นแทบจะไม่ดูน่ากลัวเลย

มันเป็นทัศนียภาพอันเงียบสงบของชนบท สายลมแผ่วเบา มีลำธารน้ำใสไหลริน พร้อมสะพานเล็ก ๆ ด้านบน ไกลออกไปจะเห็นผู้ชายกำลังไถนาและผู้หญิงทอผ้าอยู่ข้างบ้าน ฝูงไก่กำลังเดินเตร่ไปตามทุ่งเพื่อหาอาหาร และสุนัขก็นอนอย่างเกียจคร้านภายใต้แสงแดด