บทที่ 311 หมู่บ้านธรรมดา

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 311 หมู่บ้านธรรมดา

“ที่นี่คือผนึกสวรรค์งั้นเหรอ?” เฉียวเสวี่ยอิงพึมพำอย่างไม่แน่ใจ

สิ่งที่นางเห็นคือหมู่บ้านในชนบทอันเงียบสงบ นางไม่สามารถจินตนาการถึงอันตรายใด ๆ ที่มาจากที่นี่ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ซูอันก็ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่า “หมู่บ้านนี้อาจเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง อย่าถูกหลอกง่าย ๆ แค่เพียงมองจากภายนอก”

“ผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง?” เฉียวเสวี่ยอิงมองดูผู้คนรอบ ๆ และตอบว่า “ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น แม้บางคนดูมีพลังชี่แฝงอยู่ในร่าง แต่พวกเขาก็ดูไม่ได้มีระดับเท่ากับเจ้าด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังได้หรอก”

“เจ้าหมายความว่ายังไงกับคำพูดที่ว่า ‘ไม่ได้มีระดับเท่ากับข้า’ ?” ซูอัน ทำหน้ามุ่ย

ในขณะเดียวกันนี้เองที่พวกเขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจับมือกันอยู่อีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างก็รีบปล่อยมือกันอย่างรวดเร็ว

“ข…ข้าเผื่อเอาไว้ในกรณีที่เราอาจจะถูกเคลื่อนย้ายไปต่างที่กัน!” เฉียวเสวี่ยอิงหลบตาพร้อมกับอธิบาย

“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ซูอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการที่เขาจับมือกับผู้หญิงปากร้ายคนนี้โดยไม่รู้ตัว

เพื่อบรรเทาความอึดอัดใจ เฉียวเสวี่ยอิงจึงรีบเสริมว่า “ข้าคิดว่าเราไม่ควรเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนั้นมากเกินไป ความจริงที่ว่านางถูกผนึกไว้หมายความว่านางเป็นคนที่อันตรายมาก หากเราปล่อยนางโดยไม่ได้เตรียมวิธีที่จะควบคุมสถานการณ์ นางอาจจะผิดสัญญาและไม่ช่วยฉู่ชูเหยียนก็ได้”

ชายหนุ่มรู้ว่านางหมายถึงหมี่ลี่ จากนั้นก็ตอบว่า “ข้าก็คิดเหมือนเจ้า แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นที่จะช่วยชูเหยียนได้เลย”

เฉียวเสวี่ยอิงเงียบไป หากนางและซูอันหนีกันไปแค่สองคนมันอาจเป็นไปได้ แต่ชะตากรรมของฉู่ชูเหยียนคงจบไม่สวยซึ่งนางคงไม่สามารถทนอยู่กับความรู้สึกผิดแบบนั้นได้

ซูอันมองไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและเอ่ยขึ้นว่า “เรามาพยายามจัดการกับผนึกสวรรค์ก่อน เมื่อพิจารณาจากอันตรายที่เราเผชิญจากผนึกทั้งสองก่อนหน้านี้ ผนึกสวรรค์ก็น่าจะมีอันตรายซ่อนอยู่ในบรรยากาศสงบสุขเช่นกัน”

เฉียวเสวี่ยอิงพยักหน้าตอบขณะที่นางสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ยาของซูอันช่วยให้นางฟื้นตัวได้อย่างมาก แม้ว่าร่างกายของนางจะยังไม่กลับไปอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด แต่อย่างน้อยในตอนนี้นางก็สามารถปกป้องตัวเองได้

พวกเขาเดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน ตั้งใจจะหาชาวบ้านสักคนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ จู่ ๆ สุนัขตัวหนึ่งที่กำลังนอนหมอบอยู่ก็ลุกขึ้นเห่าใส่ทั้งสองคน

ในตอนแรกซูอันคิดว่ามันเป็นสัตว์ดุร้าย แต่ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร มันก็ดูเหมือนสุนัขพันธุ์ทางสำหรับเขา ในโลกแห่งการบ่มเพาะนี้หมาตัวหนึ่งไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม เสียงเห่าของมันได้กระตุ้นความสนใจของชาวบ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านบางคนเอาจอบและไม้ค้ำมาล้อมทั้งสองไว้ด้วยสีหน้าระแวดระวัง ชายร่างกำยำยืนอยู่ข้างหน้าและเตือนด้วยเสียงดุดันว่า “พวกเจ้าเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่?”

ซูอันผสานมือของตัวเองคำนับก่อนจะพูดว่า “พวกข้าหลงทางมา ขอถามได้ไหมว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”

ชายร่างกำยำขมวดคิ้ว “ดูจากหน้าตาที่เหมือนหนูเจ้าเล่ห์ของเจ้าแล้ว เจ้าต้องเป็นพวกผู้ลี้ภัยแน่ ๆ ออกไปจากหมู่บ้านของเราเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะเรียกเจ้าหน้าที่มา!”

ซูอันนิ่งอึ้งไป

นี่มันบ้าอะไร? เจ้าบอกว่าข้าเป็นผู้ลี้ภัย บอกว่าหน้าตาเหมือนหนูเจ้าเล่ห์? หน้าหล่อ ๆ ของข้าจะไปเหมือนหนูได้อย่างไร?!

เจ้าควรไปตรวจลูกตาซะหน่อยจริง ๆ!

ซูอันฉุนเฉียวและทำท่าจะเอาเรื่องกับชายร่างกำยำผู้นี้ แต่เฉียวเสวี่ยอิง ดึงเขาไปด้านข้างและก้าวออกมารับหน้าแทนด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอคารวะ พี่ป้าน้าอาทุกท่าน พวกท่านโปรดฟังข้าก่อน ข้ากับพี่ชายได้พบกับโจรเมื่อสองสามวันก่อน พวกเราหนีอย่างสุดชีวิต และเราได้บังเอิญมาเจอหมู่บ้านของพวกท่านเข้า เราไม่ได้ปรารถนาที่จะรบกวนความสงบสุขของพวกท่าน แต่เราสูญเสียกระเป๋าเดินทางและทรัพย์สินไปจนหมด ตอนนี้เรากระหายน้ำและหิวโหย อย่างน้อย ๆ พวกข้าขอน้ำพวกท่านดื่มเพื่อแก้กระหายจะได้มั้ย?”

ท่าทีของชายร่างกำยำเริ่มเป็นมิตรมากขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามของเฉียวเสวี่ยอิง และสังเกตเห็นว่าด้านหลังของนางเปื้อนเลือดสีสด ซึ่งทำให้เขารู้สึกสงสารมากขึ้น เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “โจรพวกนั้นช่างต่ำทรามจริง ๆ จิตใจของพวกมันทำด้วยอะไรถึงกล้าลงมือทำร้ายคุณหนูที่แสนสวยอย่างเจ้า! เข้ามาพักผ่อนก่อนเถอะ ที่นี่มีข้าวปลาอาหารพร้อม และเราจะให้หมอจ่ายยาให้กับเจ้าด้วย”

ในไม่ช้า เฉียวเสวี่ยอิง ก็ถูกพาเข้าไปในหมู่บ้านโดยกลุ่มคนจำนวนมาก ก่อนจากไป นางยังขยิบตาให้ซูอันอีกด้วย

เดี๋ยวนะ?

เกิดอะไรขึ้นกับชาวบ้านพวกนี้? ข้าเข้าหาพวกเขาอย่างเป็นมิตร แต่พวกเขาพยายามไล่ข้าออกไปราวกับว่าข้าเป็นขโมย แต่ร่างกายของ เฉียวเสวี่ยอิงที่โชกไปด้วยเลือดซึ่งเห็นได้ชัดว่าดูน่าสงสัยมากกว่า แต่พวกเขากลับรุมโอ๋นาง?

บัดซบ! พวกนี้มองคนแค่หน้าตาเท่านั้นได้ยังไง? เอ๊ะเดี๋ยวนะ รูปร่างหน้าตาของข้าเองก็ไม่ได้แพ้นางนี่นา?

ในท้ายที่สุดซูอันคิดว่าคงเพราะเฉียวเสวี่ยอิงเป็นผู้หญิงเท่านั้น

ฮึ่ม…แม้ว่าชาวบ้านพวกนี้จะดูซื่อ ๆ แต่ก็ร้ายไม่เบา!

เขาเดินตามหลังกลุ่มชาวบ้านไปด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง มองดูภาพต่าง ๆ ด้วยสีหน้าบูดบึ้งขณะที่ชาวบ้านส่งถ้วยน้ำให้นาง และแม้กระทั่งเชิญแพทย์ชราคนหนึ่งมาจ่ายยาให้นาง

“เสวี่ยเอ๋อร์เจ้าประมาทไปหน่อยหรือเปล่า? น้ำนั่นมีอะไรผสมบ้างก็ไม่รู้!” ซูอันกระซิบบ่นอย่างอิจฉา

เฉียวเสวี่ยอิงไม่สนใจเขา นางขอบคุณชาวบ้านก่อนที่จะใช้โอกาสนี้รวบรวมข้อมูลบางอย่าง “พี่ใหญ่เฉิน ข้าขอทราบได้ไหมว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน?”

นางเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้านได้ไม่นานสักเท่าไหร่ แต่นางได้รู้แซ่ของชายร่างกำยำแล้ว ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะได้เปรียบในเรื่องพวกนี้จริง ๆ

“ที่นี่คือหมู่บ้านเฉินอยู่ภายใต้การดูแลของกองบัญชาการตง” ชายร่างกำยำตอบ

“กองบัญชาการตง?”

หญิงสาวงุนงง นางจำไม่ได้ว่ามี ‘กองบัญชาการตง’ ในราชวงศ์โจวด้วย

ในขณะเดียวกันซูอันก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารู้ว่าจิ๋นซีฮ่องเต้มาจากราชวงศ์ฉิน และจำได้ว่ามีกองบัญชาการตง ภายในเขตอำนาจศาลของอาณาจักรฉิน ตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน เหอเป่ย และซานตง

เกิดอะไรขึ้นใน ผนึกสวรรค์?

เขาตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด และสังเกตเห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นพลเรือนธรรมดา ถึงแม้จะมีผู้บ่มเพาะรวมอยู่ด้วยแต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่านี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของผนึกปราบปรามวิญญาณ

“แม่นางเฉียว เจ้าควรรีบออกจากหมู่บ้านไปหลังจากพักผ่อนเพียงพอแล้ว เจ้ามีภูมิหลังที่เราไม่รู้จัก ดังนั้นหมู่บ้านของเราจึงไม่กล้าที่จะให้ที่พักพิงแก่เจ้า หากมีอะไรเกิดขึ้น หมู่บ้านของเราจะติดร่างแหไปด้วย” ชายร่างกำยำนามว่าเฉินเว่ยกล่าว

“การลงโทษร่วมกัน…” ซูอันพึมพำ

ราชวงศ์ฉินเป็นที่รู้จักจากกฎหมายที่เข้มงวดซึ่งใช้การลงโทษร่วมกัน ในยุคนี้ เกษตรกรถูกผูกมัดกับที่ดินของตน โดยถูกห้ามไม่ให้ออกจาก ‘พื้นที่ที่จัดสรร’ ผู้คนต่างแดนเช่นซูอันและเฉียวเสวี่ยอิงต่างก็เป็นได้ทั้งขุนนางและผู้ลี้ภัย คงจะเป็นเรื่องหากพวกเขาเป็นขุนนาง แต่ถ้าทางการพบว่าหมู่บ้านของพวกเขามีความผิดฐานให้ที่พักพิงกับผู้ลักลอบหลบหนี ทุกคนที่นี่อาจถูกฆ่าตายด้วยความผิดฐานไม่รายงานเรื่องนี้ต่อทางการ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ายอมรับคนแปลกหน้ามาอาศัยในหมู่บ้านของตน

“ขอบคุณพี่ใหญ่เฉิน ท่านลุงและท่านป้าทุกคนที่นี่ด้วย”

เฉียวเสวี่ยอิงไม่ต้องการให้คนเหล่านี้เดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นหลังจากคุยกันสักพัก นางจึงชวนซูอันออกจากหมู่บ้านเฉิน

ขณะที่โบกมือลาชาวบ้าน เฉียวเสวี่ยอิงถามซูอันเบา ๆ “เจ้าคิดว่าเกิดอะไรขึ้นในผนึกสวรรค์นี้? ข้าไม่เข้าใจเลย”

“ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” ซูอันตอบพร้อมส่ายหัว

เฉียวเสวี่ยอิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะแนะนำว่า “เราควรลองเดินไปตามถนนดูก่อนไหมว่ามันจะนำไปสู่ที่ใดได้บ้าง?”

“ทำแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์” ซูอันตอบ “เจ้าลืมแล้วเหรอว่าผนึกมนุษย์เป็นยังไง? เราพยายามจะเข้าไปในเมืองแต่ไม่ว่าเราจะพยายามยังไงก็เข้าไปไม่ได้ ส่วนตอนนี้เราถูกเคลื่อนย้ายมาที่หมู่บ้านนี้ ประเด็นสำคัญจึงน่าจะอยู่ที่นี่”

เฉียวเสวี่ยอิงกัดริมฝีปาก นางก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่นี่เป็นลางไม่ดีสำหรับพวกเขา เนื่องจากยังไม่เห็นว่าพวกเขาจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ “เราจะทำยังไงต่อไปดี? เรากลับเข้าไปในหมู่บ้านไม่ได้อีกแล้ว”

ซูอันกลอกตา “เราแอบเข้าไปดูตอนกลางคืนก็ได้!”

เฉียวเสวี่ยอิงถอนใจก่อนจะกล่าวว่า “คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อข้าค่อนข้างดี ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ใช่ศัตรูของเรา”