ตอนที่ 559 ผาสุดขอบฟ้า (6) / ตอนที่ 560 ผาสุดขอบฟ้า (7)
ตอนที่ 559 ผาสุดขอบฟ้า (6)
ฟ่านจัวหรี่ตาลงมองสีหน้าของเฉียวฉู่และคนอื่นๆ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นอ่อนโยนและเป็นมิตรเช่นเดิม
“ขออภัยด้วยหากทำให้พวกเจ้ากลัว” ฟ่านจัวมองทุกคนอย่างลุแก่โทษ
สีหน้าของเฉียวฉู่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรดี
ฮวาเหยาขมวดคิ้วจ้องฟ่านจัว เขาไม่อยากพูดถึง แต่ปฏิกิริยาของฟ่านจัวนั้นแตกต่างจากที่เขาคาดคิดเอาไว้มาก หากเขาเพียงแค่เคยได้ยินเรื่องของสามโลก แล้วทำไมเขาถึงมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ ถ้าเขามองไม่ผิด นัยน์ตาของฟ่านจัวเมื่อสักครู่นี้มันเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความต้องการฆ่าอย่างถึงที่สุด!
เขาเกลียดชังสิบสองตำหนักอย่างนั้นหรือ
ทำไมกัน
ในที่สุดฮวาเหยาก็พูดขึ้นว่า “เจ้ามาจากสามโลกชั้นกลางอย่างนั้นหรือ”
ฟ่านจัวไม่ปกปิดความจริงและพยักหน้า เขามองฮวาเหยาและคนอื่นๆ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็เหมือนกับพวกเจ้าทุกคน ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่ พี่ฮวา เจ้าโง่เฉียว เสี่ยวเยียน เสี่ยวรั่ว…และน้องเสีย ไม่ ไม่ ไม่…น้องเสียไม่ใช่ เพราะน้องเสียไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดของข้าแม้แต่น้อย”
ฟ่านจัวลูบคางแล้วยิ้มออกมา
“เจ้าเดาได้ถูกต้อง” ฮวาเหยาพยักหน้า
“เจ้ามีความแค้นกับสิบสองตำหนักอย่างนั้นหรือ” ฮวาเหยาถามต่อ เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย รังสีอาฆาตรุนแรงเมื่อสักครู่นี้จู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ความเกลียดชังในนัยน์ตาคู่นั้น ไม่มีทางที่จะน้อยไปกว่าที่พวกเขาทุกคนรู้สึก แต่ทำไมมันถึงจางหายไปเร็วนัก
“ข้ากับพวกมันไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้” รอยยิ้มของฟ่านจัวขยายกว้างขึ้น แต่กลับไม่มีความรื่นเริงในดวงตาของเขาแม้แต่น้อย
“ทำไม” ฮวาเหยาถามต่อ
“เหตุผลเดียวกับพวกเจ้าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ใช่หรือ” ฟ่านจัวพูดกลั้วหัวเราะ
ฮวาเหยารู้สึกประหลาดใจ
ฟ่านจัวพูดต่อว่า “เดิมทีข้าคิดว่าพวกเจ้ามาจากสิบสองตำหนัก แต่พอข้าแสดงความเป็นปฏิปักษ์ออกมาชัดเจนและรุนแรงขนาดนั้น พวกเจ้าทุกคนกลับยังไม่มีทีท่าอะไรนอกจากมองอย่างตกใจ ซ้ำยังไม่มีเจตนาเข้ามาสังหารข้า ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าข้ามีเจตนาร้ายต่อสิบสองตำหนัก แต่ก็ยังไม่เคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านข้า นั่นจึงเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนของสิบสองตำหนัก เพราะข้าไม่เชื่อว่าคนของสิบสองตำหนักจะมีคนที่จริงใจเช่นพวกเจ้าอยู่ด้วย”
เจตนาฆ่าในตอนแรกนั้นเป็นเพียงการทดสอบ และผลที่ได้ก็ทำให้ฟ่านจัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่พวกเขาไม่ใช่ศัตรู
“เจ้าบอกว่าเจ้าก็เหมือนกับพวกเรา หมายความว่าอย่างไร!” ฮวาเหยาพอคาดเดาได้รางๆ แล้ว และมันทำให้เขาร้อนใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ฟ่านจัวหัวเราะแล้วเล่าว่า “นานมาแล้ว ในภารกิจค้นหาที่ตั้งของสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ สิบสองตำหนักได้ส่งยอดฝีมือขั้นสูงนับไม่ถ้วนออกไป และในจำนวนนั้นก็มีบางคนค้นพบมันในที่สุด คนพวกนั้นมาจากตำหนักที่แตกต่างกัน และเพื่อหยุดยั้งและตัดทอนกำลังกันและกัน พวกเขาจึงวาดแผนที่บางส่วนลงบนหลังของแต่ละคนและกลับไปรายงานภารกิจของตน แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่กลับกลายเป็นการทรยศจากคนที่พวกเขารับใช้ด้วยความเคารพ พวกเขาทุกคนถูกฆ่า กระทั่งครอบครัวของพวกเขาก็ไม่มีละเว้น…”
นัยน์ตาของฟ่านจัวฉายแววเย็นชาเล็กน้อย เขากวาดตามองฮวาเหยา เฉียวฉู่ เฟยเยียน และหรงรั่วไปทีละคนๆ อีกครั้ง “ขณะที่การสังหารหมู่ดำเนินไป บุรุษผู้หนึ่งก็ได้ลอบเข้าไปช่วยเหลือเด็กๆ จากครอบครัวเหล่านั้น เด็กหนึ่งในนั้นเป็นคนของเผ่าเคลื่อนกระดูก ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด พวกเจ้าทุกคนน่าจะเป็นเด็กที่ถูกช่วยเหลือออกมาในตอนนั้นใช่หรือไม่”
เหตุผลของฟ่านจัวทำให้ฮวาเหยาและคนอื่นๆ ตกใจเป็นอย่างมาก ทุกคนมองฟ่านจัวด้วยสีหน้าประหลาด ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและไม่แน่ใจ
“เช่นนั้น…เจ้าเป็นใคร” เขารู้ประวัติของสามโลกชั้นกลาง และรู้ว่าสิบสองตำหนักกำลังค้นหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ เช่นนั้นแล้วตัวจริงของฟ่านจัวเป็นใครกันแน่!
ฟ่านจัวยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ที่ผาสุดขอบฟ้า”
ตอนที่ 560 ผาสุดขอบฟ้า (7)
สิบสองตำหนักส่งคนจำนวนมากออกมาในช่วงหลายปีนั้น พวกเขาไม่เคยขาดแคลนคนเก่งและมีความสามารถ ถึงแม้พวกเขาจะภักดีต่อขุมอำนาจที่พวกเขารับใช้ แต่พวกเขาก็ยังมีสติและมีเหตุผลพอในการกระทำของตัวเอง บิดามารดาของฟ่านจัวคือตัวอย่างที่ดีที่สุด พวกเขามาถึงสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิช้ากว่าคนในครอบครัวของฮวาเหยาและคนอื่นๆ ไปก้าวหนึ่ง แต่ก็ยังถูกบังคับให้เข้าร่วมกับข้อตกลงดังกล่าวพร้อมกับกลุ่มคนที่มาถึงก่อน พวกเขาทุกคนสักแผนที่ไว้บนหลังคนละส่วนก่อนจะกลับไปยังสามโลกชั้นกลาง
แต่บิดาของฟ่านจัวรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาจึงไม่พาฟ่านจัวกับภรรยาของเขากลับไปด้วย แต่ให้พวกเขารออยู่ใกล้ๆ กับผาสุดขอบฟ้าไปก่อนชั่วคราว
อนิจจา สิ่งที่รอเขาอยู่เมื่อเขากลับไปยังสามโลกชั้นกลางก็คือฝันร้ายที่น่ากลัว
เขาไม่มีโอกาสกลับไปพบภรรยาและลูกของเขาอีกเลย ครอบครัวทั้งหมดของเขาถูกสังหารหมู่ไปพร้อมกับเขา มารดาของฟ่านจัวถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาเขา ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของคนจากสิบสองตำหนัก เขาถูกทิ้งเอาไว้ในป่าเพื่อให้กลายเป็นอาหารของพวกสัตว์กินเนื้อ
โชคดีที่ฟ่านฉีมาที่นั่นทันเวลาและได้ช่วยฟ่านจัวที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้
ฟ่านฉีเป็นหนี้บุญคุณบิดามารดาของฟ่านจัว และเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณนั้น ฟ่านฉีจึงตัดสินใจรับเลี้ยงฟ่านจัวเอาไว้ อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บบนร่างกายของฟ่านจัวรุนแรงกว่าที่เขาคิดไว้มาก และมันก็ทำให้เขาทรุดตัวลงทุกวัน เพื่อปกป้องฟ่านจัว ขณะเดียวกันก็เพื่อให้เขาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ฟ่านฉีจึงได้ประกาศต่อคนอื่นๆ ว่าบุตรชายที่แท้จริงของตนเป็นบุตรบุญธรรม ส่วนฟ่านจัวนั้นก็คือบุตรชายในสายโลหิตของตนแทน
ทางหนึ่งก็เพื่อใช้สถานะบุตรชายในสายโลหิตนี้ป้องกันไม่ให้ใครมาปฏิบัติไม่ดีต่อเขา
อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของฟ่านจัวกลับติดตัวเขามาตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัย เมื่อเขาเติบโตขึ้นมันก็กลายเป็นความเจ็บปวดที่ทรมานเขาให้ป่วยกระเสาะกระแสะร่ำไป ก่อนที่เขาจะได้พบกับจวินอู๋เสีย ฟ่านจัวคิดไว้แล้วว่าชีวิตนี้ของเขาคงมีอายุอยู่ได้ไม่ยืนยาวนัก และไม่ว่าในหัวใจของเขาจะเกลียดชังเคียดแค้นสิบสองตำหนักเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่มีความแข็งแกร่งหรือพลังอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองได้
แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วเขาจะเอาปัญญาอะไรไปต่อกรกับสิบสองตำหนัก!
จนกระทั่งจวินอู๋เสียปรากฏตัวขึ้น เขาถึงได้ตระหนักว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์!
ฟ่านจัวเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองให้สหายใหม่ได้ฟัง การเปิดเผยความจริงในอดีตของเขา ทำให้เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ตกตะลึงจนดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
ฟ่านจัวพูดถูกแล้ว การที่พวกเขามีชีวิตรอดมาได้นั้นนับเป็นเรื่องโชคดีมากจริงๆ เนื่องมาจากบุรุษที่ชื่อเยี่ยนปู้กุยได้นำตัวพวกเขาไปซ่อนไว้ในสำนักศึกษาหงส์อมตะ ทุกคนจึงหลบหนีการตามล่าของสิบสองตำหนักได้สำเร็จ แต่ฟ่านจัวนั้นโชคร้ายกว่าพวกเขามาก
เขาไม่เพียงแต่เห็นมารดาของตัวเองถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา แต่ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตี คนพวกนั้นทำร้ายเขาอย่างรุนแรงจนบาดเจ็บสาหัสไปถึงแก่นพลังวิญญาณ ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างคนไร้ประโยชน์มาทั้งชีวิต
เฉียวฉู่และทุกคนต่างรู้ดีว่าความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อศัตรูฝังลึกอยู่ในหัวใจมากเพียงใด และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทำไมฟ่านจัวจึงได้ทดสอบความจงรักภักดีของพวกเขาด้วยท่าทางเช่นนั้น
“แต่ตอนนี้สิ่งต่างๆ ได้เปลี่ยนไปมากแล้ว ข้าสังเกตว่าพวกเจ้าทุกคนอยากจะค้นหาสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ ทำไมหรือ” ฟ่านจัวนิ่งสงบ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ดูราวกับทุกอย่างที่เขาพูดไปนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นไม่ใช่ตัวเขาเอง
แต่เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ไม่อาจลืมมันได้ ในเมื่อเมื่อสักครู่นี้เองที่ความเกลียดชังอันน่าสะพรึงกลัวลุกโชติช่วงอยู่ในดวงตาของฟ่านจัว
“เราอยากแข็งแกร่ง และสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิก็มีสมบัติวิเศษที่ทรงพลังที่สุดในสามโลกชั้นกลางอยู่ ตราบเท่าที่พวกเราค้นพบสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ เราก็จะได้รับพลังมากพอที่จะแก้แค้นสิบสองตำหนักได้อย่างแน่นอน!” เฉียวฉู่ตะโกนหลังสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่คิดที่จะปิดบังอะไรอีกแล้ว
ฟ่านจัวแผดเสียงหัวเราะดังลั่น
“แผนการไม่เลว แต่สุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิไม่ได้หาพบง่ายๆ หรอกนะ”
“ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหน เราก็ต้องลองดู นี่เป็นวิธีเดียวที่เราจะได้รับพลังมากพอที่จะต่อต้านสิบสองตำหนักได้” ฮวาเหยาพูดอย่างเด็ดเดี่ยว