ตอนที่ 325 หนุ่มฮ่องกงกลับฮ่องกง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 325 หนุ่มฮ่องกงกลับฮ่องกง

ในชั่วพริบตาเดียว กวนหย่งหัวก็ท่องเที่ยวไปรอบเมืองเจียงเฉิงมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว จึงต้องกลับฮ่องกงไปเตรียมตัวจัดการเรื่องการลงทุนที่เมืองเจียงเฉิง

แม้เจียงเฉิงจะเป็นมหานครใหญ่ แต่ก็เป็นเมืองที่ห่างไกลจากทะเล ขนาดเศรษฐกิจจึงเทียบกับกว่างโจวและเซินเจิ้นไม่ได้

หากตั้งโรงงานเสื้อผ้าที่นี่สักแห่ง จะสามารถจ้างแรงงานได้ในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งหมายถึงการลดต้นทุนด้วยเช่นกัน

หวังหรงรู้สึกอาวรณ์ไม่อยากให้เขาไป

ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน พวกเขาทั้งสองก็พัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นคนรักกันแล้ว แม้แต่เรื่องบนเตียงก็ผ่านมาแล้วหลายรอบ

หวังหรงกลัวว่าเขาไปแล้วจะไม่กลับมาอีก ที่ตนทุ่มเททำไปเพื่อเขาก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นหล่อนจึงฟุบหน้าร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในอ้อมกอดของเขา

เมื่อกวนหย่งหัวเห็นว่าใบหน้าราวดอกสาลี่ต้องหยาดฝนของหล่อนช่างน่ารักน่าเอ็นดู ก็พลันใจเต้นรัวไปชั่วขณะ

เขามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหล่อนหลายครั้ง กระทั่งทั้งสองเหนื่อยจนหมดเรี่ยวแรงนอนฟุบลงบนเตียงราวกับไร้วิญญาณไม่อยากขยับเขยื้อนอีก

กวนหย่งหัวกอดหวังหรงเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมเอ่ยให้คำมั่น “รอผมกลับมาจากฮ่องกง สร้างโรงงานขึ้นมาแล้ว ผมจะสู่ขอคุณอย่างถูกต้องตามประเพณี”

ปากของผู้ชาย คือภูตผีหลอกคน

หวังหรงไม่ได้เชื่อในคำสัญญาของเขาเลย

สัญญาที่ไม่รักษาคำสัจ ในสายตาของหล่อนล้วนเป็นเพียงการผายลมทั้งสิ้น

หวังหรงยังคงคร่ำครวญอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณไปแล้วจะไม่กลับมาอีก”

“ไม่มีทาง ผมจะหักใจทิ้งคุณไปได้ยังไงกัน!”

เพื่อปลอบขวัญสาวงามในอ้อมกอด กวยหย่งหัวจึงมอบเงิน 500 หยวนให้หวังหรง

เมื่อเห็นท่าทางดีใจของหวังหรง ในใจของเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานใจ

แค่ 500 หยวนก็ดีใจขนาดนี้แล้ว ที่ฮ่องกงต่อให้เป็นงานล้างจาน เงินเดือนขั้นต่ำก็สองพันกว่าหยวน

คนแผ่นดินใหญ่ยากจนจริงๆ เลี้ยงสาวสวยไว้ดูเล่นสักคนก็ไม่เลว

เพียงแค่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ของมือหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงจะเล่นได้สนุกกว่านี้

แต่ถึงจะไม่ใช่ของมือหนึ่งก็ไม่เป็นไร ขอแค่หล่อนคลอดลูกได้ก็พอแล้ว

หวังหรงไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตนถูกมองออกแล้วว่าไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และยังคิดว่าในครั้งแรกกับกวนหย่งหัวตนก็แสดงได้ไม่เลวทีเดียว

หลังจากส่งกวนหย่งหัวจากไปแล้ว หวังหรงก็ไม่กล้าอยู่ที่โรงแรมต่อไป

แม้กวนหย่งหัวจะไม่ได้พักอยู่ที่โรงแรมหรู แต่ก็เป็นโรงแรมระดับกลางที่มีค่าเข้าพักคืนละ 10 หยวน ตอนนี้หล่อนไม่อยากจะใช้เงินติดตัวไปกับสิ่งเหล่านี้

เมื่อส่งกวนหย่งหัวขึ้นเครื่องบินแล้ว หวังหรงก็มีท่าทางไม่ยินดีนัก

ไม่รู้ว่าจะกลับไปที่บ้านคุณยายหวัง หรือจะเช่าห้องอยู่เองข้างนอกดี

ขณะที่เดินผ่านร้านแผงขายหนังสือ หวังหรงก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตนรายงานเรื่องของฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายคู่ชายหญิงบัดซบนั่นกับสำนักหนังสือพิมพ์ไปแล้ว

สามสี่วันมานี้หล่อนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างบ้าง

ยัยจิ้งจอกหลินม่ายนั่นคงจะเข้าคุกไปแล้วสินะ

ฟางจั๋วหรานเองก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก ถึงจะหลบเลี่ยงคุกตารางไปได้ แต่อนาคตของเขาก็คงจะป่นปี้แล้วล่ะ

การทำตัวเป็นผู้คุ้มครองพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่ขายเสื้อผ้าเก่ามีปัญหาที่ทางราชการสั่งห้ามโดยเด็ดขาดนั้น โทษฐานไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มุมปากของหวังหรงก็ยกยิ้มขึ้นมา พลางเดินเข้าไปด้วยความเบิกบานใจ ถามคุณลุงเจ้าของแผงหนังสือ “ที่นี่มีหนังสือพิมพ์ตั้งแต่แปดวันที่แล้วจนถึงวันนี้ไหม?”

แม้ว่าสาวน้อยหน้าตาสะสวยตรงหน้าจะพูดจาด้วยน้ำเสียงไม่สุภาพและดูเจ้ากี้เจ้าการ แต่คุณลุงเจ้าของแผงหนังสือก็ไม่ได้ถือสาหาความ ในสายตาของเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการหาเงินอีกแล้ว

เขาพูดอย่างใจดี “พวกเรามีขายแค่หนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดเท่านั้น ส่วนฉบับไหนที่เกินกำหนดขึ้นแผงก็จะส่งคืนฝ่ายจัดจำหน่ายของสำนักหนังสือพิมพ์ไปนานแล้วล่ะ”

หวังหรงได้ยินเช่นนั้นก็เดินจากไปอย่างผิดหวัง ก่อนไปขอยืมโทรศัพท์ที่หน่วยงานของรัฐ เตรียมจะต่อสายไปที่ฉู่เป้าถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ของหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานคู่รักบัดซบนั่นกับหนิวลี่ลี่

หล่อนยืมโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย เพราะเป็นคนหน้าตาสวยทั้งยังแต่งตัวทันสมัย

เมื่อสาวสวยเอ่ยปาก เขาก็ให้หล่อนยืมโทรศัพท์โดยไม่ต้องคิดทันที

ทว่าน่าเสียดาย เมื่อหวังหรงโทรไป คนที่รับสายทางสำนักหนังสือพิมพ์ก็บอกกับหล่อนว่าหนิวลี่ลี่ออกไปทำการสัมภาษณ์ อาจจะกลับมาที่สำนักงานในตอนเที่ยง ให้หล่อนโทรมาติดต่อกับหนิวลี่ลี่อีกครั้งตอนเที่ยง

หวังหรงได้แต่ยอมแพ้

หลังจากวางโทรศัพท์ หล่อนก็ครุ่นคิดว่ามีวิธีไหนที่จะสามารถรู้สถานการณ์ของหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานได้อีก

ไปถามดูที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ดีไหม?

ถ้าเกิดคนอื่นสงสัยว่าที่อนาคตของฟางจั๋วหรานย่อยยับเพราะหล่อนขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?

เพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหรานไม่น้อยต่างก็รู้จักหล่อน แถมยังรู้เรื่องบุญคุณความแค้นของเขากับย่าของหล่อนด้วยเช่นกัน

ถ้าหล่อนเข้าไปถามเรื่องของเขา มันจะไม่ยิ่งส่อพิรุธหรอกเหรอ!

อย่างนั้นก็ไปถามเอาจากเพื่อนบ้านในละแวกนั้นของยัยจิ้งจอกหลินม่ายนั่นเอาก็แล้วกัน

ถ้าหลินม่ายเข้าคุกไปแล้ว พวกเพื่อนบ้านละแวกนั้นต้องรู้เรื่องใหญ่โตขนาดนี้กันแน่นอน

เพื่อนบ้านหลินม่ายพวกนั้นต่างไม่รู้จักหล่อน ถึงหล่อนไปถามหา ก็เปิดโปงอะไรไม่ได้หรอก

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังหรงก็มุ่งหน้าจากสนามบินหนานหู มาถึงถนนเจี่ยเฟิงในฮั่นโข่วทันที

เห็นร้านค้าทั้งสองของหลินม่ายมีลูกค้าเข้าออกขวักไขว่ ธุรกิจรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาแต่ไกล ก็อดรู้สึกริษยาขึ้นมาไม่ได้

เถ้าแก่เนี้ยก็ติดคุกไปแล้ว ยังมีคนไปใช้บริการที่ร้านของเธอขนาดนี้อีก

ศีลธรรมของคนพวกนี้อยู่ไหนกัน ทำไมยังอุดหนุนธุรกิจของนักโทษได้อีก?

ช่างไม่รู้จักละอายจริงๆ!

หวังหรงหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาจากในกระเป๋า และดึงเด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่งที่นั่งยองๆ อยู่หน้าร้านเข้ามาหา

หล่อนชี้ไปที่ร้านเปาห่าวชือแล้วถามขึ้น “สหายตัวน้อย ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยของร้านที่ขายซาลาเปาขายเกี๊ยวนั่นอยู่ไหนแล้วเหรอ? บอกพี่สาวหน่อยนะ เดี๋ยวพี่สาวให้กินลูกอม”

หวังหรงพูดไปพลางหยิบลูกอมผลไม้ออกมาจากกระเป๋าสองสามเม็ด แล้วเขย่ามันอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยคนนั้น

หล่อนเขย่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ดึงดูดให้เหล่าเด็กๆ สองสามคนที่อยากกินลูกอมเข้ามา

เด็กน้อยสองสามคนนั้นแย่งกันบอกหล่อน ว่าถ้าหลินม่ายไม่อยู่ที่บ้าน ก็อยู่ที่ร้านของเธอ หรือไม่ก็อยู่ที่โรงงานของเธอ

หวังหรงตกตะลึง “หล่อนไม่ได้อยู่ที่อื่นหรอกเหรอ?”

เด็กๆ พากันส่ายหน้า

ในขณะที่หวังหรงรู้สึกงุนงง เด็กน้อยคนหนึ่งก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง “น้าหลินอาจจะอยู่ที่ห้างเจียงเฉิงด้วยเหมือนกัน!”

ด้วยการเตือนสติอย่างนั้นของเขา เด็กน้อยคนอื่นๆ จึงนึกขึ้นมาได้ แล้วทุกคนต่างก็พยักหน้าอย่างแรง

เมื่อหวังหรงได้ยินพวกเขาบอกว่าหลินม่ายอาจจะอยู่ที่ห้างเจียงเฉิงด้วยแล้ว ก็เดาว่าเธอต้องไปช้อปปิ้งที่ห้างแน่

ในเมื่อยัยสารเลวนั่นยังมีอารมณ์ไปเดินห้าง อย่างนั้นก็คงไม่ได้เป็นอะไรแน่นอน

หล่อนเปิดโปงอีกฝ่ายลงหนังสือพิมพ์แล้วแท้ๆ แต่ยัยสารเลวนั่นก็ยังอยู่อย่างสงบสุขได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าจะต้องเป็นฝีมือของฟางจั๋วหรานแน่ๆ

นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าความสามารถของฟางจั๋วหรานจะมีมากมายขนาดนี้ เรื่องก็ดังไปถึงสำนักหนังสือพิมพ์แล้ว เขาก็ยังจะสามารถปิดข่าวได้อีกหรือนี่!

แม้ในใจของหวังหรงจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยกับคำพูดของเด็กน้อยเหล่านั้นอยู่

เด็กๆ พวกนี้ คนที่โตที่สุดดูแล้วอายุคงไม่เกินเจ็ดขวบ บางทีการติดคุกคืออะไรก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ข้อมูลที่พวกเขาให้มาส่วนใหญ่คงไม่ถูกต้องนัก

หล่อนเองก็ไม่ค่อยเชื่อว่าฟางจั๋วหรานจะมีความสามารถครอบจักรวาลอย่างนั้นจริงๆ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เขาก็เป็นแค่ศาสตราจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์คนหนึ่งเท่านั้น

ไปถามเอาจากผู้ใหญ่สักคนดีกว่า

หวังหรงเดินไปตรงหน้าคุณป้าสองสามคนที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยซุบซิบนินทากันอยู่ แล้วถามถึงสถานการณ์ของหลินม่ายกับพวกหล่อนอย่างมีเลศนัย

คุณป้าสองสามคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความไม่พอใจเล็กน้อย “เธอถามถึงหลินม่ายเถ้าแก่เนี้ยของเปาห่าวชือน่ะเหรอ หล่อนน่ะยิ่งอยู่ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจยิ่งทำก็ยิ่งรุ่งเรือง”

“ได้ยินว่าที่ห้างเจียงเฉิง แต่ละวันหล่อนขายเสื้อผ้าได้เป็นร้อยเป็นพันตัว รายได้วันหนึ่งอย่างต่ำๆ ก็หลายพันหยวน!”

หวังหรงฟังด้วยความตกตะลึง

ไม่ว่าตนจะยอมรับได้หรือไม่ ฟางจั๋วหรานก็มีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจริงๆ จนรับประกันได้ว่าต่อให้หลินม่ายจะทำผิดกฎหมายก็ไม่เป็นอะไร

หวังหรงกัดฟันด้วยความแค้นเคือง หล่อนต้องไปดูที่ห้างเจียงเฉิงดูสักหน่อย ว่าเสื้อผ้าของหลินม่ายขายดีแค่ไหนกันแน่!

ในตอนนั้นเอง คุณป้าคนหนึ่งก็หันกลับไปพูดขึ้น “ม่ายจื่อ เมื่อกี้มีคนมาถามหาเธอ ไม่รู้ว่าเป็นคนรู้จักของเธอหรือเปล่า”

ที่ร้านไม่มีขิง หลินม่ายที่กำลังเตรียมจะไปหยิบขิงสักชิ้นหนึ่งที่ร้านเซาเข่าของตัวเองมาทำอาหารเที่ยง เมื่อได้ยินคำพูดของคุณป้าคนนั้น เธอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนคนนั้นยังอยู่ไหมคะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หนุ่มคนนั้นเขากลับฮ่องกง แต่หล่อนจะได้เข้าห้องกรงแทนน่ะสิยัยหรง

ไหหม่า(海馬)