ตอนที่ 324 คุณป้าสกุลอู๋

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 324 คุณป้าสกุลอู๋

ในแววตาของหวังต้าหลงแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย

สาวน้อยคนนี้ไร้สามัญสำนึกเกินไปแล้ว

หนังสือพิมพ์อย่างพวกเขามาขอโทษขอโพยแล้ว อย่างน้อยเธอก็ควรพูดให้เกียรติกันสักสองสามประโยค แต่กลับแสดงออกว่ายอมรับตรงๆ โดยทันที มันชักจะเย่อหยิ่งถือตัวเกินไปแล้ว

แต่เขาเองก็กล้าตำหนิอยู่แค่ในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้าหลินม่ายแม้แต่คำเดียว

เพราะท่าทีไม่ดีของหัวหน้าถงเมื่อวานนี้ วันนี้หล่อนจึงถูกผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมและการกระจายเสียงสั่งไล่ออกตั้งแต่เช้าตรู่

เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยคนนี้มีคนหนุนหลังไม่ใช่น้อยๆ จะไปล่วงเกินไม่ได้

จากนั้นหวังต้าหลงก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ คือเราต้องการเจรจากับคุณเรื่องการชดเชยค่าเสียหายจากการหมิ่นประมาทครับ ตอนนี้คุณพอมีเวลาไหม?”

“มีค่ะ” หลินม่ายพาพวกเขาสองคนขึ้นยังห้องรับรองส่วนตัวชั้นบน

พนักงานบริการเสิร์ฟชาเก๊กฮวยกาหนึ่งให้กับพวกเขาในทันที

ทุกคนดื่มชาไปพลางพูดคุยเจรจากันไปพลาง

ความหมายของหวังต้าหลงก็คือ ทางหนังสือพิมพ์ของพวกเขาสามารถจ่ายค่าเสียหายจากการหมิ่นประมาทได้ค่อนข้างมาก

แต่เงื่อนไขก็คือ ไม่ต้องให้พวกเขาขอโทษลงหนังสือพิมพ์

หลินม่ายไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ดังนั้นจึงปฏิเสธอย่างเฉียบขาด

เธอต้องการให้พวกเขาขอโทษลงหนังสือพิมพ์ แบบนั้นถึงจะสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขาได้

ต่างฝ่ายจึงแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์

ตอนที่หลินม่ายยืนส่งพวกเขากลับไป หญิงวัยกลางคนผมสั้นหยักศก แต่งตัวชุดทำงานที่จัดแต่งอย่างประณีตคนหนึ่ง ในมือถือของขวัญและมุ่งหน้าเข้ามาในร้าน

เมื่อผู้หญิงทำงานนอกบ้านคนนั้นเห็นหวังต้าหลงและเด็กหนุ่มคนนั้น ความอึดอัดใจก็ฉายชัดบนใบหน้า

หวังต้าหลงเองก็ค่อนข้างทำตัวไม่ถูก เขาแสร้งยิ้มเอ่ยทักทาย “หัวหน้าถง อรุณสวัสดิ์ครับ”

ถงจินเหลียนได้ยินอดีตเพื่อนร่วมงานเรียกตนเช่นนั้น ก็รู้สึกว่ามันเป็นการเสียดสีกัน

ตอนนี้หล่อนไม่เพียงไม่ใช่หัวหน้า แม้แต่พนักงานของสำนักงานหนังสือพิมพ์ไม่ใช่ด้วยซ้ำ การที่เรียกอย่างนี้มันคือการตบหน้าหล่อนเลยไม่ใช่เหรอ?

แต่หล่อนก็ทำได้เพียงปั้นหน้ายิ้มตอบรับ!

หลังจากหลินม่ายส่งหวังต้าหลงและเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากร้านไปแล้ว ก็กำลังจะนำซาลาเปาไปส่งให้เด็กน้อยทั้งสองคน แต่ถูกถงจินเหลียนรั้งเอาไว้ก่อน

ถงจินเหลียนไม่ได้หยิ่งยโสเหมือนกับเมื่อวานอีกต่อไป และระมัดระวังกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเด็กใหม่ที่เข้าทำงานวันแรก เจอใครก็นอบน้อมถ่อมตนจนไร้ศักดิ์ศรี

หลินม่ายมองไปที่หล่อนอย่างเย็นชา “คุณเป็นใคร? เรียกฉันมีธุระอะไรคะ?”

ถงจินเหลียนลอบกัดฟันอยู่ในใจ

เมื่อครู่อดีตเพื่อนร่วมงานก็เรียกหล่อนว่าหัวหน้าถงแล้ว หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าเด็กสาวตรงหน้าคนนี้จะไม่รู้ว่าตนคือใคร

อีกฝ่ายจงใจ อยากจะเห็นท่าทางอับอายของหล่อน

เด็กสาวคนนี้อายุยังละอ่อน แต่จิตใจกลับชั่วร้ายนัก!

แม้ถงจินเหลียนจะโกรธจนแทบระเบิดอยู่ในใจ แต่ก็จำเป็นต้องแนะนำตัวเอง

“ฉันคือหัวหน้าถงที่คุยโทรศัพท์กับคุณเมื่อวานค่ะ ที่ฉันมาวันนี้ ก็เพื่อจะมาขอโทษคุณค่ะ”

หลินม่ายพูดอย่างเหน็บแนมเสียดสี “ที่แท้หัวหน้าถงนี่เอง เรื่องขอโทษน่ะไม่จำเป็นแล้วล่ะค่ะ เพราะฉันคงรับไว้ไม่ได้!”

พูดจบ เธอก็ให้พนักงานคนหนึ่งหยิบซาลาเปาไส้หมูให้สามลูก และหมุนตัวเดินจากไป

ถงจินเหลียนฝืนความอัปยศอดสูไล่ตามเธอ พูดด้วยความอับอาย “สหายเสี่ยวหลิน ที่ฉันมา ไม่ใช่แค่จะมาขอโทษคุณ แต่อยากให้ช่วยพูดกับผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมให้สักหน่อย ว่าอย่าไล่ฉันออกเลย”

หลินม่ายพูดอย่างโหดเหี้ยม “อย่าแม้แต่จะคิดเลยค่ะ!”

ถงจินเหลียนตามขอร้องวิงวอนอยู่ข้างหลังเป็นเวลานั้น แต่หลินม่ายก็ไม่ยอมใจอ่อน

ถงจินเหลียนพาลโมโหด้วยความอับอาย “ทำไมจิตใจของเธอถึงได้เลวทราม ทั้งยังโหดเหี้ยมขนาดนี้! ถึงไม่ให้โอกาสคนอื่นได้แก้ไขเลยสักครั้ง!”

หลินม่ายหยุดฝีเท้าลง “ตอนนี้เธอก็รู้ธาตุแท้ของฉันแล้วสินะ ฉะนั้นก็อย่ามาขอร้องฉัน รีบไปให้พ้นซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมว่าเธอมาตามราวีฉัน แล้วเธอจะซวยหนักกว่านี้!”

เธอเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด หล่อนโอหังอวดดีกับคนอื่นได้ แต่คนอื่นกลับไม่สามารถปฏิเสธคำขอของหล่อนได้ ไม่อย่างนั้นก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ

อย่างนั้นก็ใจจืดใจดำให้หล่อนดูไปเสียเลย!

ถงจินเหลียนได้ยินคำพูดนั้นก็ตกใจจนหน้าซีด ไม่กล้าตามตื๊อหลินม่ายอีกต่อไป ได้แต่ยืนมองเธอเดินจากไปต่อหน้าต่อตา

เมื่อมาถึงหน้าประตูลานบ้านของป้าติง หลินม่ายก็แบ่งซาลาเปาไส้หมูสามลูกให้กับโต้วโต้วฉีฉีและจ้วงจ้วง

จ้วงจ้วงยังเกรงใจกับซาลาเปาไส้หมูที่หลินม่ายยื่นมาให้อยู่บ้าง เป็นโต้วโต้วกับฉีฉีนั่นเองที่คะยั้นคะยอให้เขาหยิบมันให้ได้ เขาถึงรับไว้

เด็กน้อยทั้งสามกินซาลาเปาไส้หมูกันอย่างมีความสุข ฉันมองเธอ เธอมองฉัน ยิ้มร่าด้วยความสุขสบายใจ

ตอนเที่ยง เด็กน้อยสองคนกลับบ้านของตัวเอง เมื่อเห็นในห้องนั่งเล่นมีโทรศัพท์มาเพิ่มเครื่องหนึ่ง ต่างก็ตื่นเต้นดีใจกันสุดๆ กินข้าวก็ยังต้องนั่งอยู่ข้างๆ โทรศัทพ์

หลินม่ายเองก็ไม่ได้สนใจเด็กน้อยทั้งสอง เพียงแค่กำชับพวกเขาไม่ให้เล่นโทรศัพท์กันจนพังเท่านั้น

เธอนั่งกินข้าวหันหน้าเข้าหากันกับฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานถาม “เมื่อเช้าหนังสือพิมพ์ป่ายซิ่งเซิงหัวมาหาคุณเหรอ?”

หลินม่ายกินพริกชี้ฟ้าลายเสือ เผ็ดจนเหงื่อผุดเต็มหน้า “คุณรู้ได้ยังไงคะ?”

“ประธานของสำนักงานหนังสือพิมพ์ป่ายซิ่งเซิงหัวไปขอร้องเลขาเจียงของผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรม ให้เขาช่วยไกล่เกลี่ยให้ เลขาเจียงมาหาผม ถามว่าผมจะปล่อย“ป่ายซิ่งเซิงหัว”ไป ไม่ต้องให้พวกเขาขอโทษคุณลงหนังสือพิมพ์ได้ไหม”

หลินม่ายครุ่นคิดนิ่งงันอยู่ชั่วขณะ แล้วพูดขึ้น “ยังไงเราก็ต้องเห็นแก่หน้าเลขาเจียง คุณบอกเลขาเจียงไปว่า ไม่ต้องขอโทษลงหนังสือพิมพ์ก็ได้ แต่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้เพิ่ม และต้องไล่นักข่าวที่เกี่ยวข้องออกอย่างเด็ดขาด”

ฟางจั๋วหรานกินข้าวไปสองสามคำ “ผมเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ผมเสนอไปแล้วว่าอย่างน้อยก็ต้องมีค่าเสียหายหนึ่งพันหยวน ส่วนนักข่าวที่เกี่ยวข้องคนนั้น ก็ถูกไล่ออกไปตั้งนานแล้วล่ะ”

หนึ่งพันหยวนก็ไม่น้อยแล้ว หลินม่ายพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย

หลังจากกินอาหารเที่ยงและนอนกลางวันเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ไปดูแลการรับสมัครพนักงานที่โรงงานเสื้อผ้า

การรับสมัครช่างเย็บผ้ากับคนงานติดกระดุมนั้น ให้เถาจืออวิ๋นรับหน้าที่ไป

ส่วนการรับสมัครพนักงานทำความสะอาด ลุงยามเฝ้าประตูและผู้จัดการพนักงานนั้นเป็นหน้าที่ความหลินม่าย

ที่โล่งว่างหน้าโรงงานมีผู้สมัครงานยืนอยู่จนเต็มพื้นที่ ไม่ต่างจากการรับสมัครพนักงานคราวที่แล้ว ทุกคนพากันจับกลุ่มยืนพูดคุยกัน

ตอนที่หลินม่ายเดินผ่านมา ก็ได้ยินใครบางคนเรียกเธอ

เธอหันไปมอง ก็พบว่าเป็นคุณป้าอายุราวสี่สิบปีคนหนึ่ง แต่หลินม่ายไม่ได้รู้จักกับหล่อน

คุณป้าคนนั้นปั้นหน้ายิ้มพูดขึ้น “ฉันเป็นเพื่อนบ้านของเธอ อาศัยอยู่กับพี่สะใภ้ติงน่ะ”

หลินม่ายพยักหน้า แล้วเดินไปทางห้องทำงานของตัวเอง

คุณป้าคนนั้นรอให้เธอเข้าไปในห้องทำงานแล้ว จึงพูดกับคุณป้าคนอื่นๆ ที่มาสมัครงานเป็นพนักงานทำความสะอาดข้างๆ อย่างภาคภูมิใจ “ฉันไม่ได้โม้ ฉันกับหัวหน้าโรงงานหลินเป็นเพื่อนบ้านกันจริงๆ”

คุณป้าคนอื่นๆ ต่างก็แสดงทีท่าไม่พอใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาหล่อนอย่างมาก

หลินม่ายจ้างพนักงานทำความสะอาดเพียงสี่คนต่อทั้งโรงงาน

คุณป้าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกับหัวหน้าโรงงานหลิน จะต้องได้รับเข้าทำงานแน่ อย่างนั้นก็เหลืออีกแค่สามที่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะใครจะได้ไป

เมื่อถึงเวลาบ่ายสอง การรับสมัครพนักงานก็ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ

ในตอนที่รับสมัครพนักงานทำความสะอาด หลินม่ายก็พบกับคุณป้าที่เคยทักทายเธอคนนั้น

หลินม่ายเห็นว่าหล่อนแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย พูดจาคล่องแคล่ว จึงรับหล่อนเข้าทำงาน

ตอนที่ลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัวให้หล่อน เธอก็ถาม “ชื่ออะไรคะ?”

คุณป้าพูดด้วยรอยยิ้ม “อู๋ซู่เฟิน”

หลินม่ายได้ยินนามสกุล“อู๋”นี้แล้ว ก็เหลือบมองหล่อนอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หัวเราะอยู่ในใจ

เธอนี่มันโดนงูกัดหนึ่งครั้ง กลัวเชือกฟางไปสิบปีจริงๆ

แค่ได้ยินยามสกุล“อู๋”ก็นึกถึงตระกูลเดรัจฉานของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนนั่นขึ้นมา ถึงกับสงสัยว่าป้าอู๋ตรงหน้าคนนี้กับอู๋เสี่ยวเจี๋ยวจะมีความเกี่ยวข้องกัน

ไม่มีทางเกี่ยวข้องกันได้หรอก

ชาติก่อนเธอเป็นสามีภรรยาในนามกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาทั้งชีวิต ญาติพี่น้องของตระกูลอู๋ส่วนมากเธอก็รู้จักเกือบทั้งหมด ก็ยังไม่เคยเห็นป้าอู๋คนนี้มาก่อนเลย

เรื่องนี้จะโทษหลินม่ายไม่ได้เช่นกัน เหตุผลหลักเป็นเพราะอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับตระกูลเดรัจฉานของเขาได้สร้างบาดแผลที่ไม่อาจลบเลือนให้กับเธอในชาติก่อน ดังนั้นต่อให้เกิดใหม่อีกครั้ง เธอก็ยังคงเห็นเงาคันธนูเป็นงูในจอกเหล้า(1)

เลิกงานตอนบ่าย ตอนที่ฟางจั๋วหรานมากินมื้อเที่ยงที่ร้านหลินม่าย ก็ได้นำเงินชดใช้ค่าเสียหายจากการหมิ่นประมาทหนึ่งพันหยวนที่“ป่ายซิ่งเซิงหัว”มาด้วย

หลินม่ายคิดในใจ หนังสือพิมพ์ป่ายซิ่งเซิงหัวได้รับบทลงโทษแล้ว แต่หวังหรงยังไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้เธอเลย เธอคงต้องไปเร่งรัดกับศาลเสียแล้ว

วันต่อมา เธอก็ไปที่ศาล

สหายที่ศาลบอกกับเธอ ว่าคดีที่เธอฟ้องหวังหรงลงนั้นได้ตัดสินชี้ขาดไปแล้ว และจะส่งผลการตัดสินไปให้หวังหรงในสองวันนี้ ขอให้เธออดใจรออีกไม่กี่วัน

หลินม่ายถาม “ตัดสินให้หวังหรงจ่ายค่าเสียหายให้ฉันเท่าไหร่เหรอคะ?”

สหายที่ศาลตอบ “จำเลยหวังหรงไม่ได้สร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณมากนัก ดังนั้นศาลจึงตัดสินให้หล่อนขอโทษคุณต่อสาธารณะ และให้จ่ายชดใช้ค่าเสียหายในการหมิ่นประมาทต่างหาก 50 หยวน”

หลินม่ายไม่นึกว่าจะให้ชดใช้เล็กน้อยแค่นี้ จึงค่อนข้างผิดหวัง

……………………………………………………………………………………………………………………….

(1)เห็นเงาคันธนูเป็นงูในจอกเหล้า เป็นสุภาษิตที่เปรียบเปรยถึง การแตกตื่นตกใจกลัวไปกับจินตนาการที่ตนเองสร้างขึ้นโดยไม่สำรวจความจริงให้ถ่องแท้

สารจากผู้แปล

นึกระแวงเหมือนกันแหละค่ะกับคนแซ่อู๋ ไม่ใช่ว่าเป็นญาติกับครอบครัวนรกนั่นนะ?

ไหหม่า(海馬)