บทที่ 334 ไม่ต้องมาส่ง

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 334 ไม่ต้องมาส่ง

บทที่ 334 ไม่ต้องมาส่ง

“เธออยากไปประเทศไหน พี่จะจัดการให้เอง ถ้าเธอไปต่างประเทศแล้ว จะมีคนดูแลทุกอย่าง”

ซูโย่วอี๋ไม่เคยคิดที่จะไปต่างประเทศมาก่อน แต่เมื่อฮันเจ๋อเหยียนยกเรื่องขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่ดี

เปลี่ยนสภาพแวดล้อมและเริ่มต้นใหม่

หากอยู่ในปักกิ่งต่อ เธอกลัวว่าวันหนึ่งเธอจะอดไปหาลู่เฉินไม่ได้ เธอจึงควรหลีกเลี่ยงด้วยการไปให้ไกล

“ได้ค่ะ จะไปเมื่อไหร่ดีคะ”

ฮันเจ๋อเหยียนถาม “เด็กกี่เดือนแล้ว?”

“ประมาณหนึ่งเดือนค่ะ”

“อืม” ฮันเจ๋อเหยียนพยักหน้า “อย่างช้าที่สุดตอนเด็กอายุสามดือน”

ไม่อย่างนั้น คนอื่นจะสังเกตเห็น

“โย่วอี๋ พ่อแม่กับพี่มีความคิดตรงกัน พี่ไม่รู้ว่าเธอจะยอมรับมันได้หรือเปล่า”

“บอกฉันมาเถอะค่ะ”

“เธอกับซูหยินตั้งท้องห่างกัน 1 เดือน บางทีซูหยินอาจรับดูแลลูกของเธอได้ และให้ซูหยินเป็นคนให้กำเนิดลูกแฝดแทน”

ซูโย่วอี๋หลุบตาลงเพื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็ส่ายหัว “พี่คะ ฉันต้องการเลี้ยงเด็กคนนี้เอง”

ฮันเจ๋อเหยียนขมวดคิ้ว “เธอเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ แค่ชื่อในทะเบียนบ้านของเด็กอยู่ใต้ชื่อของซูหยิน”

“ไม่ค่ะ” ซูโย่วอี๋เม้มริมฝีปากแน่น “ฉันเข้าใจว่าพี่ต้องการรักษาชื่อเสียงของฉันหรือเป็นห่วงชีวิตแต่งงานในอนาคตของฉัน และไม่อยากให้ฉันถูกใครปฏิเสธ”

“แต่สิ่งเหล่านี้สำหรับฉัน มันไม่สำคัญเลย ในชีวิตนี้ฉันไม่คิดอยากจะแต่งงานแล้วค่ะ”

ฮันเจ๋อเหยียนได้ยินน้ำเสียงของน้องสาวที่หนักแน่นก็เข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอีก “ก็ถ้าเธอตัดสินใจแล้ว”

วันเวลาผ่านไป เวลาที่จะไปต่างประเทศก็ใกล้เข้ามาทุกที

ฮันเจ๋อเหยียนจัดการทุกอย่างเรียบร้อยและได้พาสปอร์ตมาแล้ว ซูโย่วอี๋มองดูหนังสือสีแดงในมือของเธอและตัดสินใจบอกลาซูหยิน

เธอแลกเปลี่ยนเม็ดช็อกโกแล็ตกับยาบำรุงกำลังในระบบ และพวกมันบังเอิญส่งมันมาพร้อมกัน

ซูหยินเปิดประตูและกอดซูโย่วอี๋อย่างตื่นเต้น “ที่รัก”

ซูโย่วอี๋หอบข้าวของมามากมาย “หยินหยิน ให้ฉันเข้าไปข้างในก่อนสิ”

หลังวางของลง ทั้งสองก็คุยกันสักพัก ซูโย่วอี๋ถามถึงสุขภาพของเด็กในท้องซูหยิน

หูของซูหยินแทบจะบอบช้ำทันทีที่ได้ยิน “ที่รัก อย่าทรมานฉันเลย ตั้งแต่ท้อง ทุกคนก็เอาแต่พูดถึงแต่ลูก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูโย่วอี๋จางหายไป “ถ้าฉันไม่พูด ฉันกลัวว่าจะไม่มีโอกาสคุยกับเธออีกแล้ว”

ท่าทีล้อเล่นของซูหยินค่อย ๆ ลดลง “เธอจะไปไหน?”

“ต่างประเทศ คงไม่กลับมาปักกิ่งสักพัก”

อย่างน้อยก็จะไม่กลับมาก่อนที่ลูกจะเกิด

ซูหยินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมเธอถึงอยากไปต่างประเทศ? ไปทำงานเหรอ?”

“ไม่ใช่”

“ฉันท้อง” ซูโย่วอี๋ก้มลงมองที่ท้องของเธอ “อายุน้อยกว่าลูกของเธอหนึ่งเดือน”

“ฉันรู้ว่าเธอมีคำถามมมากมาย แต่ฉันบอกไม่ได้ และฉันไม่อยากโกหกเธอ เธอแค่ต้องรู้ว่าฉันแต่งงานกับพ่อของเด็กไม่ได้”

ถ้าทำแบบนี้ เด็กคนนี้ก็จะกำพร้าพ่อไม่ใช่เหรอ?

ซูหยินจับมือของซูโย่วอี๋ทันที “มันมีวิธีหรือเปล่า อย่าง… ทำแท้ง?”

ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างนุ่มนวล “ไม่ ฉันรักเขา”

ซูหยินบอกไม่ได้ว่าที่ซูโย่วอี๋บอกว่ารักหมายถึงลูกหรือพ่อของลูกกันแน่ แต่พอเห็นหน้าเพื่อนของเธอมีความสุข ซูหยินก็พูดห้ามปรามไม่ลง

“เธอจะเดินทางเมื่อไหร่?”

“วันศุกร์หน้า”

ซูหยินลังเลอย่างมาก “ถ้าเธอรีบร้อนขนาดนั้น เธอคงไม่ได้อยู่เห็นวันที่จิวจิ่วเกิด”

“จิวจิ่ว?”

“อืม ฉันกับคนโง่ไปดูมาแล้ว เธอเป็นเด็กผู้หญิง ฉันเลยตั้งชื่อเล่นว่าจิวจิ่ว”

ซูโย่วอี๋วางหัวของเธอไว้ที่ท้องของซูหยิน “สวัสดีจิวจิ่ว ฉันคือแม่โย่วอี๋ เธอต้องจำเสียงของแม่ทูนหัวของเธอไว้นะ”

ซูโย่วอี๋ไม่ทันตอบสนอง แต่ท้องที่เธอแนบหัวอยู่ จู่ ๆ ก็กระเพื่อมขึ้นอย่างกระทันหัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็พูดอย่างว่างเปล่าว่า “หยินหยิน จิวจิ่วเตะฉัน เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดด้วยแหละ”

ซูหยินรู้สึกขบขันกับความโง่ของเธอ “เธอเองก็เป็นแม่เหมือนกัน เธอไม่รู้เหรอว่าลูกจะเตะเธอ?”

ซูโย่วอี๋เล่าอย่างละเอียดว่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน

ลูกน้อยของเธอเงียบตลอดเวลา ซูโย่วอี๋จึงแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขาเลย

ซูหยินนึกสนุกจึงพูดกับท้องของซูโย่วอี๋ว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เธอต้องเป็นคนดีนะ อย่าให้แม่ต้องลำบาก เธอต้องเห็นใจแม่ที่ทำงานหนักนะ รู้ไหม?”

“เป็นเด็กดีล่ะ”

หลังจากเธอพูดจบก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ

ก่อนจากไป ซูโย่วอี๋กำชับอีกหลายรอบให้ใส่ใจกับการใช้ยาที่เธอได้มาจากระบบ “หยินหยิน ไม่ต้องมาส่งในวันที่ฉันไปหรอกนะ มันคงไม่สะดวกสำหรับคนที่กำลังตั้งครรภ์อย่างเธอ”

ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายในวันนั้น

ซูหยินกอดเธอแน่นอีกครั้ง “โย่วอี๋ ดูแลตัวเองด้วยนะ”

ในวันศุกร์ ครอบครัวฮันทั้งหมดพากันไปส่งซูโย่วอี๋ ตอนนั้นเองที่ฮันเจ๋อหยางได้รู้ว่าซูโย่วอี๋กำลังจะไปต่างประเทศในวันนี้

“มันเกินไปแล้ว ไม่มีใครบอกเรื่องใหญ่แบบนี้กับผมเลย ทำกันเกินไปแล้ว”

อาจเป็นเพราะการพรากจากกันที่ใกล้เข้ามา ซูโย่วอี๋จึงไม่รำคาญฮันเจ๋อหยางมากนัก “พวกเราทุกคนคิดว่าพี่รู้อยู่แล้ว”

ฮันเจ๋อหยางกอดอกอย่างไม่พอใจ “ฉันคิดว่าจะมีคนบอกฉัน แต่กลับไม่มีใครบอกฉันเลย”

“ก็แน่ล่ะ การไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังไงฉันก็ต้องกลับมาอยู่ดี”

อย่างไรก็ตาม ฮันเจ๋อหยางยังไม่พอใจ

ฮึ่ม

ครอบครัวไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาเลย!

ให้ตายเถอะ ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ

พอถึงสนามบิน จากคนที่โอดครวญที่สุดก็ต้องกลายเป็นคนช่วยย้ายของ

กระเป๋าของซูโย่วอี๋ถูกแพ็คโดยคุณนายฮัน ซึ่งในนั้นมีอะไรไม่มากนัก

แต่เมื่อฮันเจ๋อเหยียนย้ายของลง กระเป๋าเดินทางกลับมีทั้งหมดเจ็ดใบ

ซูโย่วอี๋ถึงกับตกตะลึง “กระเป๋าพวกนี้เป็นของใครคะ?”

คุณนายฮันหน้าแดง “พ่อกับแม่ไม่ได้ไปประเทศนี้มานานแล้ว เลยถือโอกาสนี้ไปที่นั่นกับลูกด้วยน่ะ”

ซูโย่วอี๋รู้ว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับการที่เธออยู่คนเดียว “แม่คะ หนูอยู่เองได้ค่ะ”

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง”

คุณนายฮันกำลังจะบอกว่าเธอไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว แต่พอเห็นฮันเจ๋อหยางที่ด้านข้าง เธอก็กลืนคำพูดกลับลงไป

ไม่ใช่ว่าพวกเขาจงใจซ่อนมันจากฮันเจ๋อหยาง แต่พวกเขารู้นิสัยของลูกชายคนเล็กดี ถ้าบอกลูกคนนี้มีหวังหลุดปากตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว

เพื่อความปลอดภัย การไม่พูดอะไรคงดีกว่า

ดวงตาที่คมปลาบของฮันเจ๋อหยางมองไปที่คุณนายฮัน ราวกับว่าเขากำลังโกรธอยู่ “แม่ แม่กำลังปิดบังอะไรผมอยู่ใช่ไหม?”

ฮันเจียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เจ๋อหยาง เรากำลังจะไปแล้ว ลูกอยู่ที่บ้าน ลูกควรฟังเจ๋อเหยียนไว้ สร้างปัญหาให้น้อยลงหน่อย และถ้าไม่มีอะไรก็ไปทำงานให้มากขึ้น หรือไปรายการวาไรตี้ก็ได้”

“อย่าเอาแต่ล่องลอย ท่องอินเทอร์เน็ตไปวัน ๆ ฐานแฟนของลูกแทบจะหายไปเกือบหมดแล้วรู้ไหม”

ฮันเจ๋อหยางพูดอย่างง้องแง้งว่า “ไม่ใช่ว่ายังมีน้องสาวอีกคนเหรอ?”

ในเวลานั้น ฮันเจ๋อเหยียนพลันชำเลืองมอง “เข้าไปข้างในเถอะครับ เครื่องบินกำลังจะออกแล้ว”

หลังจากเช็คอินสัมภาระแล้ว ซูโย่วอี๋กับคู่สามีภรรยาฮันก็ไปจุดตรวจสอบความปลอดภัย

ฮันเจ๋อเหยียนและฮันเจ๋อหยางยืนอยู่ไม่ไกล โบกมือให้พวกเขา

“ประธานฮัน บังเอิญจัง”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ซูโย่วอี๋ก็หันศีรษะไปทันที ลู่เฉิน!

เขาสวมชุดสูทสีดำสุดหรูหราแสดงสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบของเขา

ฮันเจ๋อเหยียนกำลังพูดคุยกับลู่เฉิน ขณะที่ให้มองดูพ่อแม่และน้องสาวที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัย

เมื่อเห็นซูโย่วอี๋มองกลับมาที่เขา ก็คิดว่าเธอคงมีอะไรจะพูดกับเขา “คุณลู่ครับ รอสักครู่ น้องสาวผมมีเรื่องจะถามผมน่ะ”

จากนั้นเขาก็เดินไปที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัย

ลู่เฉินเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง ขณะหันไปด้านข้างอย่างช้า ๆ และพบกับสายตาของซูโย่วอี๋

ลู่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขามองไปที่หญิงสาว เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด

ผู้ช่วยเตือนว่า “ประธานลู่ นี่คือคุณซูโย่วอี๋ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองของเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นฮันโย่วอี๋แล้วครับ”

เธอนี่เอง!

น่าแปลกที่ลู่เฉินรู้ข้อมูลของซูโย่วอี๋บนอินเทอร์เน็ตทุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถโต้ตอบเมื่อเห็นเธอจริง ๆ

ลู่เฉินพยักหน้าให้ซูโย่วอี๋เพื่อเป็นการทักทาย

ซูโย่วอี๋หันกลับมาราวกับตื่นขึ้นจากความฝันและไม่กล้ามองกลับไปอีก

เธอเข้าสู่จุดตรวจรักษาความปลอดภัยถัดไปอย่างรวดเร็ว ตัดขาดจากทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก

ฮันเจ๋อเหยียนที่เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกแปลก ๆ เมื่อกี้นี้น้องสาวมองมาที่เขาไม่ใช่เหรอ?

ที่ด่านตรวจรักษาความปลอดภัยไม่มีใครอยู่แล้ว ทางฮันเจ๋อหยางก็พูดว่า “กลับไปนอนละนะ พ่อแม่ไม่อยู่ทั้งที ผมจะเล่นเกมทั้งคืนเลย”

ฮันเจ๋อเหยียนมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ก็ลองดูสิ”

จากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากสนามบินกันไป

เช้าตรู่ของอีกวัน ขณะเครื่องบินลงจอดที่สนามบินปลายทาง ซูโย่วอี๋นอนไม่หลับตอนอยู่บนเครื่องบิน ตอนนี้เธออยู่ในสภาพที่แย่มาก

โชคดีที่ทันทีที่พวกเขาออกจากสนามบินก็มีคนมาพบพวกเขาและส่งพวกเขาไปที่บ้านพักแห่งหนึ่ง

บ้านหลังนี้สะอาดเป็นระเบียบ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือห้องของซูโย่วอี๋เกือบจะเหมือนกับห้องของเธอที่ประเทศจีนทุกประการ

คุณนายฮันเฝ้าดูเธอหลับไปอย่างเป็นห่วง “ลูกกลัวไหม? อยากให้แม่นอนกับลูกรึเปล่า?”

ซูโย่วอี๋ดื่มนมร้อนเสร็จ “แม่คะ หนูโตแล้วนะ”

“โตแล้วก็กลัวได้ ถ้าลูกกลัวก็เรียกแม่ล่ะ แม่เป็นคนตื่นง่าย แม่จะได้ยินเสียงของลูกเอง”

“ตกลงค่ะ”

ว่าแล้วคุณนายฮันก็ปิดไฟและเดินออกไปอย่างแผ่วเบา

ในทางตรงกันข้าม ซูโย่วอี๋ไม่รู้สึกอึดอัดใด ๆ และผล็อยหลับไปในไม่ช้า

พ่อกับแม่ตามเธอมาต่างประเทศด้วย ทำให้เธอรู้สึกสบายใจมาก

ไม่อย่างนั้น ซูโย่วอี๋ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเธอจะสามารถอยู่ในต่างประเทศอย่างเป็นอิสระได้อย่างที่เธอพูด

วันต่อมา คนตระกูลฮันต่างตื่นสาย

เมื่อซูโย่วอี๋ลงไปข้างล่าง เธอได้ยินเสียงในครัวจึงคิดว่าเป็นคุณนายฮันกำลังทำอาหารเช้า แต่เมื่อเธอลงไป เธอกลับพบว่าเป็นคุณป้าผิวดำคนหนึ่ง

อีกฝ่ายมีตาโตสองชั้น ปากหนา และมีผ้ากันเปื้อนคาดรอบเอว

ซูโย่วอี๋ถามอย่างสงสัย “คุณคือใครคะ?”

“ฉัน… ชื่อเอเลน่า และฉันเป็น… พี่เลี้ยงเด็กค่ะ”

คุณป้าผิวดำพูดภาษาจีนแปร่ง ๆ และเธอก็ติดขัดหลายครั้งหลังพูดเพียงไม่กี่คำพลางยกมือทำท่าทางขณะพูด

ซูโย่วอี๋พยักหน้าเพื่อแสดงว่าเธอเข้าใจ

คุณป้าผิวดำชี้ไปที่ห้องครัว “ข้าวเช้าตรงนั้นอยากกินไหมคะ?”

นี่น่าจะเป็นภาษาจีนไม่กี่คำที่คุณป้ารู้ในตอนนี้

ซูโย่วอี๋เอามือแตะจมูกด้วยความลำบากใจ ก่อนที่จะมาที่นี่ เธอไม่เคยคิดถึงปัญหาด้านภาษามาก่อน

โชคดีที่เธอเดาได้ว่าป้าผิวดำกำลังถามเธอว่าจะกินอะไร เธอจึงเดินไปที่ครัวเพื่อดูรอบ ๆ ซึ่งป้าผิวดำก็กำลังทำโจ๊กอยู่จริง ๆ

จากนั้นเธอตอบกลับไปว่า “ตกลงค่ะ”

คุณป้าผิวดำยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “ตกลง”

ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากข้างหลัง คู่สามีภรรยาฮันตื่นแล้ว

คุณนายฮันมองไปที่ผิวของซูโย่วอี๋ก่อนเพื่อยืนยันว่าเธอสบายดี จากนั้นก็มองไปที่พี่เลี้ยงคนใหม่และสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษล้วน

เห็นได้ชัดว่าพี่เลี้ยงเกร็งเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับคู่สามีภรรยาฮัน

ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ ดังนั้นเธอจึงไปนั่งที่โต๊ะอาหารและรออาหารเช้า

ไม่นาน คุณนายฮันก็เข้ามา “เจ๋อเหยียนเป็นคนเลือกพี่เลี้ยงเด็กเป็นพิเศษ เธอทำอาหารจีนเก่ง แต่เธอพูดภาษาจีนไม่ได้”

ด้วยวิธีนี้ ซูโย่วอี๋จึงต้องฟังคู่สามีภรรยาแปลก่อนจึงจะสั่งอะไรได้

ความรู้สึกแบบนี้มันอึดอัดชะมัด