บทที่ 335 จะคลอดแล้ว
บทที่ 335 จะคลอดแล้ว
ซูโย่วอี๋อยากหาเวลาเข้าไปในระบบเพื่อดูว่ามีวิธีทำให้เรียนภาษาอังกฤษได้เร็วบ้างไหม เธอจะได้รีบแก้ไขปัญหาด้านภาษานี่
เหมือนว่าคุณนายฮันจะดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไร จึงแนะนำขึ้น “เสี่ยวอี๋ ลูกอยากเรียนภาษาอังกฤษไหม?”
“ถ้ากังวลว่าจะเหนื่อยเกินไป จะเชิญอาจารย์ให้มาสอนที่บ้านก็ได้นะจ๊ะ ในเมือง A มีสถาบันฝึกอบรมดี ๆ อยู่หลายแห่งเลยนะ”
ซูโย่วอี๋คิดไปคิดมาก็ตอบตกลงไป
ถ้าหากเธอได้ทักษะภาษาอังกฤษมาจากในระบบ เธอคงต้องหาเหตุผลมาอธิบายกับพ่อกับแม่ถึงสาเหตุที่พูดได้ไวขนาดนี้อีก
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ คุณฮันถามพวกเธอว่าอยากจะออกไปเดินเล่นไหม แต่ซูโย่วอี๋ปฏิเสธไป
ตอนนี้ไม่มีเรื่องไหนใหญ่ไปกว่าเรื่องภาษาอีกแล้ว อีกทั้งเธอรู้ว่าที่พ่อกับแม่มาที่อเมริกา ไม่ได้มาเพื่อรอให้เธอคลอดเท่านั้น แต่พวกเขามาจัดการงานที่เกี่ยวกับฮันกรุ๊ปในอเมริกาด้วย
“พ่อคะ แม่คะ หนูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ หนูท้อง ไม่ได้ป่วย หนูดูแลตัวเองได้ ทั้งสองคนมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะค่ะ”
คุณฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตกลง”
พอซูโย่วอี๋กลับมายังห้อง เธอก็แกล้งทำเป็นอ่านหนังสือ เมื่อแน่ใจว่าพ่อกับแม่จากไปแล้ว เธอจึงได้ล็อกประตูห้องและเข้าสู่ระบบ
“เจ้าจิ้งจอกเน่า มานี่สิ บอกทีว่าพอมีวิธีไหนบ้างที่ฉันจะสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้เร็วมากขึ้น?”
สุนัขจิ้งจอกเงยหน้ามองอย่างขี้เกียจ [ฟังให้เข้าใจนั้นง่ายมาก ในระบบมีอุปกรณ์มากมายที่คล้ายกับการแปลภาษา ซึ่งจะแปลคำพูดของอีกฝ่ายและส่งตรงไปยังสมองของคุณ]
[แต่ฟังเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าจะพูดได้นะ]
[ไม่งั้นก็ลองไปจับฉลากดูสิ ถ้าหากจับได้ทักษะการพูดภาษาอังกฤษมา คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดได้เลย]
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดไปถึงไหนต่อไหน สุนัขจิ้งจอกยิ้มอย่างชั่วร้าย [ไม่ใช่ว่าคนจีนอย่างพวกคุณชอบพูดว่าคนท้องเป็นคนที่โชคดีมากที่สุดเหรอ?]
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่ามันไม่ค่อยปกติ ครั้งที่แล้วที่จับได้ [ยาอายุวัฒนะ] ก็เป็นเพราะพระเจ้าอวยพรให้ เธอจึงไม่กล้าหวังอะไรอีกแล้ว
“ฉันว่าฉันไปทำภารกิจดีกว่า ไม่ก็ไปเล่นบทบาทของตัวละครอะไรก็ได้”
สุนัขจิ้งจอกส่ายหน้า [ไม่ได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะภารกิจอะไร คุณก็ทำไม่ได้]
“ทำไมล่ะ?”
ซูโย่วอี๋สับสน
อยากจะโกงก็ทำไม่ได้งั้นเหรอ
สุนัขจิ้งจอกถอนหายใจออกมา [ตามหลักมนุษยธรรม ระบบไม่รองรับให้คนท้องเข้าร่วมภารกิจใด ๆ ทั้งนั้น]
นี่…
ซูโย่วอี๋กลอกตา “นี่มันเลือกปฏิบัติชัด ๆ!”
[นายท่านเป็นผู้กำหนด คนดูแลระบบตัวเล็ก ๆ อย่างฉันไม่มีอำนาจที่จะคัดค้านได้]
[คุณเรียนอยู่ที่บ้านดี ๆ เถอะ จุดสำคัญของการเรียนภาษาก็คือสภาพแวดล้อม สื่อสารให้มาก ถ้าคุณไม่มีอะไรทำก็ฝึกกับพี่เลี้ยงไปเลย]
ซูโย่วอี๋ยังไม่ยอมแพ้และไปจับฉลาก แต่สุดท้ายก็เสียโอกาสไปเปล่า ๆ หลายครั้ง
“ช่างเถอะ เริ่มต้นจากศูนย์ก็ได้”
วันที่อาจารย์มาที่บ้าน คู่สามีภรรยาฮันไม่อยู่บ้าน แต่คุณนายฮันโทรศัพท์มาหาซูโย่วอี๋และบอกให้เธอเตรียมตัวให้ดี
พอเสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้น พี่เลี้ยงรีบไปเปิดประตูในทันที
ซูโย่วอี๋ยืนอยู่ในห้อง สายตามองไปยังผู้ชายนอกรั้วที่มีผิวขาวเปล่งประกาย
เส้นผมสีน้ำตาลถูกหวีไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา
ในมือของเขาถือกระเป๋าทำงานสีดำ ให้ความรู้สึกของความเป็นผู้ดี
พี่เลี้ยงพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาในห้องอย่างกระตือรือร้น
ซูโย่วอี๋มัดผมเสร็จก็ลงมาชั้นล่าง เห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางห้อง เขาสูงจนทำให้ห้องดูคับแคบ
พอเขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่มาถึง รูม่านตาของเขาก็กระตุกและกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขายื่นมือมาทางซูโย่วอี๋ “คุณหนูฮันสวัสดีครับ ผมชื่ออัลวินครับ”
เขาพูดภาษาจีนได้อย่างชัดเจน
ซูโย่วอี๋ยื่นมือออกไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ… ฮันโย่วอี๋”
จากนั้นพี่เลี้ยงพาทั้งสองคนไปยังห้องหนังสือแล้วเสิร์ฟน้ำชาให้ พร้อมทั้งเปิดประตูให้กว้าง
ราวกับว่าอัลวินจะไม่รู้สึกเลยว่าเจ้าบ้านกำลังระมัดระวังในตัวของเขาอยู่ เขาเริ่มสอนขึ้นในทันที
“คุณหนูฮัน เราพึ่งเจอกันครั้งแรก ผมเลยอยากทราบพื้นฐานภาษาอังกฤษของคุณน่ะครับ”
พูดจบก็หยิบแบบทดสอบออกมาจากกระเป๋า บนนั้นมีตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่เต็มไปหมด
ซูโย่วอี๋ไม่ขยับ “อัลวิน จุดประสงค์ของฉันไม่ใช่การสอบ แต่เน้นการพูดสื่อสารค่ะ เรื่องของพื้นฐานตอนอยู่ที่ประเทศจีน ฉันเรียนถึงชั้นมัธยมปลาย คะแนนภาษาอังกฤษไม่ดี และเวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว ฉันคงจะลืมไปหมดแล้วล่ะค่ะ”
“คุณเริ่มสอนจากระดับเริ่มต้นได้เลยค่ะ”
อัลวินนิ่งไปครู่หนึ่ง แน่นอน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าซูโย่วอี๋จะเรียนถึงแค่ระดับมัธยมปลาย
และไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดเรื่องประวัติการเรียนของตัวเองออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ เขานึกว่าคนทั่ว ๆ ไปจะแอบซ่อนประวัติการเรียนระดับต่ำ ๆ ที่รู้สึกไม่ภูมิใจของตัวเองเอาไว้เสียอีก
นั่นทำให้อัลวินรู้สึกประทับใจในตัวของเธอมากขึ้น จึงรีบปรับแผนการสอนตามที่ซูโย่วอี๋ต้องการอย่างรวดเร็ว
“โอเคครับ งั้นการเรียนการสอนต่อไปพวกเราจะเอาตามแผนนี้นะครับ ช่วงที่หนึ่งเรียนรู้พื้นฐานของสัญลักษณ์การออกเสียง เรียนรู้การสะกด การพูด การอ่าน การเขียน”
“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นที่สำคัญมากที่สุด ถ้าคุณเรียนสัญลักษณ์การออกเสียงจนได้ ก็เท่ากับว่าคุณมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว”
“สอง เก็บสะสมคำศัพท์ให้มาก ๆ”
“และสุดท้ายก็คือการสนทนา โดยปกติแล้วตลอดทั้งการเรียนผมจะใช้แค่ภาษาอังกฤษตลอด แน่นอนว่าผมจะใช้คำศัพท์ที่ง่ายมากที่สุด”
ซูโย่วอี๋ไม่มีปัญหาอะไรกับแผนการสอน เธอรู้สึกได้ว่าอัลวินคนนี้มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก
หลังจากเริ่มเรียน อัลวินก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน การฟังบทเรียนกว่าสิบนาทีก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างเรียน เขาให้พักสิบนาที
อัลวินจึงพยายามพูดคุยอย่างเป็นกันเอง “ทำไมตอนแรกคุณถึงไม่เลือกเรียนต่อล่ะครับ?”
จากมุมมองของเขา ตระกูลฮันก็ไม่ได้ขาดเงินอะไร
ซูโย่วอี๋ยิ้มเพียงเท่านั้น ไม่ได้อธิบายอะไร
“ขอโทษทีครับ ผมหยาบคายไปเอง”
การเรียนในครั้งแรกจบลงไปอย่างมีความสุข
อัลวินเดินออกไปจากบ้านพัก เขาหยุดยืนมองเข้าไปด้านในอยู่สองวินาทีก่อนจะจากไป
เขาไม่ได้กลับบ้าน แต่กลับขับรถไปยังบริษัท ส่วนผู้ช่วยที่ได้รับโทรศัพท์ก็มารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
“คุณอัลวิน เรื่องที่คุณให้ผมหาเมื่อครู่นี้อยู่ในนี้หมดแล้วครับ”
อัลวินรับมาดู
“คนที่สั่งคือประธานฮัน?”
ผู้ช่วยพยักหน้า “ใช่ครับ เมื่อสองวันก่อนประธานฮันมาที่บริษัทด้วยตัวเอง เงื่อนไขแรกที่เขาต้องการคือผู้สอนต้องมีเชี่ยวชาญภาษาจีน ต้องเป็นผู้หญิง และเป็นคนที่มีอารมณ์คงที่”
อัลวินขมวดคิ้ว “ทำไมออเบรย์ถึงส่งรายชื่อผมไปได้ล่ะ?”
บริษัทนี้ก็มีอาจารย์ผู้หญิงที่เชี่ยวชาญภาษาจีนอยู่นี่
ผู้ช่วยอธิบาย “ประธานฮันให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ออเบรย์เลยกังวลว่าอาจารย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปจะทำงานนี้ได้ไม่ดีพอ จึงส่งคุณมาทำน่ะครับ”
อัลวินเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เขาเกือบจะมีอำนาจมากที่สุดอยู่แล้ว
พอพูดคุยเรื่องงานจบ ผู้ช่วยพุ่งตัวมาตรงหน้าเขาและพูดติดตลก “อัลวิน คนที่คุณสอนเป็นผู้หญิงใช่ไหม?”
“สวยหรือเปล่า?”
อัลวินทำท่าทางจริงจังและผลักเขาออก “ไม่ได้ตั้งใจดู”
ผู้ช่วยบุ้ยปาก งั้นก็คงจะไม่สวยสินะ
คนสวยใคร ๆ ก็อยากมองกันทั้งนั้น
ตารางเรียนของซูโย่วอี๋ถูกจัดไว้แน่นขนัด ใช้เวลาเรียนห้าวันในแต่ละสัปดาห์ ทำให้ทักษะภาษาอังกฤษของเธอพัฒนาไปมาก
แต่ตอนนี้ซูโย่วอี๋รู้สึกงุนงงกับสัญลักษณ์การออกเสียง ๆ หนึ่ง
อัลวินได้ออกเสียงให้ฟังหลายครั้ง ซูโย่วอี๋ก็ยังคงหาการออกเสียงในแบบที่ถูกต้องไม่เจอ
อัลวินจึงหมดหนทาง “คุณดูดี ๆ นะครับ ตำแหน่งลิ้นของผมกับกล้ามเนื้อภายในปากมันสั่น”
พูดจบก็อ้าปากออก
เพื่อให้ซูโย่วอี๋มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น อัลวินค่อย ๆ เชิดค้างขึ้น จนจมูกอยู่ตรงกับซูโย่วอี๋พอดี
และออกเสียงออกมา ดูยังไงก็น่าตลก
ซูโย่วอี๋กลั้นไม่ไหวจนหัวเราะออกมา
พอรู้ตัวเธอก็รีบเอามือปิดปากตัวเอง “ขอโทษค่ะ”
แต่ภายใต้น้ำเสียงเบื่อหน่ายของอัลวินกลับเต็มไปด้วยความหลงใหลที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว “จริงจังหน่อยครับ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างว่าง่าย ใบหน้าตอนนี้มันช่างงดงามจริง ๆ
“วันนี้เรียนถึงเท่านี้ก่อน คุณทบทวนด้วยตัวเองสักครู่หนึ่งก่อนนะ”
อัลวินเริ่มเก็บของ ซูโย่วอี๋ขยับตัวและลุกขึ้น ตากลับไม่ระวังจนชนเข้ากับขอบโต๊ะ
สีหน้าของเธอซีดลงด้วยความตกใจและรีบลูบที่ท้องเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
สายตาของอัลวินมองไปยังมือของเธอ ผ่านไปสักพักก็ตัดสินใจพูดออกมา “คุณท้องเหรอครับ?”
“ค่ะ”
มือของอัลวินกำแน่น เขาหยิบกระเป๋าทำงานและเดินออกไปทันที
ตอนนี้ท้องของซูโย่วอี๋ค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ คุณนายฮันจึงพาเธอไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชน และตรวจครรภ์ทุกวัน
แม้ว่าซูโย่วอี๋จะรู้ว่าเด็กในท้องนั้นแข็งแรงดีอยู่แล้วก็ตาม
แต่ซูโย่วอี๋มักจะคิดถึงลู่เฉินอยู่ตลอด… แต่กลับพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปค้นหาข้อมูลข่าวคราวอะไรที่เกี่ยวกับเขา
เด็กโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ซูโย่วอี๋รู้สึกอ่อนเพลีย เธอมักจะง่วงนอนบ่อย ๆ และหลับไปโดยไม่รู้ตัว
มีครั้งหนึ่งที่เธอกำลังเรียนอยู่ดี ๆ เธอก็หลับไปบนเก้าอี้
อัลวินหยิบหนังสือขึ้นมาและมองเธออยู่เนิ่นนาน จนสุดท้ายก็ค่อย ๆ ปลุกให้เธอตื่น “อย่าหักโหมมากเกินไปนะครับ รอให้เด็กคลอดออกมาก่อนแล้วค่อยเรียนก็ได้”
ตั้งแต่วันนั้นมา ซูโย่วอี๋ลดเวลาเรียนลง จากสัปดาห์ละห้าวันเป็นสัปดาห์ละสองวัน วันนึงจากสองชั่วโมงก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งชั่วโมง
จนผู้ช่วยของอัลวินบ่น “เวลาน้อยนิดแต่ความต้องการสูง อัลวิน คุณส่งคนของตระกูลฮันคนนี้ไปให้คนอื่นสอนเถอะ”
อัลวินไม่ได้ตอบกลับ ผู้ช่วยจึงรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วย
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปและฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง
ซูหยินคลอดลูกสาวในเดือนกันยายน และตั้งชื่อเธอว่ากู่ไน่เซิง
ซูโย่วอี๋วิดีโอคอลหาซูหยินตลอดเวลาในระหว่างที่เธอคลอด
ซูหยินดูเจ็บปวดมาก เมื่อเธอเห็นซูโย่วอี๋ที่อยู่ในโทรศัพท์ของกู่อวี่เฉิงก็พูดขึ้น “[ที่รัก เวลาน่าอายขนาดนี้ เธอช่วยไว้หน้าฉันบ้างได้ไหม?]”
ซูโย่วอี๋รู้สึกประหม่ามาก “เธอสวยจะตาย อย่าพึ่งพูดอะไรเลย”
เสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้น ทำให้มือของซูโย่วอี๋เต็มไปด้วยเหงื่อ
จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
พยาบาลอุ้มทารกมาวางไว้บนอกของซูหยิน เมื่อสัมผัสตัวอ่อนนุ่มของทารกก็ทำให้หัวใจของซูหยินหลอมละลาย
เธอมองไปยังโทรศัพท์ “[ที่รัก เธอดูสิ นี่คือลูกของพวกเรา]”
ว่ากันว่าเด็กทารกที่พึ่งคลอดออกมาจะหน้าตาน่าเกลียด มีแต่รอยย่น แต่ไม่ใช่กับจิวจิว เพราะจิวจิวหน้าตาสะสวยตั้งแต่เกิด
ไม่ว่าจะมองยังไงซูโย่วอี๋ก็ไม่อยากหยุดมองเด็กคนนี้เลย เธออยากจะบินกลับไปประเทศจีนเสียเดี๋ยวนี้ แต่เสียดายที่ร่างกายของเธอไม่เอื้ออำนวย
“หยินหยิน พักผ่อนเยอะ ๆ นะ”
พูดจบ ซูโย่วอี๋ก็กดวางสายไปอย่างไม่เต็มใจ
ตอนนี้ เธอเฝ้ารอลูกในท้องมากยิ่งขึ้น
เพื่อดูแลซูโย่วอี๋ ช่วงนี้คุณนายฮันอยู่แต่บ้าน ไม่ไปไหนทั้งนั้น
เธอพาซูโย่วอี๋เดินเล่นไปทั่ว
คุณนายฮันเคยนำของขวัญไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน จากที่พูดคุยกันมาไม่กี่เดือน ทุก ๆ คนก็คุ้นเคยกันมากขึ้น
อีกจุดที่ทำให้ซูโย่วอี๋สบายมากยิ่งขึ้นก็คือที่นี่ไม่มีใครทำเหมือนว่าเธอเป็นดารา เธอออกไปเดินเล่นบนถนนได้ ไม่มีใครสนใจเด็กในท้องของเธอมากจนเกินไป
ความรู้สึกห่างเหินระหว่างกันและกัน มีขอบเขตแบ่งกั้นเอาไว้
คุณนายฮันดึงมือของเธอ “คิดออกหรือยังว่าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดี?”
ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า “รอให้เด็กคลอดออกมาก่อนค่อยว่ากันดีกว่าค่ะ หนูยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”
ส่วนสุนัขจิ้งจอกที่สงสัยเอามาก ๆ จึงขอดูเพศของเด็กให้ แต่ซูโย่วอี๋อยากเก็บความตื่นเต้นนี้เอาไว้ตอนคลอด จึงไม่ยอมให้เขาดู
“อืม 2-3 วันนี้ก็ระวังหน่อยนะจ๊ะ เด็กที่ครบกำหนดคลอดแล้วจะดิ้นแรงเป็นพิเศษ”
ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงลูบท้อง “ลูกรัก ถ้าอยู่นานพอแล้วก็ออกมาเถอะ”
วินาทีต่อมา ท้องของเธอเริ่มแข็งตัวขึ้น
นี่เป็นเรื่องปกติในระหว่างตั้งครรภ์ ซูโย่วอี๋จึงไม่ได้สนใจอะไร เธอยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับคิดว่าพักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงดีขึ้น
คิดไม่ถึงว่าอาการปวดท้องของเธอจะไม่มีทีท่าทุเลาลงเลย จนกระทั่งเริ่มมีอาการเจ็บขึ้นมา
“แม่ หนูน่าจะคลอดแล้วแหละค่ะ”