ตอนที่ 327 สอบถามหนิวลี่ลี่

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 327 สอบถามหนิวลี่ลี่

ลูกค้าเหล่านั่นได้ยินคำพูดของพนักงานส่งเสริมการขายแล้ว สายตาที่มองไปยังหวังหรงก็ยิ่งดูถูกเหยียดหยามเป็นพิเศษ ก่อนพากันวิพากษ์วิจารณ์

“ผู้หญิงคนนี้ดูไปก็หน้าตาสะสวยไม่เบา แต่จิตใจกลับน่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น กรีดทำลายเสื้อผ้าของร้านคนอื่นหมดเลย แล้วจะให้คนอื่นเขาขายได้ยังไง?”

หวังหรงทำเกินไป ผู้จัดการข่งจึงต่อว่าหลินม่ายไม่ได้ ทำได้เพียงยืนดูอยู่ข้างๆ ว่าเธอจะจัดการอย่างไร

หลินม่ายสั่งให้พนักงานคนหนึ่งไปเรียกตำรวจสันติบาลมา ให้ตำรวจจับหวังหรงไปและอบรมสั่งสอนหล่อนเสีย

หวังหรงร้อนรนจนหันมาย้อนเล่นงานกลับ “ตอนที่ฉันใส่เสื้อผ้าพวกนี้ก็มีรอยมีดกรีดอยู่แล้ว ทำไมตอนนี้ถึงป้ายความผิดมาที่ฉันกันล่ะ?”

คำพูดนี้ของหล่อนทำให้กลุ่มลูกค้าเหล่านั้นลุกฮือขึ้นโจมตีทันที

“นั่นมันน่าแปลกจริงๆ เธอลองเสื้อผ้ามากมายขนาดนั้น แต่ทุกตัวล้วนมีรอยมีดกรีดหมดเลย พวกเราหยิบมาลองแค่ตัวสองตัว ทำไมถึงไม่มีเลยสักตัวล่ะ? เธอโชคร้ายขนาดหยิบได้แต่เสื้อผ้าที่มีรอยมีดกรีดทุกตัวอย่างนั้นเหรอ?”

หวังหรงไม่มีทางยอมรับหรอกว่ารอยมีดกรีดพวกนั้นล้วนเป็นฝีมือของหล่อนทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคงต้องถูกจับส่งไปรับการอบรมแน่ แบบนั้นมันหน้าขายหน้าเกินไป

บางทีฟางจั๋วหรานอาจจะรู้เข้า แล้วแก้แค้นหล่อนขนานหนักเลยก็ได้

ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงโก่งคอเถียง “โชคชะตาของฉันมันก็เลวร้ายแบบนี้แหละ!”

หลินม่ายโบกมือเล็กน้อย “พอได้แล้ว เธอเองก็เลิกบ่ายเบี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตายได้แล้ว ลองได้ไปถึงสถานีตำรวจ เธอก็ทำปากแข็งแบบนี้ไม่ได้แล้วล่ะ”

ลูกค้าบางคนพูดซ้ำเติม “เอาแต่บอกว่ารอยมีดกรีดพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เป็นความผิดของห้างร้านท่าเดียว อย่างนั้นก็ไปกางหลักฐานพิสูจน์ว่ารอยมีดกรีดบนเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอที่สถานีตำรวจเสียสิ”

หวังหรงหน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออก

ลูกค้าคนหนึ่งพูดแทงใจหล่อนขึ้นมา “ถึงเธอเอาหลักฐานออกมาพิสูจน์ไม่ได้ว่ารอยมีดกรีดบนเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ แต่พวกเราพิสูจน์ได้ ว่ารอยมีดกรีดพวกนี้เป็นฝีมือของเธอ!”

หวังหรงได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงค้าง พูดอย่างใจดีสู้เสือ “ก็แค่เสื้อผ้าไม่กี่สิบตัวไม่ใช่เหรอ? ฉันซื้อเองทั้งหมดก็ได้แล้วสินะ”

มุมปากของหลินม่ายยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้แน่นอนอยู่แล้ว”

เธอสั่งพนักงานคนหนึ่ง “ตรวจเช็คเสื้อผ้าให้หล่อนหน่อย แล้วก็คำนวณค่าสินค้าให้หล่อนด้วย”

พนักงานคนนั้นฉลาดเฉียบแหลมอย่างมาก หล่อนตรวจเช็คทีละชิ้น แล้วคิดเงินทีละชิ้น “ชิ้นนี้18หยวน ชิ้นนี้25หยวน ชิ้นนี้30หยวน…”

หวังหรงฟังไปฟังมา ที่หน้าผากก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมา

เสื้อผ้าของยูนีคนั้นแม้จะไม่ได้ขายแพงมาก โดยมีราคาที่ใกล้เคียงกับเสื้อผ้าเกรดสูงในห้างสรรพสินค้าของรัฐ

แต่ก็เทียบไม่ติดกับจำนวนอันมหาศาลที่หล่อนทำลายไป ต่อให้ไม่ถึง30ชิ้น อย่างน้อยก็มี20ชิ้น

เสื้อผ้ามากมายขนาดนี้ ราคารวมน่ากลัวว่าไม่ใช่น้อยๆ

และเป็นไปตามที่หล่อนคาดการณ์ไว้ หลังจากคำนวณออกมาแล้ว ท้ายที่สุดก็เป็นเงินกว่าห้าร้อยหยวน

แม้ว่ามันจะสาหัสสากรรจ์มาก แต่ดวงตามากมายกำลังจับจ้องกดดันให้หล่อนจ่ายเงิน หล่อนไม่จ่ายไม่ได้ ถ้าไม่จ่ายก็คงไม่อาจรอดตัวออกไปได้อีก

หวังหรงจ่ายเงินอย่างห่อเหี่ยวท่ามกลางสายตาเย้ยหยันของผู้คน แล้วหอบเสื้อผ้ากองใหญ่ที่ถูกหล่อนกรีดทำลายพวกนั้นจากไปราวกับกำลังหลบหนี

ตลอดทางหล่อนอยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก ถ้ารู้แต่แรกว่าจะถูกหลินม่ายจับแบบนี้ หล่อนก็คงไม่ใช้มีดปอกผลไม้กรีดทำลายเสื้อผ้าพวกนั้นทั้งหมดหรอก

ตอนนี้มันจบแล้ว หล่อนเหมือนทุบก้อนหินใส่เท้าตัวเอง แถมยังเจ็บแสบสุดๆ อีกด้วย

ไม่ใช่แค่เอาเงินปลอบขวัญ 500 หยวนที่กวนหย่งหัวให้หล่อนจ่ายชดใช้ไปทั้งหมด แม้แต่เงินค่าจ้างที่หล่อนเป็นไกด์นำเที่ยวให้เขาเองก็ถูกเอามาจ่ายชดใช้ไปด้วยนิดหน่อยเช่นกัน

ตอนที่หล่อนเดินผ่านมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ ก็เห็นฟางจั๋วหรานเดินออกมาจากประตูวิทยาลัยแต่ไกล และกำลังเตรียมจะข้ามถนน เป็นไปได้มากว่าคงกำลังจะไปที่บ้านของหลินม่าย ทันใดนั้นก็รู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นมา

หากไม่ใช่เพราะฟางจั๋วหรานทำตัวเป็นเกราะกำบังให้นังสารเลวหลินม่ายนั่นล่ะก็ หลินม่ายก็คงจะติดคุกไปตั้งนานแล้ว

ตนเองก็คงไม่ต้องจ่ายเงิน 500 หยวนซื้อเสื้อผ้าขาดๆ กองหนึ่งมาหรอก

ทั้งหมดเป็นความผิดของฟางจั๋วหราน!

หวังหรงยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ หล่อนต่อสายโทรศัพท์ถึงสำนักหนังสือพิมพ์ประจำจังหวัดที่หนิวลี่ลี่อยู่ แล้วถามว่าหนิวลี่ลี่กลับมาหรือยัง

พนักงานที่รับสายบอกว่าหล่อนกลับมาแล้ว

หวังหรงระบุเจาะจงว่าต้องการให้หล่อนรับสาย

หนิวลี่ลี่ทำการสัมภาษณ์มาตลอดทั้งช่วงเช้า หิวจนท้องร้องโครกคราก

หล่อนรับอาหารที่โรงอาหารมาอย่างยากลำบากแล้วนั่งลง ยังไม่ทันขยับตะเกียบ เพื่อนร่วมงานก็บอกว่ามีคนโทรศัพท์มาหา หล่อนจึงได้แต่วางตะเกียบลงแล้วไปรับสาย

อีกฝั่งของสาย หวังหรงตะคอกขึ้นมาอย่างกับหมาบ้า “ไม่นึกว่าเลยว่าหนังสือพิมพ์ของพวกเธอจะไร้ยางอายขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ไร้คุณธรรม ยังปกป้องคนเลวอีกด้วย พวกเธอยังเป็นกระบอกเสียงของประชาชนอยู่อีกเหรอ!”

หนิวลี่ลี่โดนข้อกล่าวหาข้อใหญ่หล่นทับเสียจนมึนงง หล่อนถามด้วยความอดทน “คุณเป็นใครคะ? คุณพูดถึงเรื่องอะไรเหรอคะ?”

หวังหรงไม่ได้ประกาศตัว แต่เล่าถึงเรื่องการเปิดโปงในเย็นวันนั้นซ้ำอีกครั้งหนึ่งคร่าวๆ

จากนั้นจึงเอ่ยกล่าวโทษ “หลักฐานก็แน่นหนา พวกเธอสามารถจัดการเอาผิดได้แท้ๆ นี่ยังมีศักดิ์ศรีของสื่ออยู่อีกไหม!”

หนิวลี่ลี่รู้แล้วว่าหล่อนคือใคร จึงหัวเราะอย่างเย็นชาในสาย “ฉันก็คิดว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องที่คุณมารายงานเรื่องนั้นนี่เอง! เรื่องนั้นสำนักหนังสือพิมพ์ของเราได้ตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นการใส่ความของคุณทั้งนั้น สำนักงานพาณิชย์ ศาสตราจารย์ฟางและพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยต่างก็กำลังตามหาคุณ และจะยื่นฟ้องคุณต่อศาลด้วย บอกชื่อกับที่อยู่มาให้หมด ฉันจะได้เอาไปส่งต่อให้พวกเขา…จริงสิ ตอนนี้แม้แต่สำนักหนังสือพิมพ์ของเราคุณก็ยังใส่ร้ายป้ายสี ดังนั้นฉันก็จะเสนอกับหัวหน้า ให้ดำเนินคดีกับคุณเสียเลย!”

หนิวลี่ลี่เพียงแค่อยากจะขู่หวังหรง แต่หวังหรงกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง พลันหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ

หากหน่วยงานและบุคคลเหล่านั้นดำเนินคดีกับหล่อนจริงๆ คงไม่สามารถหลบเลี่ยงการชดใช้ค่าเสียหายไปได้ ทั้งยังอาจจะมีบทลงโทษอื่นอีกด้วย

ตอนนี้หล่อนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่อาจทนรับปัญหาใดได้อีกต่อไป

ไม่ว่าหลินม่ายจะซื้อขายเสื้อผ้ามือสองที่มีปัญหาอย่างผิดกฎหมายจริงหรือไม่ หล่อนก็ไม่มีความสามารถจะดำเนินการต่อไปได้แล้ว

หลังจากวางสาย หล่อนก็หนีหัวซุกหัวซุน

ยามเฝ้าประตูที่ให้หล่อนยืมใช้โทรศัพท์มองหล่อนวิ่งหนีไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับกระต่ายตัวหนึ่งด้วยความตะลึงปนประหลาดใจ

ขณะเดียวกันที่ห้างเจียงเฉิง

หลินม่ายรอจนหวังหรงไปแล้วก็ทำตามคำสัญญาของเธอทันที เธอแถมบัตรกำนัลเงินสดเป็นราคา 3 หยวนให้กับลูกค้าที่รอเข้าห้องลองเสื้อเมื่อครู่นี้ทุกคน

ลูกค้าที่ได้รับของขวัญเซอร์ไพรส์ทุกคนต่างดีใจอย่างยิ่ง

ผู้จัดการข่งเห็นเธอมัดใจลูกค้าได้อย่างเก่งกาจ ก็รู้สึกชื่นชมเธออย่างลึกซึ้ง

หลินม่ายกำชับพนักงานทุกคนเป็นพิเศษ หากหวังหรงปรากฏตัวอีกครั้ง จะต้องจับตาดูหล่อนอย่างเข้มงวด ไม่ให้หล่อนแอบก่อเรื่องวินาศสันตะโรขึ้นมาอีก

พนักงานทั้งสามคนพยักหน้ารัวๆ เมื่อนั้นหลินม่ายถึงกลับบ้าน

ขณะกินข้าวในตอนเที่ยง หลินม่ายก็พูดถึงเรื่องที่หวังหรงไปก่อเรื่องที่บูธขายสินค้าที่ห้างเจียงเฉิงของเธอเมื่อครู่นี้กับฟางจั๋วหรานขึ้นมา

เธอพูดอย่างค่อนข้างงุนงง “ครอบครัวของหล่อนสามคนต้องเก็บออมเงินไม่เก็บออม ต้องทำงานไม่ทำงาน เอาแต่เกาะคุณยายหวังอย่างกับปรสิตสามตัว หวังหรงเอาเงินมาจากไหนกันนะ ถึงได้ควักเงิน 500 หยวนออกมาจ่ายได้สบายๆ?”

ถ้าเป็นหลินเพ่ยที่สามารถควักเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นออกมาได้ หลินม่ายก็คงไม่แปลกใจขนาดนี้

หลินเพ่ยเป็นคนไม่รู้จักยางอาย ถ้าหล่อนไม่มีเงิน หล่อนก็แค่ออกไปขายตัว

ถ้าขายได้มากๆ จะหาเงินได้ห้าร้อยกว่าหยวนก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้

แต่หวังหรงนั้นต่างออกไป หวังหรงมีภูมิหลังที่ดี เป็นลูกหลานข้าราชการ ยังห่วงหน้ารักศักดิ์ศรี

ให้หล่อนออกไปขายตัว หล่อนไม่มีทางยอมแน่

หรือว่าหล่อนจะตกเต่าทองคำ(1)ได้แล้ว?

ความเป็นไปได้แบบนั้นก็ยังพอมีอยู่ ถึงอย่างไรหล่อนก็หน้าตาสะสวย

สิ่งที่ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายให้ความสนใจนั้นแตกต่างกันไป

สิ่งที่เขาให้ความสนใจคือ หวังหรงช่างหัวแข็งจริงๆ

คนทั้งบ้านของหล่อนถูกเขาจัดการจนขวัญหนีเหมือนหมาจรจัดแล้ว หล่อนยังกล้าลอบกัดหลินม่ายอีก น่าชิงชังจริงๆ!

หลังกินข้าวเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็กลับไปที่วิทยาลัย สิ่งที่ทำอันดับแรกก็คือโทรศัพท์หาฟางจั๋วเยวี่ย เพื่อเอาวีดีโออนาจารของหวังหรงมาจากเขา

เขาจะประจานหล่อน ให้ชีวิตของหล่อนพังพินาศ และไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากได้อีกนับตั้งแต่นี้!

แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกลับอ้ำๆ อึ้งๆ ขึ้นมา

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)ตกเต่าทองคำ หมายถึงการจับผู้ชายรวยๆ (เต่าทอง เป็นสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งของขุนนางชั้นสูงในสมัยราชวงศ์ถัง)

สารจากผู้แปล

๕๕๕๕+ ได้เงินมาก็เสียเงินไปปุบปับเลยนังหรง พื้นดวงเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่นะเนี่ย

พี่หมอเล่นยาแรงแล้ว จะเป็นไงต่อเนี่ย

ไหหม่า(海馬)