ตอนที่ 328 ข่มขู่ถึงบ้าน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 328 ข่มขู่ถึงบ้าน

ฟางจั๋วหรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างไม่อ้อมค้อม “นายไม่ยอมให้เทปอนาจารพวกนั้นของหวังหรงกับฉัน เพราะหล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนายใช่ไหม ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ ฉันก็พอเข้าใจได้”

พูดจบ เขาก็กำลังจะวางสายโทรศัพท์

ฟางจั๋วเยวี่ยที่อยู่ปลายสายรีบพูดขึ้น “พี่ใหญ่ อย่าเดาสุ่มสิครับ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นเสียหน่อย! ต่อให้ผมจะสนิทกับหวังหรงแค่ไหน จะสนิทไปกว่าพวกเราสองพี่น้องเหรอ? แต่เป็นเพราะว่าผม…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไปอีกครั้ง

“เพราะอะไรล่ะ?” ฟางจั๋วหรานคาดเดา “มีใครข่มขู่นายเหรอ? นายก็เลยไม่กล้าเอาเทปอนาจารของหวังหรงมาให้ฉัน?”

อีกฝั่งของสาย ฟางจั๋วเยวี่ยแค่นหัวเราะเล็กน้อย “พี่เห็นว่าผมเป็นคนที่จะถูกใครข่มขู่ได้เหรอครับ?”

ฟางจั๋วหรานมีสีหน้างุนงง “ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะเหตุผลอะไรล่ะ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันพูด “บอกกับพี่ตามตรงแล้วกัน วันนั้นระหว่างทางที่ผมเอาเทปอนาจารของหวังหรงพวกนั้นไปล้าง ดันถูกไอ้เด็กเวรคนหนึ่งขี่จักรยานมาชนเข้าจนเทปตกพื้นกระจาย ฟิล์มข้างในจึงหลุดออกมาหมดเลย ฟิล์มโดนแสงพังหมดแล้ว จะไปเทปอนาจารมาจากไหนได้อีกกันล่ะครับ?”

ฟางจั๋วหรานเงียบสนิท

เขานึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นขึ้น

หวังหรงยัยโสเภณีเจ้าเล่ห์นั่นไม่นึกเลยว่าจะเป็นที่รักของพระเจ้าแบบนี้

ฟางจั๋วเยวี่ยเห็นพี่ชายเงียบไป จึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เรื่องที่ฟิล์มถูกทำลาย นอกจากผมแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก

ผมจะไปที่บ้านยายผมเดี๋ยวนี้ แล้วข่มขู่พวกเขาโดยเฉพาะหวังหรง ว่าถ้าหล่อนกล้าลอบกัดพี่สะใภ้อีก ผมจะเปิดโปงภาพอนาจารของหล่อน! คอยดูเถอะผมจะทำให้พวกเขากลัวหัวหดไปเลย!”

หลังจากฟางจั๋วเยวี่ยวางสายโทรศัพท์แล้ว เขาก็ขอลางานกับที่ทำงานแล้วไปที่บ้านแม่เฒ่าหวังทันที

แม่หรงเปิดประตูให้ และพบกับท่าทางราวกับกำลังประจันหน้าศัตรูของเขา

ก็ไม่แปลกที่เขาจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้น แม้ฟางจั๋วเยวี่ยจะเป็นหลานนอกของแม่เฒ่าหวัง แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกับตระกูลหวัง

หากเขามาถึงประตูด้วยตัวเอง ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดี

แม่หรงไม่อยากให้ฟางจั๋วเยวี่ยเข้าไปข้างใน จึงเอาตัวขวางเขาไว้ “เธอมานี่ได้ยังไง?”

ฟางจั๋วเยวี่ยผลักหล่อนออก แล้วเดินเข้าไปในเขตบ้าน เขาเดินไปพลางคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “หวังหรง เธอออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้ายังไม่ออกมาอีก ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจเธอแล้วกัน!”

แม่เฒ่าหวังที่อยู่ในห้องรับแขกได้ยินคำพูดนั้นก็รีบเดินออกมา ถามอย่างจริงจัง “มาหาหรงหรงมีเรื่องอะไรเหรอ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยพูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “หวังหรงไปลอบกัดพี่สะใภ้ของผมอีกแล้ว ท่านอย่าบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย หล่อนก็ยังอยู่ที่บ้านของท่าน”

แม่เฒ่าหวังกระวนกระวายจนมือไม้สั่นเทา “หรงหรงไม่ได้กลับบ้านมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว หล่อนไปทำอะไรข้างนอกฉันไม่รู้จริงๆ”

ก่อนหน้านี้ หวังหรงแอบลอบกัดหลินม่าย ไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวหล่อนเอง ยังลำบากมาถึงพ่อแม่ของหล่อนจนสิ้นเนื้อประดาตัว

แม่เฒ่าหวังกลัวว่าตนจะถูกหวังหรงลากติดร่างแหไปด้วย จึงร้อนอกร้อนใจหมายจะปัดความผิดให้พ้นตัว

พ่อหรงแม่หรงเองก็กระวนกระวายเป็นอย่างมาก

พวกเขาเองก็กลัวว่าจะถูกลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองทำให้เดือดร้อนไปด้วย จึงรีบแสดงออกว่าพวกเขาก็ไม่รู้เห็นอะไรด้วยเช่นกัน

ฟางจั๋วเยวี่ยแค่นเสียงเย็นชา “ผมไม่สนว่าพวกคุณรู้เรื่องด้วยหรือไม่ ยังไงก็ตามพี่ใหญ่ของผมโกรธมาก พวกคุณจัดการตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”

พูดจบเขาก็แสร้งเล่นตัว ทำทีจะเดินจากไป

แม่เฒ่าหวังและพ่อหรงแม่หรงรีบรั้งเขาเอาไว้อย่างลนลาน ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

แม่เฒ่าหวังเอ่ยขอร้อง “จั๋วเยวี่ย หลานยาย ถือว่ายายขอเถอะนะ หลานไปพูดกับพี่ใหญ่ของหลานว่าหรงหรงทำอะไรไป มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราเลยเขาอยากจะสั่งสอนหรงหรงยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่าลากคนบริสุทธิ์อย่างพวกเราเข้าไปพัวพันด้วยเลย~”

พ่อหรงแม่หรงพยักหน้าอยู่อีกด้าน พูดอย่างน่าเวทนา “เธอไปขอร้องพี่ใหญ่ของเธอให้หน่อย ว่าปล่อยพวกเราไปเถอะนะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะเย็นชา “คุณคิดว่าผมไม่ได้ขอร้องพี่ใหญ่เลยงั้นเหรอ? ถ้าผมไม่ได้ขอร้องพี่ใหญ่เอาไว้ ตอนนี้พวกคุณจะได้อยู่ดีอยู่อีกเหรอ?”

เขามองไปรอบๆ สวนที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง “ถ้าผมไม่ได้ขอร้องพี่ใหญ่เอาไว้ บ้านของคุณยายคงจะเปลี่ยนสกุลไปนานแล้ว พวกคุณเองก็คงได้แต่นอนอยู่ข้างถนน”

เขาเพียงขู่พวกแม่เฒ่าหวังให้กลัวเท่านั้น

แต่แม่เฒ่าหวังและคนอื่นๆ กลับคิดว่าเป็นเรื่องจริง ในใจจึงนึกเกลียดชังหวังหรง

ถึงขั้นคิดว่า ทำไมหล่อนไม่โดนรถชนตายไปเสีย หล่อนมีแต่ต้องตายไปเท่านั้นถึงจะไม่พาพวกเขาไปเจอหายนะ

แม้จะรู้สึกสงสัยเรื่องที่ฟางจั๋วเยวี่ยไปขอร้องฟางจั๋วหรานเพื่อพวกเขาอย่างมาก แต่แม่เฒ่าหวังและพ่อหรงแม่หรงก็กล่าวคำขอบคุณออกมามากมาย

พวกเขาต้องยอมประจบเอาใจเขา เพราะกลัวว่าหากทำให้เขาขุ่นเคืองไปด้วย ชีวิตของพวกเขาจะรันทดยิ่งกว่านี้

ฟางจั๋วเยวี่ยพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าหวังหรงกลับมาแล้ว พวกคุณก็บอกกับหล่อนด้วยนะครับ ว่าครั้งนี้ผมจะปล่อยหล่อนไปก่อนสักครั้ง หากยังมีครั้งต่อไป ผมจะเปิดโปงวีดีโออนาจารพวกนั้นของหล่อน ให้หล่อนสูญเสียทั้งฐานะและชื่อเสียง แม้แต่จะแต่งงานกับผู้ชายดีๆ ก็ยังทำไม่ได้!”

แม่เฒ่าหวังกับคนอื่นๆ พยักหน้ารับลูกเดียว ถ้าหวังหรงกลับมา พวกเขาจะถ่ายทอดคำพูดของเขาให้หล่อนฟังอย่างแน่นอน

นอกจากนี้จะกักบริเวณหล่อนไว้ไม่ให้ออกไปไหน เท่านี้หล่อนก็ไปลอบกัดหลินม่ายไม่ได้แล้ว

เมื่อนั้นฟางจั๋วเยวี่ยถึงจากไปอย่างพึงพอใจ

หวังหรงหอบกองเสื้อผ้าเดินไปบนถนนอย่างไร้จุดหมายอยู่เป็นเวลานาน

หล่อนเอาแต่เดินจนสองขาปวดเมื่อย ท้องร้องโครกครากด้วยความหิว หล่อนจึงเข้าร้านอาหารกินเล่นร้านหนึ่ง แล้วสั่งเกี๊ยวปักกิ่งมากินเป็นอาหารเที่ยง

หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ หล่อนก็นั่งเหม่ออยู่นาน และตัดสินใจว่าจะเอาเสื้อผ้าในมือไปขายทิ้งก่อน หาเงินสดมาได้สักหน่อยค่อยว่ากันต่อ

หล่อนหอบเอาเสื้อผ้ามาถึงถนนเจียงฮั่นที่หลินม่ายมาตั้งแผงบ่อยๆ

กลางวันแสกๆ ที่ถนนเจียงฮั่นนั้นนอกจากแผงขายของกินเล่นไม่กี่ร้านแล้ว ก็ไม่มีแผงลอยที่ขายสินค้าอื่นๆ เลย

หล่อนพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อจะตั้งแผงลอยอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ผลสุดท้ายก็ไม่กล้าเสียหน้า

จนเมื่อโน้มน้าวใจตัวเองได้อย่างยากลำบาก เพิ่งจะเริ่มจัดแผงก็มองเห็นเพื่อนซี้จอมปลอมเมื่อสมัยก่อนสองสามคนกำลังเดินเล่นอยู่ไม่ไกล หล่อนกลัวจนเก็บข้าวของหนีไปทันที

หล่อนไม่มีทางยอมให้เพื่อนซี้จอมปลอมพวกนั้นเห็นสภาพตกอับของตัวเองเด็ดขาด

ทว่าพวกเยี่ยนหงกับลี่ฉินนั้นมองเห็นหล่อนไปแล้ว เพียงแต่ยังมองไม่ชัด

เยี่ยนหงถามเพื่อนสาวอีกสองสามคน “ผู้หญิงที่กำลังจะตั้งแผงคนนั้นเมื่อกี้นี้คือหวังหรงใช่ไหม”

ลี่ฉินกลอกตาพูดอย่างดูแคลน “ไม่ใช่หล่อนแล้วจะเป็นใครอีก? ก็มีแต่ยัยนั่นคนเดียวแหละที่เห็นพวกเราแล้ววิ่งหนีน่ะ”

เพื่อนสาวคนหนึ่งหัวเราะเยาะ “วิ่งหนีไปแบบนี้ ใครไม่รู้บ้างว่าหล่อนตกต่ำจนไม่ต่างจากสุนัขข้างถนนแล้ว”

เมื่อวิ่งออกไปไกลมากแล้ว หวังหรงถึงผ่อนฝีเท้าลง แล้วเดินต่อไปบนถนนอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลานาน

ในที่สุดก็เกิดความคิดขึ้น วางแผนว่าจะไปขายเสื้อผ้าในมือทิ้งที่ถนนฮั่นเจิ้ง

เสื้อผ้าขายส่งที่ถนนฮั่นเจิ้งนั้น เป็นร้านที่ไม่ให้ผู้ซื้อตรวจสอบทีละตัว แต่ให้ตรวจนับว่าจำนวนถูกต้องหรือไม่เท่านั้น

เสื้อผ้ามีปัญหาด้านคุณภาพพวกนี้ของหล่อนถ้าขายต่อในราคาถูกๆ ก็สามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบคุณภาพไปได้อย่างง่ายดาย

ขอแค่ขายเสื้อผ้าออกไปแล้ว ตนก็จะไม่มาถนนฮั่นเจิ้งอีกต่อไป ถึงคนที่ถูกหลอกจะตามหาหล่อนก็หาไม่เจอแล้ว

หวังหรงมาถึงถนนฮั่นเจิ้งหันซ้ายแลขวา เห็นเจ้าของร้านขายส่งเสื้อผ้าผู้หญิงคนหนึ่งพูดคุยกับร้านค้าไม่ลงตัวแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป

หล่อนรีบเดินตามไปอย่างเงียบๆ เตรียมหาโอกาสขายเสื้อผ้าที่ตนมีกับหล่อน

เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นเป็นคนระแวดระวังตัว เมื่อตัวเองถูกสะกดรอยตาม หล่อนจึงสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว

แต่หล่อนกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ แล้วเดินอ้อมไปอ้อมมาอย่างไร้สุ้มเสียง หลอกให้หวังหรงเข้าไปถึงซอยตันที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนเส้นหนึ่ง

หวังหรงเดินเข้าไปในซอยตัน ก็พบว่าเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นหายไปแล้ว

หล่อนตกตะลึง ที่นี่เป็นซอยตัน แล้วหล่อนหายไปได้ยังไงกัน?

ในขณะที่หล่อนกำลังฉงน ตรงท้ายทอยก็ถูกกระแทกอย่างแรง

เมื่อหล่อนฟื้นขึ้นมา เสื้อผ้าและกระเป๋าเงินต่างก็หายไปหมด

โชคดีที่เงินไม่กี่สิบหยวนที่หล่อนซ่อนไว้ในเสื้อชั้นในไม่ได้ถูกอันธพาลขโมยไปด้วย ก็ยังนับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายอยู่

หวังหรงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้นร้องไห้โดยไร้น้ำตา รู้สึกว่าโชคชะตาช่างหันหลังให้ตนจริงๆ แค่อยากมาขายเสื้อผ้าที่ถนนฮั่นเจิ้ง ก็ยังถูกคนทำร้าย

เดิมทีหล่อนคิดจะเอาเสื้อผ้ามาขาย แลกเป็นเงินเช่าห้องถูกๆ อยู่ชั่วคราว

รอกวนหย่งหัวมาเยือนเจียงเฉิงคราวหน้า หล่อนค่อยออดอ้อนให้เขาซื้อบ้านให้ตัวเองสักหลัง

หล่อนมีที่พักพิงแล้ว ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่และคุณยาย ไม่ต้องมองหน้าพวกเขา ไม่ต้องโดนพวกเขาด่าอีก

แต่ตอนนี้ หล่อนไม่อาจไม่กลับบ้านแม่เฒ่าหวังได้

ยิ่งเข้าใกล้เรือนสี่ประสาน(1)ของแม่เฒ่าหวังเท่าไหร่ หวังหรงก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับที่บ้าน

ตอนแรกที่หล่อนหนีออกมา แล้วทิ้งพวกผู้หญิงตระกูลตู้พวกนั้นให้แม่เฒ่าหวังกับพ่อแม่ของหล่อน ยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะเกลียดแค้นตนขนาดไหนเลย

หากตนกลับไปตอนนี้ พวกเขาจะต้องไม่ทุบตีก็ต่อว่าตนแน่ๆ

แต่ถ้าไม่กลับไป ก็ไม่มีที่อาศัยพักพิงอีกแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………

(1)เรือนสี่ประสานคือแบบบ้านโบราณของจีน ซึ่งเป็นบ้านล้อมสวน มีเรือนต่างๆ ล้อมรอบสวนเอาไว้ทั้งสี่ทิศ การสร้างเรือนพักเช่นนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นการป้องกันภัยธรรมชาติ เช่น พายุทราย พายุหิมะ เป็นต้น

สารจากผู้แปล

ดูท่ายัยหรงไม่ใช่ลูกรักพระเจ้าหรอก เหมือนโดนเลี้ยงไข้ไว้ให้รับผลกรรมแบบมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายมากกว่า

ไหหม่า(海馬)