วันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส
ดวงอาทิตย์ในเหมันตฤดูมิได้แผดเผาเหมือนดวงอาทิตย์ในช่วงคิมหันต์ มันเพียงแต่เอกเขนกอยู่กลางท้องฟ้าอย่างไร้สุ้มเสียง แสงที่สาดส่องลงมายังผู้คนจึงเป็นความอบอุ่นที่พอเหมาะพอดี
ทว่าความอุ่นนั้นก็มิอาจทัดทานความหนาวเหน็บได้
ในยามนี้อาภรณ์ของผู้คนบนถนนที่สัญจรผ่านไปมาถูกเปลี่ยนเป็นชุดนวมบุฝ้ายตัวหนา ทว่าบางคนยังคงสวมเสื้อคลุมเจี๋ย[1] คนที่ยังสวมเสื้อคลุมเช่นนั้นจึงมักจะขดตัวด้วยความหนาวเหน็บเกินทนทาน
หญิงสาวนางหนึ่งในชุดคลุมเจี๋ยสีเขียวไข่กาหอบตะกร้าซึ่งคลุมด้วยผ้าผืนเก่าเดินผ่านตลาดด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
นางเดินมาถึงจุดตั้งแผงลอยอย่างเช่นทุกวัน แต่ทว่าในยามนี้ที่ตรงนั้นกลับถูกผู้อื่นยึดไปเสียแล้ว
บุคคลยึดพื้นที่ขายของของนางคืออาสะใภ้รองหลิวจากหมู่บ้านเดียวกัน
อาสะใภ้รองหลิวเป็นหญิงที่ไม่ควรไปข้องแวะด้วย แต่ทว่าหญิงสาวนางนั้นก็เป็นพวกก๋ากั่นพอตัวฉะนั้นเมื่อนางเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็เกิดอาการฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “อาสะใภ้ นี่มันที่ของข้า รบกวนช่วยขยับออกไปด้วย”
อาสะใภ้รองหลิวชายตาขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า เบะปากพลางบอก “โอ้ย นี่จะเป็นพื้นที่ของเจ้าได้อย่างไร ตงเหมย ข้าถามอะไรเจ้าอย่าง เจ้าซื้อหรือเช่าพื้นที่ตรงนี้งั้นรึ หากเจ้ามิได้ทั้งซื้อและเช่าเอาไว้ก็หมายความว่าใครมาก่อนก็ย่อมได้ก่อน”
หมู่นี้หญิงสาวรู้สึกว่าอะไรๆ ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นใจ เพียงได้ฟังจึงโกรธขึ้งเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าขายตรงพื้นที่นี้มากว่าครึ่งปี ตรงนู้นก็มีที่ตั้งเยอะตั้งแยะ แล้วเหตุใดเจ้าต้องมาจับจองพื้นที่ตรงนี้ด้วยเล่า อาสะใภ้ นี่เจ้าจงใจจะยั่วโมโหข้าสินะ”
“ข้าแก่คราวรุ่นป้าเจ้าแล้วนะ จะไปยั่วให้เจ้าโมโหเพื่ออะไรกัน บริเวณนั้นมันอยู่ในร่ม หากไปนั่งอยู่ตรงนั้นมีหวังข้าคงได้แข็งตาย เจ้าขายอยู่ตรงนี้มาครึ่งปีแล้วมันทำไมกัน ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด…”
หญิงสาวเลิกคิ้วและถ่มน้ำลายอย่างเหยียดหยาม “เจ้าอย่าพูดอะไรเลอะเทอะให้มาก หากเจ้าไม่ชอบร่มเงาตรงนั้น เลยไปอีกหน่อยก็มีที่กลางแจ้งแล้วมิใช่รึ ดูก็รู้ว่าเจ้ายังแค้นใจเรื่องที่หมูบ้านเจ้าหลุดเข้ามาคุ้ยหัวผักกาดที่สวนของข้า แต่กลับถูกหมาที่บ้านข้ากัดขาสินะ!”
เมื่ออาสะใภ้รองหลิวได้ฟังเช่นนั้นก็เริ่มโกรธจัด
กล้ายกเรื่องนี้มาพูด นางไม่เคยพบเคยเห็นใครหน้าทนเท่านี้มาก่อน!
นางแค่ไม่ทันระวัง หมูที่เรือนจึงวิ่งเข้าไปในสวนของเพื่อนบ้าน มันคุ้ยหัวผักกาดแค่ไม่กี่หัว จะให้นางชดใช้ก็ย่อมได้ ใครจะไปคิดว่าจะถูกสุนัขของเพื่อนบ้านกัดขาหลังจนเป็นแผลใหญ่เบ้อเร่อเช่นนั้น
หากเรื่องมีเท่านั้นก็คงเลิกแล้วต่อกัน ส่วนเนื้อขาหลังของสุกรที่ถูกสุนัขกัดไปก็ควรนำมาคืน แต่นางกลับบอกว่าสุนัขกินเนื้อก้อนนั้นไปแล้ว แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
ถมถุย พอตกเย็นนางกลับได้กลิ่นเนื้อลอยมาจากฝั่งเพื่อนบ้าน สุดท้ายแล้วขาหมูของนางอยู่ในท้องของสุนัขหรือท้องของมนุษย์ นางเองก็พอจะรู้ได้
“ตงเหมยข้ากับแม่ยายเป็นเพื่อนบ้านมาหลายปีมิเคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่นึกว่าพอแม่ยายจากไปแล้ว ข้ากับเจ้าผู้เป็นสะใภ้จะเข้าหน้ากันไม่ติดเสียได้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน การเป็นสะใภ้สาวควรจะทำตัวอ่อนโยนเข้าไว้ อย่าปล่อยให้สุดท้ายแล้ว แม้แต่บุรุษข้างกายของตนเองก็ยังรักษาไว้ไม่ได้…”
“เจ้าหมายความอย่างไร” หญิงสาวรำพึงรำพัน
นางเองก็รู้สึกว่าหมู่นี้สามีของนางดูแปลกไป แม้ว่ายังจับสังเกตใดๆ ไม่ได้ ทว่าสัญชาตญาณของความเป็นหญิงกลับฟ้องว่ามีบางอย่าง
และอาจเป็นเพราะด้วยสาเหตุนี้ หมู่นี้นางนอนหลับยากเย็นเสียเหลือเกิน
อาสะใภ้รองหลิวหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ข้ายังมิได้พูดสิ่งใดเลย แต่หากเจ้าไม่มีที่ขายไก่แล้วไซร้ ไม่ลองไปดูร้านที่อยู่ตรงข้ามร้านขายแตงกวาดองหมาโผดูเล่า เมื่อเช้าข้าเดินผ่านตรงนั้น แล้วบังเอิญเห็นคนหน้าคุ้นแอบเดินเข้าไปพอดี…”
ร้านที่อยู่ตรงข้ามร้านขายแตงกวาดองหมาโผ?
ทันทีที่หญิงสาวนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนสีโดยพลัน
นั่นมันบ้านของหญิงหม้ายเชี่ยว กะแล้วเชียวว่าทั้งคู่ลอบไปมาหาสู่กัน!
หญิงสาวถือตะกร้าเดินไปพร้อมกับรังสีพยาบาท
ผู้คนในตลาดไม่น้อยรู้จักกับหญิงสาวคนดังกล่าว เมื่อเห็นว่านางกำลังจะไปจับชู้ก็รีบตามไปดูทันที
ร้านขายแตงกวาดองหมาโผตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายผักดองเจ้าดัง ในมื้ออาหาร แตงกวาดองถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้ รสชาติเปรี้ยวอมเผ็ดของแตงกวาดองทานคู่กับโจ๊กข้าวโพดร้อนๆ ในช่วงฤดูหนาวจะยิ่งทำให้รสชาติอร่อยขึ้นเป็นเท่าตัว
ขนาดเจียงจั้นยังทานโจ๊กไปแล้วถึงสองชาม เขาใช้ผ้าเช็ดปากจนหมดจดก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างสุขารมณ์ “ท่านพ่อ น้องสี่ ข้ามิได้จะพูดยอไปเองว่าโจ๊กข้าวโพดกินคู่กับแตงกวาดองนี่สุดยอดไปเลยจริงไหม”
เจียงซื่อผุดยิ้มพลางพยักหน้ารับ “อร่อยจริงๆ เจ้าค่ะ พี่รองนี่หาร้านเก่งจริงๆ”
ใบหน้าของเจียงจั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ข้ามีสหายในหน่วยองครักษ์จินอู๋หลายคน มีคนหนึ่งในนั้นชอบตระเวนกินของอร่อย วันนั้นข้าได้ยินว่าน้องสี่บ่นเบื่อกินเนื้อสัตว์พวกนั้นแล้ว อยากกินพวกผักดองเสียบ้าง ข้าก็เลยนึกถึงร้านนี้ขึ้นมาทันที ท่านพ่อถูกปากหรือไม่ขอรับ”
ในช่วงฤดูหนาวการจะหาผักสดทานเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ในช่วงเวลาแบบนี้ที่จวนตงผิงปั๋วจึงทานเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก จึงมิใช่เรื่องแปลกที่บรรดาหญิงสาวในจวนจะรู้สึกเอียนเป็นธรรมดา
เจียงอันเฉิงดึงมุมปาก “ก็ไม่เลว”
ซื่อเอ๋อร์เบื่อขาหมูตุ๋นแล้วหรือ
คงต้องเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้วกระมัง
“มัวแต่เอาเวลาไปคิดเรื่องกินดื่ม การรับผิดชอบต่อหน้าที่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด!” เจียงอันเฉิงตำหนิลูกชาย
หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้บนนาวาใหญ่ที่แม่น้ำจินสุ่ย ความรู้สึกต่อต้านยามที่ได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ก็น้อยลงกว่าเดิมมาก ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็เพียงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “ลูกทราบดีขอรับ”
เจียงอันเฉิงรู้สึกสบายใจและอารมณ์ดีอย่างยิ่งยวด
ลูกชายรู้จักคิด ส่วนลูกสาวก็รู้จักคิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การที่ได้พาลูกๆ ออกมาเที่ยวเล่นยามว่างเช่นนี้ ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ไม่มีเรื่องใดต้องเสียดายอีกแล้ว
หญิงสาวผู้นั้นรีบรุดมายังที่เกิดเหตุ นางเอามือเท้าต้นไม้หน้าประตูตรงข้ามร้านขายแตงกวาดองหมาโผพลางหายใจหอบรัว สายตาของนางเหลือบไปเห็นเชือกแดงที่ตกอยู่ที่หน้าประตูบานนั้น
นางก้มลงไปหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ เชือกนั้นดูเก่ามากแล้ว ปลายเชือกด้านหนึ่งหลุดลุ่ย ส่วนอีกด้านยังมัดเป็นปมแน่น
เมื่อนางเห็นปมเงื่อนนั้นก็ทราบได้ทันทีว่ามันคือเชือกที่เคยผูกอยู่บนข้อมือของสามีนาง
วิธีการผูกเงื่อนเช่นนั้นเป็นวิธีการที่สะใภ้เล็กที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาเมื่อปีที่แล้วสอนนางผูก เนื่องจากปีนี้เป็นปีชงของเขา นางจึงนำเชือกนี้มาผูกไว้ที่ข้อมือของเขาตั้งแต่ต้นปี
ไอ้คนสารเลว!
หญิงสาวเดือดดาลจนถึงขีดสุด นางทำท่าจะทุบประตู
มีคนหนึ่งที่มามุงดูเหตุการณ์เอ่ยปรามหญิงสาวเอาไว้ “ข้าจะบอกอะไรให้ เจ้าเคาะประตูเยี่ยงนี้ก็มิต่างอะไรกับการแจ้งคนข้างในให้ทราบ ว่ากันว่า ถ้าจับโจรจับขโมยต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา จับชู้ก็ต้องจับให้ได้พร้อมกันทั้งคู่ เจ้าเล่นเคาะประตูหน้าเช่นนี้ พวกเขาก็หนีออกประตูหลังไปพอดี แล้วทีนี้เจ้าจะไปหาเหตุผลมาจากไหนเล่า!”
หญิงสาวได้ฟังก็เห็นพ้องตามที่ว่า นางจึงหยุดความคิดที่จะเคาะประตูไว้เพียงเท่านั้น พลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้ผู้ที่ออกความคิดเห็นเมื่อครู่
ผู้นั้นเสนอว่า “ก็เปิดประตูเข้าไปเลย คนที่อยู่ด้านในจะได้ไม่มีทางหนีรอดไปได้!”
“ใช่ ใช่ ต้องทำอย่างนั้นแหละ!” ผู้คนที่มาห้อมล้อมส่งเสียงเซ็งแซ่
หญิงสาวตกอยู่ในสภาวะโกรธจัด สติสัมปชัญญะของนางเลือนหายไปตั้งนานแล้ว ครั้นได้ฟังความเห็นเหล่านั้นก็ลงมือทำตามโดยไม่ลังเล
ประตูถูกเตะให้เปิดออก หญิงสาวถลาตัวเข้าไปราวกับพายุหมุน
เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ นกกระจอกที่มักจะร้องส่งเสียงต่างก็เกียจคร้านกันถ้วนหน้า ความคึกคักเช่นนี้ไม่มีให้เห็นนานแล้ว เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพุ่งตัวเข้าไป ผู้คนต่างก็กระเหี้ยนกระหือรือตามเข้าไปติดๆ
ทว่าไม่มีใครทันสังเกตเลยว่า คนที่ออกความเห็นอยู่ในฝูงชนลอบออกไปจากจุดเกิดเหตุเงียบๆ
ใบหน้าของจูจื่ออวี้ซีดเผือดเมื่อเห็นกลุ่มคนบุกรุกเข้ามาในห้อง
ชุยหมิงเย่ว์แผดเสียงลั่น “ออกไปให้หมด!”
—————–
[1]เสื้อคลุมเจี๋ย คือ เสื้อคลุมแขนยาวแบบจีนโบราณ