ตอนที่ 328 ฟ้ามืดแล้ว

ภายในคฤหาสน์ใหญ่ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านหลังร้านเต้าหู้ ภายใต้ร่มเงาไม้ เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งกับโต๊ะตัวเล็กๆ ด้านหน้ามีกระดานดำอันหนึ่งตั้งไว้อยู่ ทุกคนถือปากกาขนห่านก้านหนึ่งไว้ คัดลอกอักษรตามที่เขียนบนกระดานดำ

ฮูเหยียนเวยเดินอาดๆ เข้ามา

ที่นี่มิใช่สถานที่ที่ใครหน้าไหนนึกจะเข้ามาก็เข้ามาได้ แต่ฮูเหยียนเวยเป็นกรณียกเว้น เขาเข้าออกได้ตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดขัดขวางเขา

พอมาถึงที่นี่ มองเห็นหยวนกังเดินวนไปมาอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่ใต้ร่มไม้ เขาคิดจะตะโกนเรียกตั้งแต่ไกล ทว่าถูกหนิวหลินห้ามไว้ ทำท่าบอกให้เขาทำตัวเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดัง

ฮูเหยียนเวยพยักหน้า ค่อยๆ เดินเข้าไปใต้ร่มเงาไม้ด้วยความรู้สึกสงสัย มองอุปกรณ์ที่ทุกคนใช้คัดอักษรอยู่ สิ่งที่เขาสนใจคือปากกาขนห่านในมือของทุกคน เพียงจุ่มลงในน้ำหมึกก็สามารถเขียนตัวอักษรเล็กจิ๋วออกมาได้แล้ว

เขามีสีหน้าสนใจใคร่รู้ เดินไปที่หน้ากระดานดำ หยิบปากกาขนห่านก้านหนึ่งขึ้นมาจุ่มลงในน้ำหมึก ลองเลียนแบบตาม เขารู้สึกสนุกขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่าปากกาขนห่านเป็นของดีอย่างหนึ่ง สามารถดูดน้ำหมึกเข้าไปในก้านกลวงเปล่าได้ ยามขีดเขียนน้ำหมึกจะค่อยๆ ไหลลงมาจากในก้านอย่างพอเหมาะพอดี

เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าปากกาขนห่านที่ผ่านการดัดแปลงแล้วกำหนึ่ง ดึงกระดาษมาห่อไว้แล้วยัดใส่เข้าไปในแขนเสื้อตน

เขาพลันรู้สึกว่าต้นคอแน่นตึง หยวนกังคว้าคอเสื้อเขาจากทางด้านหลัง ลากตัวเขาออกมาด้านข้างพลางเอ่ยถามว่า “ไยเจ้าต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ด้วย?”

ฮูเหยียนเวยชูของที่หยิบฉวยมา หัวเราะแหะๆ พลางเอ่ยไปว่า “ขนห่านกำเดียวแอง เจ้าคงไม่ได้ขี้งกขนาดนั้นใช่หรือเปล่า?”

ขนห่านกำเดียวไม่มีค่าอะไรจริงๆ หยวนกังจึงปล่อยตัวเขาไป

ฮูเหยียนเวยยัดของในมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ เอ่ยด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่ให้พวกเขาใช้พู่กันเล่า? ใช้เงินไม่กี่เหรียญเท่านั้น หากเจ้าหักใจจ่ายไม่ลง ประเดี๋ยวข้าออกให้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องกระเบียดกระเสียนขนาดนี้เลย หากข่าวแพร่ออกไปแล้วคนรู้ว่าแม้แต่พู่กันข้าก็ยังไม่ให้คนงานใช้ แต่เอาขนห่านมาให้ใช้แทน เช่นนั้นคงถูกหัวเราะเยาะเข้าจริงๆ ข้าคงขายหน้าคนอื่นเขาเป็นแน่”

หยวนกังกล่าวว่า “พวกเขาล้วนเกิดมายากจน ไม่เคยเรียนรู้หนังสือ พื้นฐานย่ำแย่เกินไป จะใช้พู่กันต้องมีพื้นฐาน จำเป็นต้องใช้เวลานานเพื่อฝึกฝน เรียนรู้ด้วยวิธีนี้ง่ายและสะดวกกว่า ส่วนเรื่องพู่กัน หากวันหน้าพวกเขามีพื้นฐาน ถ้าพวกเขายินดีจะเรียนรู้ ก็ให้พวกเขาไปเรียนเอาเอง”

พอพูดเรื่องพื้นฐานย่ำแย่ ฮูเหยียนเวยฉุกคิดขึ้นมา เอ่ยด้วยความสงสัย “ดูเหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินว่ามีร้านค้าใดรับผิดชอบสอนให้คนงานอ่านเขียนได้มาก่อน ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?”

หยวนกังเอ่ยว่า “กองทัพที่ไม่รู้หนังสือเลยสักตัวคือกองทัพที่โง่เขลา กองทัพที่สติปัญญาตื้นเขินก็เป็นได้แค่คนกล้าที่ไร้ซึ่งแผนการ!”

“หยุดเลย!” ฮูเหยียนเวยรีบยกมือปรามให้เขาหยุด เอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “อันซยง เจ้าห้ามก่อเรื่องวุ่นวายเชียวนะ ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนว่านี่คือคนงานในร้านของพวกเราเท่านั้น มิใช่กองทัพ คำพูดนี้ของเจ้าพูดกับข้าได้ แต่ห้ามเอาไปพูดส่งเดชข้างนอกเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะชักนำความเดือดร้อนเข้ามาหาตัว ข้อหาซ่องสุมกองกำลังส่วนตัวไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนะ!”

หยวนกังเปลี่ยนประเด็น “ไม่ได้พบหน้าเจ้าหลายวัน ได้ยินเสมียนเกาบอกว่าเจ้าถูกที่บ้านกักบริเวณหรือ?”

“เฮ้อ!” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ฮูเหยียนเวยส่ายหน้าทันที “ระยะนี้มีคนดังคนหนึ่งมาเยือนเมืองหลวง ข้าไปทำความรู้จักกับเขามาเล็กน้อย เป็นผลให้ถูกกักตัวไว้ในบ้าน นี่มันเหตุผลอะไรกัน”

หยวนกังถามโดยไม่ได้คิดอะไร “ผู้ใดหรือ?”

ฮูเหยียนเวยหัวเราะเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “เป็นฝ่าซือคนหนึ่ง มาจากแคว้นเยี่ยน คนผู้นี้ใจกล้านัก เคยสังหารราชทูตของแคว้นเยี่ยนในเขตแคว้นจ้าว ได้ยินว่าระหว่างเดินทางมาครั้งนี้เขาสังหารยอดฝีมือลำดับต้นๆ บนทำเนียบโอสถทองไปด้วย เฮ้อ ข้าพูดเรื่องนี้กับเจ้าทำไมกันนะ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งใดคือทำเนียบโอสถทอง? พูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี”

หยวนกังมุ่นคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบว่า “เคยได้ยิน เป็นทำเนียบที่จัดลำดับผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทอง คนที่สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนในเขตแคว้นจ้าวชื่อหนิวโหย่วเต้า”

“หวา!” ฮูเหยียนเวยแสดงความแปลกใจ “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “เรื่องหนิวโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน ข้าเคยได้ยินสมัยอยู่ในกองทัพชายแดน สังหารที่มณฑลจินโจวในแคว้นจ้าวกระมัง?”

“โอ้!” ฮูเหยียนเวยคิดๆ ดูก็พบว่าใช่ เรื่องราวในตอนนั้นเป็นที่โจษจันอย่างยิ่ง การที่เขาจะรู้เรื่องก็ไม่แปลกอะไร

หยวนกังถามอีกครั้ง “แค่ผู้บำเพ็ญเพียรจากแคว้นเยี่ยนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้ท่านถูกกักบริเวณได้เล่า?”

“เฮ้อ อย่าเอ่ยถึงเลย ทันทีที่คนผู้นั้นมาถึงเมืองหลวงก็มีคนไปหาเรื่องทันที พอได้ข่าวว่าเขาสังหารยอดฝีมือบนทำเนียบโอสถทองคนก็ยกโขยงกันไปท้าเขาต่อสู้…” ฮูเหยียนเวยบอกเล่าเรื่องราวที่ประสบมาอย่างเจื้อยแจ้ว เล่าเรื่องการนัดหมายที่ลานน้ำตกเหินหาวรวมถึงเรื่องนัดสังสรรค์กับหนิวโหย่วเต้าที่เรือนเมฆาขาว แต่สุดท้ายกลับถูกที่บ้านกักบริเวณ

ต่อมาเป็นเรื่องใบอนุญาตส่งออกม้าศึกหนึ่งแสนตัว หนิวโหย่วเต้าเผชิญอันตรายจากรอบด้านจึงจัดงานประมูลขึ้นที่ทะเลสาบส่องนภา ตอนอยู่ที่งานประมูลได้ทำร้ายคุนหลินซู่ศิษย์สำนักเพลิงนภาที่มาหาเรื่องท้าทายจนบาดเจ็บสาหัส

โดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องเช่นนี้ และไม่มีผู้ใดจงใจมาเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขาเช่นกัน แต่เป็นเพราะได้รู้จักหนิวโหย่วเต้าแล้ว และเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้า เขาถึงได้ถูกกักบริเวณ อุดอู้อยู่ในบ้านไม่มีอะไรทำ เขาจึงไปสอบถามเรื่องของหนิวโหย่วเต้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ และอยากรู้ด้วยว่าเพราะเหตุใดตนถึงถูกกักบริเวณ เขาถึงได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้มา

ตอนยังไม่ให้ความสนใจยังพอว่า แต่พอให้ความสนใจแล้วก็ยิ่งสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หนิวโหย่วเต้าคนนี้มักเกิดเรื่องเกิดราวอยู่เสมอ น่าสนุกสนานเหลือเกิน!

หยวนกังรับฟังเงียบๆ อารมณ์ปั่นป่วน ตอนนี้เขาไม่ทราบข่าวคราวและสถานการณ์ของโลกบำเพ็ญเพียรเลย เพิ่งรู้วันนี้ว่าหลังจากเต้าเหยี่ยมาถึงเมืองหลวงได้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายขนาดนี้ เผชิญอันตรายมากมายถึงเพียงนี้

ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเต้าเหยี่ยถึงต้องการให้เขาเตรียมการวางเพลิงเมืองหลวง

“วันนี้ที่ออกมาได้ เป็นเพราะมรสุมแรงกดดันที่ฝ่าบาทมีต่อหนิวโหย่วเต้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าคงไม่รู้กระมัง วันนี้ก่อนออกมา ข้าได้ข่าวว่าหนิวโหย่วเต้าคนนั้นก่อเรื่องน่าตกตะลึงอีกอย่างแล้ว เขาสยบหงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยได้ หงเหนียงยอมรับเองกับปากว่าขายตัวเป็นทาสรับใช้เขาแล้ว!”

หยวนกังเอ่ยถาม “หงเหนียงแห่งสวนไม้เลื้อยคือผู้ใด?”

ฮูเหยียนเวยหัวเราะฮ่าๆ “เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นกัน ได้ยินว่าเป็นนายหน้าที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาเยือนเมืองหลวงแคว้นฉีล้วนติดต่อทำการค้ากับนาง สมัยสาวๆ มีชื่อเสียงเลื่องลือนัก แน่นอนว่าข้าไม่เคยเห็นหรอกว่าสมัยสาวๆ นางเป็นเช่นไร แต่ข้าเคยเห็นรูปโฉมในปัจจุบันนี้ของนาง ทรงเสน่ห์เย้ายวนนัก อกใหญ่บั้นท้ายงามงอน ยามที่เดินเหินเอวนั้นเรียกได้ว่าบิดอ้อนแอ้นเลยทีเดียว! ได้ยินว่าอายุราวหกสิบปีแล้ว แต่ภายนอกดูเหมือนเพิ่งสามสิบสี่สิบเท่านั้น ปัจจุบันนี้นางยังคงไปคลุกคลีหลับนอนกับบรรดาหนุ่มน้อยหน้าขาวอยู่ หากมิใช่เพราะคำนึงถึงว่านางแก่กว่ามากโข ประกอบกับท่านพ่อข้าห้ามไม่ให้ข้าไปข้องแวะกับคนของโลกบำเพ็ญเพียรเด็ดขาด ข้าเองก็อยากลิ้มลองนางดูจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์หล่อเหลาองอาจของข้าแล้ว จะสู้เจ้าหนุ่มหน้าขาวพวกนั้นไม่ได้เชียวหรือ?”

หยวนกังฟังมาถึงตรงนี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว เขารู้จักหนิวโหย่วเต้าดี รู้ว่าหนิวโหย่วเต้ามักจะรับตัวพวกคนที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเข้ามา ชอบคบค้ากับคนในเส้นทางต่างๆ การที่เขาต้องตาหงเหนียงคนนี้เข้าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด เขาเอ่ยถามไปว่า “แค่รับตัวหงเหนียงคนนี้ไปก็กลายเป็นเรื่องน่าตกตะลึงแล้วหรือ?”

ฮูเหยียนเวยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “หงเหนียงคนนี้นับเป็นงูเจ้าถิ่นในวงการผู้บำเพ็ญเพียรแห่งแคว้นฉี ได้ยินว่ามีผู้ทรงอำนาจรุ่นอาวุโสไม่น้อยที่เคยพัวพันกับนาง ทั้งยังลือกันว่าบุคคลมีชื่อเสียงเลื่องลือบางส่วนของโลกบำเพ็ญเพียร ณ ปัจจุบันนี้แต่ก่อนล้วนเคยเป็นแขกหลังม่านของนางทั้งสิ้น ได้ยินว่าตอนนั้นมีคนใหญ่คนโตต้องการรับนางเป็นอนุภรรยา แต่เป็นตายอย่างไรนางก็ไม่ยอม จะเป็นเพียงภรรยาเอกเท่านั้น ไม่ยอมเป็นอนุภรรยา เหลวไหลนัก ด้วยชื่อเสียงของนาง ผู้ใดจะกล้าแต่งนางเป็นภรรยาเอกเล่า แต่งแล้วจะยังเชิดหน้าชูตาได้อีกหรือ? คนที่ไม่ยอมเป็นแม้แต่อนุภรรยา ไฉนจึงมาเป็นข้ารับใช้ของหนิวโหย่วเต้าเล่า บุปผาที่ไม่มีผู้ใดเด็ดไปครองได้กลับถูกหนิวโหย่วเต้าคว้าไปครอง เจ้าว่าน่าตกตะลึงหรือไม่เล่า?”

เขาพลันยกมือขึ้นลูบหนวดเคราของตนพลางเอ่ยว่า “แต่หนิวโหย่วเต้าคนนั้นน่าจะมีเสน่ห์มากกว่าข้าอยู่หน่อยนึง!”

หยวนกังมองเขาอย่างค่อนข้างแปลกใจ สามารถทำให้คนผู้นี้ยอมรับว่ามีเสน่ห์มากกว่าตัวเขาได้นับว่าไม่ง่ายเลย จึงเอ่ยถามไปว่า “เจ้าสนิทสนมกับหนิวโหย่วเต้าหรือ?”

ฮูเหยียนเวยตอบว่า “ก็ไม่นับว่าสนิทสนมอะไร แต่เคยพบหน้าพูดคุยกันมาก่อน ตัวเขามีบุคลิกบางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ดึงดูดคนเป็นอย่างมาก อยู่กับเขาแล้วรู้สึกสบายใจ ทำให้รู้สึกปลอดภัย ด้วยประสบการณ์คบค้าสหายในช่วงหลายปีมานี้ของข้า คนผู้นี้คบได้! การที่หงเหนียงต้องตาเขาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล”

“เรื่องบางอย่างที่ได้ยลและได้ยินมายังไม่แน่ว่าจะเป็นความจริง หงเหนียงคนนั้นเป็นคนที่มีหลักการคนหนึ่ง น่าจะไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่พวกเจ้าคิดกัน” หยวนกังเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วหันหลังเดินออกไป

ฮูเหยียนเวยผงะไปเล็กน้อย รีบตามไปทันที “เจ้ารู้ได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้จักนางมิใช่หรือ?”

“ความรู้สึก!”

….

ฟ้ามืดแล้ว

ณ สวนไม้เลื้อย พวกหนิวโหย่วเต้าเดินเล่นอยู่ในสวน ก่วนฟางอี๋เดินเยื้องย่างเข้ามาจากทางประตูใหญ่ พบกับทางนี้เข้าพอดี

ลิ่งหูชิวเอ่ยยิ้มๆ “มีแขกแวะเวียนมาสอบถามอยู่เนืองๆ คาดว่าวันนี้เจ้าคงเหนื่อยน่าดู”

พอพบหน้าทางนี้เข้า ก่วนฟางอี๋พลันเบือนหน้าหนี หมุนตัวเดินออกไปตามทางเดินเล็กๆ ด้านข้าง

หนิวโหย่วเต้าเรียกไว้ “หงเหนียง พบหน้าแล้วจงใจเมินเฉยแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”

ร่างก่วนฟางอี๋ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในศาลาที่อยู่ด้านข้าง นั่งทุบขาอยู่ที่นั่น

ทั้งกลุ่มเดินเข้าไปหา เข้าไปในศาลา หนิวโหย่วเต้านั่งลงด้านข้างแล้วเอ่ยถาม “วันนี้จงใจหลบหน้าข้าใช่หรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยประชดประชัน “ก็เป็นเพราะเจ้ามิใช่หรือที่ต้องการให้ข้ารับรองแขกที่มาสอบถาม ต้องให้คำอธิบายอย่างชัดเจน นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการเห็นมิใช่หรือ? เหน็ดเหนื่อยมากจนไม่มีเวลามาพบท่าน หวังว่านายท่านจะอภัยให้ด้วย” ขณะที่พูดอยู่ จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมา ย่อกายลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “บ่าวคารวะนายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านมีเรื่องใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ”

พวกลิ่งหูชิวอมยิ้ม

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่จำเป็นต้องมากพิธีขนาดนั้น! ลำบากเจ้าแล้ว แต่ก็เหนื่อยแค่คราวนี้เท่านั้น ต่อไปไม่จำเป็นต้องต้อนรับพวกเขาแล้ว ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว สบายใจได้แล้วมิใช่หรือ?”

ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่ทีหนึ่ง “เจ้าพูดมาตามตรงดีกว่า เอาตัวข้าไว้ทำไม คงมิใช่ว่าต้องการให้ข้าไปหลับนอนกับเจ้ากระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดูเจ้าพูดเข้าสิ ทำตัวเหมือนได้รับความอยุติธรรมหนักหนา ข้าจะบอกเจ้าให้นะ คนอื่นต้องการมาติดตามข้า ข้ายังไม่เหลือบแลเลย ได้มาติดตามข้านับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว”

“ใช่!” ลิ่งหูชิวพยักหน้ารับ “หงเหนียง เรื่องนี้ข้ายืนยันได้ เอาไว้เจ้ามีโอกาสได้ไปที่จังหวัดชิงซานแล้ว เจ้าจะรู้เองว่าสุราที่รสชาติเลิศล้ำที่สุดบนโลกนี้อยู่ในถิ่นของเขา อาหารที่อร่อยที่สุดในโลกใบนี้ก็อยู่ในบ้านเขาเช่นกัน หลังจากเจ้าไปถึงแล้ว เจ้าจะได้รู้ว่าชีวิตในเมืองหลวงแคว้นฉีหลายปีมานี้ของเจ้าเสียเปล่าแล้ว”

ก่วนฟางอี๋ไม่เชื่อ เอ่ยดูแคลนว่า “แดนกันดารที่เต็มไปด้วยสงครามเช่นนั้นน่ะหรือ?”

ลิ่งหูชิวจุ๊ปากพลางส่ายหน้า กล่าวไปว่า “พูดไปเจ้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี ประเดี๋ยวพอไปถึงแล้วเจ้าจะรู้เองว่าข้ามิได้โป้ปด”

“เรื่องในอนาคตก็เอาไว้ว่ากันในอนาคตเถอะ” ก่วนฟางอี๋บอกปัดไปอย่างไม่สบอารมณ์ จ้องไปที่หนิวโหย่วเต้าแล้วเอ่ยถาม “เจ้าไม่ได้จะติดตามอวี้อ๋องหรอกหรือ ยังจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานอีกหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “ไม่กลับจังหวัดชิงซานแล้วจะให้ไปไหนเล่า?”

ก่วนฟางอี๋มองไปรอบๆ พลันกระซิบถามเสียงเบา “เรื่องที่เว่ยฉูมาสอบถาม เจ้าได้บอกเขาไปหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ไม่ได้บอก!”

ก่วนฟางอี๋ยกสองมือปิดหน้า ส่งเสียงโอดครวญ “เจ้าล่วงเกินใครไม่ล่วงเกิน ไปล่วงเกินจินอ๋องทำไมกัน? จบแล้ว ครั้งนี้ข้าถูกเจ้าหลอกไปตายเสียแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าหันไปมองลิ่งหูชิว เอ่ยถามเขา “จินอ๋องคนนี้จัดการยากหรือ?”

ลิ่งหูชิวเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ได้ยินว่าจินอ๋องคนนี้เป็นคนอ่อนโยน แต่ในการช่วงชิงอำนาจจะใช้วิธีการไม่ซื่อกันบ้างก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้”

“เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าเพิ่งมาอยู่ในเมืองหลวงได้เท่าไรเอง พวกคนใหญ่คนโตหรือพวกคนตัวเล็กตัวน้อยในเมืองหลวงแห่งนี้ ข้ากล้าพูดเลยว่าไม่มีใครรู้จักพวกเขาดีไปกว่าข้าอีกแล้ว!” ก่วนฟางอี๋ลดสองมือลง จ้องหนิวโหย่วเต้าพลางโอดครวญออกมา “ข้าจะบอกเจ้าให้รู้ไว้ จินอ๋องคนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนจะทำตัวอ่อนโยนมีเมตตาให้เกียรติคนอื่น แต่ความจริงแล้วเป็นการแสดงทั้งสิ้น คนมากมายล้วนถูกการแสดงของเขาหลอกลวง เขาหาใช่คนใจกว้างอันใดไม่ หากแต่เป็นคนถ่อยจอมเจ้าคิดเจ้าแค้น! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดองค์ฮ่องเต้ถึงไม่ยอมแต่งตั้งรัชทายาทเสียที? ผู้ใดจะรู้นิสัยบุตรดีเท่าบิดา ถึงอยากแต่งตั้งเขาก็คงนึกลังเลอยู่ ไม่กล้าตัดสินใจแต่งตั้งเขา หากจะข้ามหน้าลูกคนโตไปแต่งตั้งลูกคนรองก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น จึงส่งผลให้ตำแหน่งรัชทายาทยังคงว่างเปล่ามาจนถึงตอนนี้ หากเจ้าไม่เชื่อก็รอดูได้เลย เจ้าล่วงเกินจินอ๋องเข้าแล้ว จินอ๋องไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่นอน!”

……………………………………………………………………