ตอนที่ 329 ลงมือก่อนได้เปรียบ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 329 ลงมือก่อนได้เปรียบ

พอได้ยินนางเล่าอย่างจริงจังเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าคล้ายไม่ค่อยเชื่อนัก ถามด้วยความฉงนว่า “ข้าเห็นว่าองค์ฮ่องเต้แคว้นฉีดูมีความคิดความอ่านยิ่ง มิใช่คนโลเลไม่เด็ดขาด หากเขารู้นิสัยโอรสคนนี้แล้ว ไยจึงให้ท้ายอีก?”

“มิใช่ให้ท้ายหรอก!” ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจพลางเอ่ยไปว่า “เจ้าน่ะไม่รู้อะไร ประวัติศาสตร์การชิงราชบัลลังก์ล้วนนองเลือดเสมอ ตอนที่เฮ่าอวิ๋นถูได้ครองบัลลังก์ก็เช่นกัน ตอนนั้นหลังจากอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ศึกชิงบัลลังก์อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างองค์ชายได้เปิดฉากขึ้น ตอนนั้นข้าอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉีแล้ว ทั่วทั้งเมืองหลวงเรียกได้ว่าเลือดนองเป็นสายธาร เฮ่าอวิ๋นถูมีกำลังน้อยกว่า ถูกกองทหารจำนวนมากปิดล้อม ธนูยิ่งเข้ามาดังห่าฝน เป็นมารดาของจินอ๋องเฮ่าฉี่ที่ใช้ตัวบังเฮ่าอวิ๋นถูไว้จึงทำให้เฮ่าอวิ๋นถูรอดชีวิตมาได้ ปู้สวินโน้มน้าวสามสำนักใหญ่ที่วางตัวเป็นกลางได้สำเร็จจนได้รับการสนับสนุนจากสามสำนักใหญ่ ยามที่นำกำลังคนเร่งรุดมาให้ความช่วยเหลือ มารดาของจินอ๋องถูกลูกธนูปักอยู่ทั่วร่างจนดูราวกับเม่นตัวหนึ่ง เฮ่าอวิ๋นถูคลานออกมาจากใต้ศพของสตรีนางนั้น เลือดของนางเปรอะเปื้อนตัวเฮ่าอวิ๋นถู เฮ่าอวิ๋นถูกอดศพของสตรีนางนั้นร่ำไห้ท่ามกลางกองซากศพ ตอนนั้นหากมิใช่เพราะสตรีนางนั้นยอมเอาชีวิตเข้าแลก ไหนเลยจะมีเฮ่าอวิ๋นถูในปัจจุบันนี้ พอมาถึงเรื่องในปัจจุบันนี้ เฮ่าอวิ๋นถูจึงไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี!”

หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงว่าจะมีอดีตเช่นนี้อยู่ในเรื่องราวด้วย เขาเอ่ยถาม “เขากล้าเป็นปฏิปักษ์กับผู้ดูแลหลวงด้วยหรือ?”

ก่วนฟางอี๋สะดุ้งเล็กน้อยเอ่ยไปว่า “ดังนั้นข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่ากลับไปที่จังหวัดชิงซานเลย ป่าเขากันดารเช่นนั้นมีอันใดน่ากลับไปกัน อยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้เถอะ เจ้ามีปู้สวินเป็นที่พึ่ง ปู้สวินมีอิทธิพลต่อการขึ้นครองตำแหน่งของจินอ๋องแน่นอน ก่อนที่ตำแหน่งรัชทายาทจะถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จินอ๋องไม่มีทางกล้าล่วงเกินปู้สวิน แต่หากออกจากเมืองหลวงไปมันก็พูดยากแล้ว หน่วยข่าวกรองไม่ได้ดูแลตรวจตราภายนอกเข้มงวดเท่าในเมืองหลวงแห่งนี้ ต่อให้มีคนลงมือกับเจ้า แต่ผู้ใดจะพิสูจน์ได้ล่ะว่าเป็นฝีมือของจินอ๋อง?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากทำตามที่เจ้าว่า ข้าคงออกจากเมืองหลวงแคว้นฉีไม่ได้ชั่วชีวิตกระมัง?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “แล้วจะเป็นไรไปเล่า? ข้าก็ไม่ออกจากเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว มีเรื่องใดก็ใช้ลูกน้องไปทำแทนก็พอ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวไปว่า “หากข้าเป็นคนไร้ค่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ไปตลอด เจ้าคิดว่าข้ายังจะได้รับการสนับสนุนจากปู้สวินอยู่หรือ?”

“….” ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออก คำพูดของอีกฝ่ายใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

อันที่จริงนางก็ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างหนิวโหย่วเต้าและปู้สวิน

หนิวโหย่วเต้าถามต่อว่า “จินอ๋องเรียกใช้คนของสามสำนักใหญ่ได้หรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยตอบว่า “เรื่องเรียกใช้ย่อมเรียกใช้ได้ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเป็นเรื่องใด สามสำนักทำงานกับพ่อของเขาย่อมไม่ฟังคำสั่งของเขา เจ้ามีปู้สวินให้การสนับสนุน เรื่องเรียกใช้คนของสามสำนักมาจัดการเจ้านั้นไม่น่าจะเป็นไปได้”

หนิวโหย่วเต้าถามว่า “ในมือจินอ๋องยังมีผู้บำเพ็ญเพียรจากกลุ่มอิทธิพลใดอีก?”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เขามีฐานะเป็นองค์ชาย จึงยังไม่กล้าขยายกำลังของตนไปในโลกบำเพ็ญเพียรอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย สามสำนักจะเป็นกลุ่มแรกที่ไม่ยอมปล่อยให้เขาทำเช่นนั้น ในฉากหน้ามีสามสำนัก แต่แอบเลี้ยงเว่ยฉูไว้อย่างลับๆ”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อไป “เว่ยฉูคนนี้เป็นคนจากกลุ่มอิทธิพลใด?”

ก่วนฟางอี๋เล่าว่า “เว่ยฉูเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนของกลุ่มอิทธิพลใด แต่หลังจากเข้ามาพึ่งพิงจินอ๋อง ก็อาศัยประโยชน์จากอิทธิพลของจินอ๋องมาสร้างอิทธิพลของตนขึ้นในโลกบำเพ็ญเพียร แต่ในทางกลับกัน เขาก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาทำงานให้จินอ๋องด้วย ผู้คนที่เขาไปมาหาสู่ด้วยมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง”

“พูดอีกอย่างก็คือ หากต้องการกำจัดข้าล่ะก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเรียกใช้เว่ยฉูคนนี้กระมัง?” หนิวโหย่วเต้าถาม

“ก็คงเป็นเช่นนั้น!” ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับ “เว่ยฉูคนนี้กีดกันคนนอกเป็นอย่างมาก เพื่อรักษาอิทธิพลที่ตนมีต่อจินอ๋องเอาไว้ คนอื่นๆ ที่หวังจะเข้ามาพึ่งพิงจินอ๋องล้วนถูกเขากำจัดทิ้งทั้งสิ้น แต่ข้ามองว่าไม่ช้าก็เร็ว คนผู้นี้จะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่”

ลิ่งหูชิวร้องโอ้ ถามไปว่า “เพราะอะไร?”

ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “เหตุผลนั้นง่ายมาก หากจินอ๋องได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท คนของสามสำนักไม่มีทางยอมให้กลุ่มอำนาจอื่นเข้ามามีอิทธิพลและบงการจินอ๋องได้ มิเช่นนั้นจะกระทบถึงผลประโยชน์ของสามสำนักใหญ่ สามสำนักใหญ่ต้องกำจัดเขาทิ้งแน่นอน”

ในเวลานี้เอง สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา เชิญก่วนฟางอี๋ไปกินมื้อเย็น

ก่วนฟางอี๋ปรายตามองหนิวโหย่วเต้า เอ่ยประชดว่า “ต้องการให้ข้าปรนนิบัติเจ้ากินอาหารหรือไม่?”

“ข้ากลัวจะถูกเจ้าวางยาพิษฆ่าเอาน่ะสิ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยหยอก โบกมือเล็กน้อย เป็นการอนุญาตให้นางไปได้

หลังจากมองส่งนางจากไป หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง หงเหนียงเหมาะจะเป็นนายหน้ามากกว่าท่านอีก เรื่องที่นางรู้มีมากกว่าท่านนัก”

ลิ่งหูชิวยิ้มเจื่อน เอ่ยไปว่า “จะเทียบกันได้หรือ? นางอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้มากี่สิบปีแล้ว หากว่ารู้น้อยกว่าข้า เช่นนั้นหลายปีมานี้นางก็อยู่อย่างเสียเปล่าแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่รอง กับเว่ยฉูคนนี้ ท่านคิดเห็นอย่างไร?”

ลิ่งหูชิวฟังออกว่าในวาจาเขามีความนัยอื่นแฝงไว้อยู่ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นยืน หันมาเผชิญหน้าแล้วเอ่ยว่า “อยากรบกวนพี่รองช่วยธุระข้าสักอย่าง!”

ลิ่งหูชิวเอ่ยด้วยความฉงนลังเล “ธุระใด?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ลงมือก่อนได้เปรียบ!”

“…..” ลิ่งหูชิวพูดไม่ออก สบตากับหงฝูที่อยู่ข้างกาย ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะกำจัดเว่ยฉูหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเต้าพยักหน้าเล็กน้อย “พี่รองคิดเห็นเช่นไร?”

ลิ่งหูชิวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คนผู้นี้จัดการได้ยาก! เขาอาศัยอำนาจของจวนจินอ๋อง ในมือคงรวบรวมยอดฝีมือมาอยู่ด้วยไม่น้อย คิดจะสังหารเขามิใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งหากทำพลาดจนร่องรอยเปิดเผยออกไปล่ะก็ โทษฐานสังหารคนของจวนจินอ๋อง เกรงว่าแม้แต่ปู้สวินก็คงไม่สะดวกจะออกหน้าปกป้องเจ้า”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากข้าอยากไปจากที่นี่อย่างราบรื่น ข้าก็ต้องสร้างปัญหาวุ่นวายให้กับทางจวนจินอ๋องไว้ ทำให้จวนจินอ๋องไม่มีเวลามานั่งสนใจข้า การกำจัดเว่ยฉูเป็นวิธีที่ดีที่สุด หงเหนียงได้บอกเล่าสถานการณ์ไว้ชัดเจนมากแล้ว เว่ยฉูควบคุมกองกำลังลับของจินอ๋องเอาไว้ หากเว่ยฉูตาย จะทำให้จินอ๋องยากจะรวบรวมกำลังคนมาเล่นงานข้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ มีเวลาเพียงพอให้ข้าได้หลบหนี”

ลิ่งหูชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่ข้าไหนเลยจะมีความสามารถขนาดนั้น? อย่าว่าแต่ข้าเลย ในแคว้นฉีแห่งนี้จะมีสักกี่คนที่กล้าทำ? ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนสนิทของจินอ๋องด้วยแล้ว”

“พี่รองรู้จักคนมากมาย ลองคิดหาทางหน่อย ยังไงก็ต้องหาคนที่เหมาะสมจะลงมือได้แน่ หากว่าจำเป็นต้องใช้เงิน เรื่องนี้ข้ารับผิดชอบเอง” พอกล่าวมาถึงตรงนี้ หนิวโหย่วเต้าประสานมือเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ “พี่รอง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของข้า หวังว่าพี่รองจะไม่ปฏิเสธ!”

ลิ่งหูชิวไม่ได้ตอบรับ แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาบอกเพียงว่าขอคิดดูก่อน พูดทำนองว่าการบุ่มบ่ามรับปากจะถือว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อหนิวโหย่วเต้า

หลังมองส่งหนิวโหย่วเต้าจากไป ลิ่งหูชิวถอนหายใจ หงฝูที่อยู่ด้านข้างก็ทราบถึงความลำบากใจของเขาเช่นกัน

ในเวลานี้เอง หงซิ่วเดินเข้ามา ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งมาด้วย เอ่ยเสียงเบา “เรื่องของเว่ยฉู เบื้องบนตอบกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

ลิ่งหูชิวหยิบมาอ่าน หลังจากอ่านจบก็ยื่นส่งไปให้หงฝูอ่าน พลางถอนหายใจเอ่ยว่า “ก็ไม่ต่างจากที่ก่วนฟางอี๋เล่ามาเท่าไร แค่ละเอียดกว่าเล็กน้อย”

หลังจากหงฝูอ่านจบก็ขยำกระดาษในมือจนแหลกเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไป

ลิ่งหูชิวที่มองดูถอนใจออกมาอีกครั้ง “เฮ้อ ก่อนหน้านี้คิดจะผลักภาระไปให้น้องสาม ตอนนี้น้องสามกลับโยนภาระมาให้ข้าเสียแล้ว”

หงซิ่วแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”

“เขาต้องการให้นายท่านสังหารเว่ยฉู…” หงฝูบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างละเอียด

หงซิ่วมีสีหน้าตึงเครียด “คนสนิทของจินอ๋องไหนเลยจะจัดการได้ง่ายเพียงนั้น?”

ลิ่งหูชิวหรี่ตาเอ่ยว่า “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เว่ยฉูคนนี้ก็ใช่ว่าจะฆ่าไม่ได้ หากกำจัดเขาทิ้ง มีโอกาสน้อยมากที่สามสำนักจะตามล้างแค้นแทนเขา อีกทั้งเบื้องหลังของเขาก็ไม่มีกลุ่มอิทธิพลใดๆ หนุนหลังอยู่ แต่จะต้องทำอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาจะหนักหนายิ่งนัก เท่ากับเป็นการตัดแขนจินอ๋องทิ้งข้างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย จะส่งผลให้รูปการณ์ของราชสำนักแคว้นฉีเปลี่ยนแปลงไป ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวพันไปถึงแผนที่เบื้องบนจัดวางไว้อย่างลับๆ หรือไม่ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเราสามารถทำได้ คงต้องให้เบื้องบนลงมือ แต่ก็ยังไม่แน่ว่าเบื้องบนจะยอมตกลงทำเรื่องนี้ เพราะมันเกี่ยวพันไปถึงโอรสของฮ่องเต้แคว้นฉี อันตรายนัก!”

หงซิ่วเอ่ยถาม “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”

“ข้าก็ลำบากใจเช่นกัน แต่หากข้าไม่รับงานนี้ มันก็ยิ่งยากที่จะทำให้น้องสามเชื่อใจได้!” ลิ่งหูชิวโอดครวญ หันไปเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองลำบาก ส่งข่าวไปหาเบื้องบนเถอะ ให้เบื้องบนรีบตัดสินใจแล้วตอบกลับมา!”

….

ภายในห้องลับ แสงไฟเหลืองหม่น

ในห้องลับที่ว่างเปล่ามีโต๊ะยาวตัวหนึ่ง เก้าอี้อีกสองตัว เทียนไขหนึ่งเล่ม เปลวไฟไม่ส่ายไหวเลยแม้แต่น้อย

อวี้อ๋องเฮ่าหงสวมชุดหรูหรางดงาม นั่งนิ่งด้วยใบหน้าสุขุมเยือกเย็น จ้องมองเทียนไขที่อยู่ริมโต๊ะเล่มนั้น ราวกับสมณะเฒ่าเข้าฌาน เทียนเผาไหม้ไปครึ่งเล่มแล้ว

ทันใดนั้นไม่ทราบว่ามีลมพัดมาจากไหน ทำให้เปลวไฟส่ายไหวไปมา เฮ่าหงหันไปมองที่มุมกำแพงด้านหนึ่ง

ครืด! กำแพงด้านนั้นถูกผลักให้พลิกหมุนสลับ คนผู้หนึ่งที่สวมชุดคลุมสีดำเดินเข้ามา

เฮ่าหงลุกขึ้นยืน ผู้มาเยือนเลิกหมวกที่คลุมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าของบุรุษหน้าผอมตอบไว้เคราแพะ เป็นเว่ยฉู

“ท่านลุง!” เฮ่าหงประสานมือคำนับ

“ท่านอ๋องเชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยฉูผายมือเชิญ หลังจากทั้งสองนั่งลงแล้ว เว่ยฉูถามขึ้นอีกครั้ง “มีเวลาไม่มาก คุยอย่างรวบรัดเลยแล้วกัน พระชายาไปพบหนิวโหย่วเต้าด้วยเรื่องใดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าหงตอบว่า “เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อ คิดจะอาศัยอิทธิพลที่ซางเสวี่ยมีต่อพระบิดาของนาง รวมถึงอิทธิพลที่หนิวโหย่วเต้ามีต่อซางเฉาจงเพื่อให้ทั้งสองสมานฉันท์กัน!”

“หือ?” เว่ยฉูอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความแปลกใจ

เฮ่าหงเอ่ยถาม “ไยท่านลุงถึงประหลาดใจหรือ?”

เว่ยฉูลูบเคราแพะพลางเอ่ยว่า “ที่แท้หนิวโหย่วเต้าก็พูดความจริง มิได้ปิดบังกระหม่อม…ดูเหมือนจะไม่ต้องการล่วงเกินจินอ๋องจริงๆ…จนใจที่จินอ๋องกลับไม่คิดจะปล่อยเขาไป”

เฮ่าหงกะพริบตาเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่คิดจะสังหารหนิวโหย่วเต้าหรือ?”

เว่ยฉูพยักหน้ารับ

“คงมิใช่ว่าต้องการให้ท่านลุงลงมืออีกกระมัง? ความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต้าและปู้สวินยังไม่ชัดเจน จะบุ่มบ่ามไม่ได้ อีกอย่างหนิวโหย่วเต้าก็ดูเหมือนจะจัดการได้ยากเช่นกัน”

“ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ มันก็ล้วนเป็นผลดีต่อพระองค์ ยิ่งเขามีความผิดมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อพระองค์มากเท่านั้น หลายปีมานี้ ที่กระหม่อมอยู่ข้างกายเขามิใช่เพื่อจะยุยงปลุกปั่นให้เขาเจ้าอารมณ์โมโหร้ายยิ่งขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะค่อยๆ ผลักเขาไปสู่ทางตัน จากนั้นก็ยืมมือเขาสะกดองค์ชายคนอื่นๆ เอาไว้ พระองค์เพียงสำรวมตน ทำตัวเป็นองค์ชายผู้มีคุณธรรมของพระองค์ต่อไปก็พอ เฮ้อ เขายังได้รับอานิสงส์ใบบุญของมารดาเขาอยู่ มิเช่นนั้นคงโค่นเขาได้นานแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงค่อยๆ ลงมือไป ทำให้เสด็จพ่อของพระองค์ค่อยๆ ระอาเขา ใช่แล้ว ปู้สวินไปหาหนิวโหย่วเต้าด้วยเรื่องใด? แค่จะสร้างสันติ ทำไมถึงต้องให้ปู้สวินและพระชายาผลัดกันไปพบหนิวโหย่วเต้าด้วย?”

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ปู้สวินไม่พูดถึง ข้าเองก็ไม่สะดวกจะถามมาก”

เว่ยฉูขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ยังคงคิดไม่ออกอยู่ดี จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้! กระหม่อมต้องกลับก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าหงรีบลุกตาม เอ่ยว่า “ท่านลุง หลายปีมานี้เสด็จแม่คะนึงหาและระลึกถึงท่านมาตลอด เมื่อวานทรงแอบเปรยกับข้าว่าอยากพบหน้าท่านสักครั้งเพื่อคลายความคิดถึง!”

เว่ยฉูโบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่พบ! ก่อนงานใหญ่จะสำเร็จ จะพบกันไม่ได้เด็ดขาด พระองค์ทูลพระมารดาของพระองค์เถอะพ่ะย่ะค่ะ วันหน้าอย่าแม้แต่จะเอ่ยถึงกระหม่อมอีก ให้ถือเสียว่าพี่ชายคนนี้ของนางไม่มีตัวตน อำนาจสืบสวนที่หน่วยข่าวกรองมีต่อเมืองหลวงมิใช่สิ่งที่พวกเราจะสามารถหยั่งวัดได้ หากข่าวรั่วไหลออกไป ความเดียดฉันท์ทั้งหมดที่เสด็จพ่อของพระองค์มีต่อจินอ๋องในช่วงหลายปีมานี้จะย้อนกลับมาตกอยู่กับพระองค์ ทำให้พระองค์กลายเป็นผู้มีความผิดทันที ผลลัพธ์ที่จะตามมาไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะแบกรับไหว พระมารดาของพระองค์เองก็รับไม่ไหวเช่นกัน ความพยายามในช่วงหลายปีมานี้จะสูญเปล่าทั้งหมด พระองค์เข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เฮ่าหงค้อมกายประสานมือคำนับ เอ่ยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว “ขอรับ! ข้าจดจำไว้แล้ว!”

……………………………………………………………………………….