ตอนที่ 330 ต่อไปข้านอนบนเตียง เจ้านอนบนพื้น

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 330 ต่อไปข้านอนบนเตียง เจ้านอนบนพื้น

เมฆครึ้มบดบังจันทรา ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ เสียงหรีดหริ่งเรไรตรงมุมรั้ว ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวเบา

ในเรือนพักของก่วนฟางอี๋ บานหน้าต่างสว่างไสวด้วยแสงตะเกียง

ภายใต้แสงจันทร์ หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามา ถูกยามเฝ้าประตูเรือนขวางไว้ หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยถามผู้ขัดขวางว่า “ยังไม่รู้อีกหรือว่านายคนปัจจุบันของสวนไม้เลื้อยคือใคร? ต้องการให้ข้าบอกหงเหนียงให้ไล่เจ้าออกไปจากสวนไม้เลื้อยหรือไม่?”

ยามเฝ้าประตูสบตากันเล็กน้อย คนหนึ่งอยู่เฝ้าต่อไป ส่วนอีกคนรีบเข้าไปรายงานด้านใน

หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจ บุกเข้าไปทันที คนที่อยู่เฝ้าจะขวางก็ไม่ได้ ไม่ขวางก็ไม่ดี

หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจความรู้สึกของคนผู้นั้น เวลานี้ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ล้วนแตกต่างกันไป เขาเองก็ไม่สามารถไปนั่งสนใจความรู้สึกของทุกคนได้

คนที่เข้าไปรายงานกลับออกมา ตอนที่เดินสวนหนิวโหย่วเต้าไป เขาเหลียวมองแผ่นหลังของหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเย็นชา

บานประตูเรือนปิดสนิทอยู่ สาวใช้นางหนึ่งเปิดประตูเดินออกมาแล้วรีบปิดประตูไว้อีกครั้ง ยืนขวางอยู่หน้าประตูเอ่ยรายงานด้วยความประหม่าว่า “นายท่าน นายหญิงกำลังอาบน้ำอยู่ ให้ท่านคอยสักครู่เจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าสูดจมูกเล็กน้อย มีกลิ่นหอมกรุ่นของน้ำอาบโชยออกมาจริงๆ น่าจะไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่ทราบว่าสตรีที่อารมณ์เสียอยู่คนนี้จะปล่อยให้ตนรอนานแค่ไหน เขาพลันตะโกนเสียงดังว่า “หงเหนียง ให้เวลาเจ้าหนึ่งเค่อ หากพ้นหนึ่งเค่อไปแล้วข้าจะบุกเข้าไป”

เสียงก่นด่าของก่วนฟางอี๋แว่วมาจากด้านในทันที “ข้าเพิ่งจะได้แช่น้ำ แค่หนึ่งเค่อไม่พอ รอไปก่อน!”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!” หนิวโหย่วเต้าตอบกลับ จากนั้นหันหลังเดินกลับไปที่ลานเรือน เงยหน้าชมจันทราที่ถูกเมฆาครึ้มบดบังเป็นระยะๆ

“สารเลว…” เสียงก่นด่างึมงำแว่วออกมาจากในเรือน ไม่ได้ระบุเจาะจงนามว่าด่าผู้ใด แต่คนด่าและคนถูกด่าต่างรู้ดีว่ากำลังด่าใคร

สาวใช้ที่เฝ้าประตูจ้องมองหนิวโหย่วเต้าที่หันหลังให้ทางนี้ไม่วางตา

ก่วนฟางอี๋ยังคงรักษาเวลา ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็เปิดประตูเดินออกมา สาวใช้สองนางยกถังอาบน้ำใบใหญ่ออกมา

ก่วนฟางอี๋ที่ปล่อยผมสยายไว้ด้านหลังเดินมาหยุดข้างกายหนิวโหย่วเต้าที่ยืนยกมือไพล่หลัง มองใบหน้าด้านข้างของเขาที่เงยหน้ามองจันทราอย่างเฉยเมย เอ่ยถามออกไป “มีเรื่องอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เอียงหน้าไปด้านข้าง ขยับเข้าใกล้นางพลางสูดจมูกนิดๆ “หอมจริงๆ เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นโฉมงาม ใช้เครื่องหอมอะไรหรือ?”

ประโยคที่ว่า ‘เพียงได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นโฉมงาม’ หยอกให้ก่วนฟางอี๋ยิ้มออกมา นางหัวเราะหึหึพลางเอ่ยไปว่า “เจ้าลองเดาเอาเองสิ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ทางจังหวัดชิงซานมีวัตถุดิบพร้อมสรรพ เอาไว้กลับไปถึงจังหวัดชิงซานแล้วข้าจะทำน้ำอบให้เจ้า เมื่อพรมลงบนร่างแล้วจะหอมฟุ้ง รับรองว่าเจ้าต้องชอบแน่”

ก่วนฟางอี๋คล้ายจะไม่เชื่อ เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน “รอให้เจ้ารอดชีวิตกลับไปได้แล้วค่อยว่ากัน”

หนิวโหย่วเต้าหมุนตัว ลากแขนนางให้หันกลับมาด้วย จากนั้นทาบมือลงบนแผ่นหลังของนาง พานางเดินกลับไป “ไปคุยในเรือนเถอะ”

“มือไม้อย่ารุ่มร่าม!” ก่วนฟางอี๋บิดตัวเล็กน้อย ปัดมือเขาออก

หนิวโหย่วเต้าถือกระบี่ต่างไม้เท้า ยิ้มแล้วก้าวนำไปก่อน เดินนำเข้าไปในเรือนของนาง หลังจากเข้าไปก็มองซ้ายมองขวา ในห้องยังมีกลิ่นหอมจางๆ หลังอาบน้ำหลงเหลืออยู่

ก่วนฟางอี๋ตามเข้ามา เอ่ยว่า “เจ้าทุ่มเทขนาดนี้ คงมิใช่ว่าอยากหลับนอนกับข้าจริงๆ กระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ากำลังเดินวนรอบห้องของนางอยู่ เอ่ยขึ้นว่า “งดงามประณีต ตกแต่งเรียบง่าย แต่กลับมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ไม่ค่อยเข้ากับชื่อเสียงของเจ้าเลย”

ก่วนฟางอี๋เม้มมุมปากเล็กน้อย “หยุดโยกโย้ได้แล้ว ว่ามา เหตุใดถึงจับตามองข้าไม่ยอมปล่อย?”

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหานาง ค้ำกระบี่ไว้ด้านหน้า เอ่ยหยอกเอิน “ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้น เพียงอยากนอนกับเจ้าเท่านั้น”

ก่วนฟางอี๋แค่นเสียงเหอะ “อยากนอนกับข้าน่ะได้ แต่ต้องทำตามกฎของข้า”

หนิวโหย่วเต้าถามด้วยความสนใจ “กฎอะไร? ไหนลองว่ามาสิ”

ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ต้องมีความสามารถถึงจะได้นอนกับข้า”

หนิวโหย่วเต้า “ความสามารถอะไร?”

ก่วนฟางอี๋อธิบายว่า “หากเจ้าทำให้ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำให้ข้าจำต้องหลับนอนด้วย นั่นก็คือความสามารถของเจ้า หากว่าไม่มีความสามารถนี้ ก็ต้องมีคุณสมบัติน่าสนใจมานำเสนอ ข้าชอบบุรุษที่มีความสามารถ ยกตัวอย่างเช่นพิณภาพหมากตำรา หากมีสิ่งใดที่ทำให้ข้าพึงพอใจได้ ข้าก็จะยอมสยบต่อเจ้า”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บรรทัดฐานความพอใจของเจ้าคือสิ่งใด?”

ก่วนฟางอี๋เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง บิดตัวสะบัดเรือนผมยาวสลวยแล้วนั่งลงไป ยกขาไขว่ห้างพลางเอ่ยว่า “บรรทัดฐานของข้าแบ่งออกเป็นสามระดับ ยอดเยี่ยม ปานกลาง ต่ำ ระดับยอดเยี่ยมย่อมเป็นการยอมนอนกับเจ้า ระดับปานกลางให้นอนบนพื้นได้เท่านั้น ระดับต่ำคือไสหัวออกไปเสีย”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ดูเหมือนบรรทัดฐานความพอจะขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเท่านั้น หากว่าเจ้าไม่อยากถูกเอาเปรียบ แต่ก็ไม่อยากล่วงเกินอีกฝ่ายเช่นกัน คาดว่าคนส่วนใหญ่คงได้แต่ต้องนอนบนพื้นเท่านั้น แต่คนภายนอกไหนเลยจะรู้ได้ เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า? ”

ก่วนฟางอี๋จ้องมองเขาทันที

หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินไปที่ประตู ปิดประตูก่อนแล้วถึงจะเดินกลับมา นั่งลงบนเตียงของนาง นั่งลงข้างๆ ตัวนางแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “คุยกับเจ้าที่นี่ ด้านนอกจะได้ยินหรือไม่?”

“หากข้าไม่ตะโกนย่อมไม่ได้ยิน” ก่วนฟางอี๋เอ่ยตอบ จากนั้นมองพินิจเขาหัวจรดเท้าอีกครั้ง “เจ้าทำตัวมีลับลมคมนัยไปไย?”

หนิวโหย่วเต้าล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วคลี่กาง เป็นสัญญาขายตัวของนาง เขาแสดงให้นางดู จากนั้นขยำมันเป็นก้อนแล้วบดขยี้ในมือจนแหลกเป็นผง

ก่วนฟางอี๋แปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเลิกคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อย่าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าซาบซึ้งได้ ตอนนี้ด้านนอกต่างทราบกันทั่วแล้ว มีกระดาษแผ่นนี้หรือไม่ก็ไม่มีความหมายอยู่ดี”

“อย่างน้อยก็ไม่สามารถเอาเจ้าไปเร่ขายส่งเดชได้แล้ว หากใจไม่อยู่กับข้า เก็บกระดาษนี้ไว้ก็คงไม่มีความหมาย” หนิวโหย่วเต้าว่าพลางมองไปที่นาง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ก่อนจะกลับไปที่จังหวัดชิงซาน เจ้าต้องนอนร่วมกับข้า แต่เจ้าอย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่ได้จะหลับนอนกับเจ้า ข้าไม่นึกสนใจในตัวเจ้าเลย ข้าจะนอนบนพื้นก็ได้”

ประโยคที่บอกว่าไม่นึกสนใจในตัวนางทำให้ก่วนฟางอี๋ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ยังคงคิดจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานอยู่ตลอดสินะ เจ้าจะกลับไปได้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าถามกลับ “หากข้ากำจัดเว่ยฉูทิ้ง จะหนีรอดไปอย่างราบรื่นหรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ตกใจ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เขาใช่คนที่จะแตะต้องได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? เขาไม่เพียงแต่จะเป็นคนสนิทของจินอ๋อง ในเมื่อเขามีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ หากสังหารเขาได้ง่ายขนาดนั้นจริงล่ะก็ เขาคงถูกศัตรูของจินอ๋องลงมือจัดการไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจนตกมาถึงมือเจ้าหรอก ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ เจ้าอย่าได้ลากข้าไปเดือดร้อนด้วยเด็ดขาด”

หนิวโหย่วเต้าเพิกเฉยไม่เอ่ยถึงประเด็นนี้ หากแต่ถามไปว่า “เจ้ารู้จักซูจ้าวที่เป็นเถ้าแก่ของเรือนเมฆาขาวหรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ผงะไปเล็กน้อย กล่าวไปว่า “เจ้าอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เจ้าห้ามก่อเรื่องวุ่นวาย เพราะข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี”

หนิวโหย่วเต้าถามซ้ำ “เจ้ารู้จักซูจ้าวหรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยตอบ “รู้จักสิ เคยพบหน้าอยู่หลายครั้ง เจ้าถามถึงนางทำไม?”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “เจ้าจดจำรูปโฉมของนางได้หรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋ตอบว่า “เหลวไหล ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย”

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นมาทันที เดินไปที่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง ดึงกระดาษขาวม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออีกครั้ง กางไว้บนโต๊ะ จากนั้นนำของที่อยู่บนโต๊ะมาวางทับมุมกระดาษไว้

ก่วนฟางอี๋เดินเข้ามาดูด้วยความสงสัย เอ่ยถามว่า “เจ้าจะทำอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าหยิบแท่งถ่านที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา “โครงหน้าของนางเป็นแบบไหน?”

“หน้ารูปไข่!”

พอก่วนฟางอี๋พูดออกมา หนิวโหย่วเต้าก็จรดแท่งถ่านวาดทันที โครงหน้ารูปไข่ถูกร่างขึ้นบนกระดาษอย่างคร่าวๆ

ก่วนฟางอี๋แปลกใจ เพิ่งเคยเห็นการวาดภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้ยินหนิวโหย่วเต้าถามขึ้นมาอีก “ปกตินางทำผมทรงใด?”

ก่วนฟางอี๋พอจะเข้าใจความต้องการของเขาแล้ว เอ่ยตอบไปว่า “ก็เกล้ามวยผมเฉกเช่นสตรีธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ”

นางพูดเขาวาด คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ

ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องถามแล้ว นางยืนอยู่ด้านข้างคอยส่งเสียงบอกเป็นระยะ คิ้วยาวกว่านี้หน่อย…ตาใหญ่กว่านี้อีกนิด…แก้มต้องอิ่มกลมอีกหน่อย…“”

ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากปรับแก้อย่างต่อเนื่อง ภาพเหมือนของสตรีนางหนึ่งก็เสร็จสมบูรณ์ เพียงแต่บางจุดมีสีดำทึบขีดทับเอาไว้จนไม่น่าดู

หนิวโหย่วเต้าฉีกกระดาษที่อยู่ด้านบนออก จากนั้นวาดลงไปใหม่อีกครั้ง แท่งถ่านขยับวาดฉวัดเฉวียน ไม่นานนักภาพเหมือนที่สมบูรณ์สะอาดตาก็ถูกคัดลอกเสร็จสิ้น

หลังจากวาดเสร็จ หนิวโหย่วเต้ากางออกเล็กน้อย เรียกให้นางมาดูอีกที “ลองดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนหรือไม่ คงใกล้เคียงแล้วกระมัง?”

ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับนิดๆ “คล้ายคลึงกันเก้าส่วนแล้ว โดยรวมก็เป็นเช่นนี้ จุดต่างมีเพียงสีหน้าอารมณ์เท่านั้น นี่ มันคือวิธีวาดแบบไหนกัน?” สองตาของนางส่องประกายเล็กน้อย

เหมือนก็ดีแล้ว! หนิวโหย่วเต้าหยิบไปมองพินิจ ทอดถอนใจอยู่ภายในใจ เดิมทีคิดว่าหลังจากได้เจอหยวนกังแล้วค่อยวาดออกมา ทว่าทั้งสองคนไม่สามารถพบหน้ากันได้ แล้วก็ไม่กล้าไปพบด้วย

อันที่จริงต่อให้ไม่ต้องวาดภาพเหมือน เขาก็อยากไปเจอหยวนกังเสียหน่อย และเขาก็เชื่อว่าหยวนกังก็คงอยากพบเขาเช่นกัน ทว่าประสบการณ์นองเลือดในชาติก่อนสอนพวกเขาไว้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้จะพบหน้ากันไม่ได้!

“หากว่าวาดตัวเจ้า ข้าย่อมสามารถเติมสีหน้าอารมณ์ในส่วนที่ขาดไปได้ อยากให้ข้าวาดให้เจ้าสักภาพหรือไม่?” หนิวโหย่วเต้าพับภาพเหมือนในมือพลางเอ่ยถาม

“อยาก!” ก่วนฟางอี๋พยักหน้ารับด้วยดวงตาเปล่งประกาย แต่จู่ๆ ก็ถามด้วยความระแวง “คงมิใช่ว่ามีเงื่อนไขอยู่กระมัง?”

“ฉลาดจริงๆ มีเงื่อนไขสองข้อ”

“เงื่อนไขอะไร?”

“ต่อไปข้านอนบนเตียง เจ้านอนบนพื้น”

“เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่? แล้วเงื่อนไขที่สองเล่า?”

“ส่งคนไปเรียกเสิ่นชิวมาที”

“นี่คือเงื่อนไขที่สองหรือ?”

“เจ้าจะตกลงหรือไม่? หากไม่ตกลงข้าก็ไม่วาดแล้ว หนึ่งภาพของข้ามีค่าหนึ่งแสนเหรียญทองเชียวนะ!”

“คนโง่เท่านั้นถึงจะเชื่อ!” ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง แต่สุดท้ายยังคงรีบเดินไปเปิดประตูแล้วสั่งให้คนไปตามเสิ่นชิวมา

ผ่านไปพักหนึ่งเสิ่นชิวก็มาถึง หนิวโหย่วเต้าเรียกเขาไปคุยกันด้านหนึ่ง ยื่นภาพเหมือนแผ่นนั้นที่พับไว้แล้วให้เขา กระซิบสั่งข้างหู “ส่งสิ่งนี้กลับไปให้ที่บ้าน แล้วให้ที่บ้านส่งไปที่เป่ยโจว…”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกำชับ เสิ่นชิวพยักหน้าเงียบๆ สุดท้ายรับคำสั่งแล้วถือภาพจากไปอย่างรวดเร็ว

ก่วนฟางอี๋เอ่ยดูแคลน “ทำตัวมีลับลมคมนัย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดี เจ้าเพ่งเล็งซูจ้าวด้วยเหตุผลใด? ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ เบื้องหลังของนางคือซีย่วนต้าอ๋อง ท่านอ๋องคนนั้นเป็นผู้ดูแลเชื้อพระวงศ์นะ มีอิทธิพลไม่น้อยเลย”

หนิวโหย่วเต้าปิดประตูแล้วหันกลับมาถาม “เจ้ายังจะวาดอยู่หรือไม่?”

ก่วนฟางอี๋เดินลิ่วไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งทันที นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางหยิบหวีขึ้นมา “เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าขอจัดแจงตัวเองหน่อย ผมเผ้ารุงรังเหมือนหญิงบ้าก็มิปาน”

“ไม่ต้องแล้ว วาดไปอย่างนี้เลย”

“แบบนั้นจะใช้ได้เสียที่ไหน น่าเกลียดจะตาย”

“ข้าบอกว่าได้ก็คือได้ เจ้าน่ะแก่ไปหมดแล้ว รูปโฉมหรือจะสู้บุคลิกทรงเสน่ห์ของเจ้าได้ เชื่อสายตาข้าเถอะ ไม่มีทางผิดพลาดแน่”

“หนิวโหย่วเต้า!” ก่วนฟางอี๋โมโห หันกลับมาจ้องมองอย่างโกรธเกรี้ยว

“เจ้าจะวาดหรือไม่วาด? ขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนตะแคง…”

สุดท้ายก่วนฟางอี๋ยังคงถูกเขาตะล่อมให้ขึ้นไปบนเตียงแล้วนอนตะแคง

ด้วยการจัดท่าของหนิวโหย่วเต้า นางใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะไว้ งอขาเล็กน้อย จัดท่าทางให้ดูเย้ายวน ทำให้สตรีนางนี้มีสีหน้าขุ่นเคืองขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ ทว่ายังคงเชื่อฟังปล่อยให้เขาจัดท่าทางไป

หนิวโหย่วเต้าหยิบเตากำยานใบเล็กที่วางอยู่ในห้องมาจุดไฟแล้ววางไว้ด้านหน้าของนาง ท่าทางคล้ายกำลังนอนตะแคงสูดกำยานอยู่

จากนั้นก็ย้ายโต๊ะที่ใช้วาดภาพมาวางหน้าเตียง เริ่มจรดแท่งถ่านร่างภาพ

………………………………………………………………………….