บทที่ 290 ข่าวลือ

ในบ้านมีเพียงสองห้องที่เป็นห้องใหญ่และห้องครัว ในครัวเต็มไปด้วยฟืน มันมีขนาดเล็กและมืด ไม่เหมาะให้คนอยู่อาศัยอย่างยิ่ง

แต่ในห้องใหญ่ ฉินเย่จืออายุสิบห้าหรือสิบหกปีแล้ว และเขาถูกมองว่าเป็นผู้ใหญ่ในยุคนี้

การที่เด็กหญิงอายุเก้าขวบของอย่างกู้เสี่ยวหวานอาศัยอยู่กับผู้ชาย มักจะถูกมองว่าไม่ดี

ยิ่งกว่านั้นที่บ้านไม่มีเตียงเสริม ดังนั้นฉินเย่จือจึงไม่สามารถปูพื้นได้ใช่หรือไม่?

“หนิงผิง มีช่างทำเครื่องเรือนในหมู่บ้านของเราหรือไม่?”

“มีขอรับท่านพี่ มีช่างไม้อยู่ทางใต้ของหมู่บ้าน เขาสามารถทำเครื่องเรือนอย่างง่าย ๆ ได้”

กู้เสี่ยวหวานจึงรีบไปทำเตียงสำหรับบ้านของนางเอง ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ช่างไม้รับเงินของกู้เสี่ยวหวานและมีไม้สำเร็จรูปอยู่ที่บ้าน กู้เสี่ยวหวานไม่สนใจรูปแบบและรูปร่างของเตียง เพียงแค่ขอให้ทำเตียงให้ยาวขึ้นอีกนิด

ช่างไม้สร้างตามแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด และนำมาส่งให้ที่บ้านของกู้เสี่ยวหวานก่อนมืด

กู้เสี่ยวหวานวางเตียงไว้อีกด้านหนึ่งของห้อง แบ่งผ้าปูและผ้าห่มจากเตียงของพวกเขา ทำให้เขาสามารถนอนได้

“เจ้านอนที่นี่” ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็สร้างเตียงให้ฉินเย่จือสำเร็จ เขานั่งอยู่บนนั้น แม้ว่าพื้นไม้แข็งจะอึดอัดมาก แต่มันดีกว่าช่วงนี้ที่เขานอนบนภูเขาอย่างแน่นอน

“ไม่เลว!” ฉินเย่จือพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ในที่สุดก็มาตั้งรกรากที่บ้านครอบครัวกู้ได้ ฉินเย่จือยิ้มอย่างขมขื่นในใจ หลังจากเทียวไปเทียวมาอยู่นาน เขาได้ช่วยชีวิตผู้หญิงคนนี้เพื่อแลกกับที่พักเช่นนี้ มันไม่ง่ายเลย

เมื่อมองดูฉินเย่จือ คิ้วคมเข้มทั้งสองของเขากำลังขยับราวกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่เสมอ โค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวที่สว่างไสวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกกังวลเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะทำให้ผู้หญิงหลายคนในหมู่บ้านหลงใหลอย่างแน่นอน

เมื่อก่อนตอนที่ฉินเย่จือยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้านครอบครัวกู้ ทุกครั้งที่เขาออกไป เขาต้องคอยระมัดระวังไม่ให้คนในหมู่บ้านพบเห็น ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่ามีชายหนุ่มรูปงามมาอยู่ในบ้านครอบครัวกู้

คราวนี้ฉินเย่จือได้อาศัยอยู่ที่บ้านของครอบครัวกู้ และถ้าเขาเข้าออกบ้านนี้ในอนาคต ทุกคนก็จะพบเห็นเขา สำหรับรูปลักษณ์ของฉินเย่จือนั้นก็ทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกท้อใจเล็กน้อย เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีกว่าผู้หญิงเสียอีก ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองมาที่เขาตรง ๆ หลังจากนี้จะบอกในหมู่บ้านว่าเขามาจากไหนได้อย่างไร?

กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดคุยกับฉินเย่จือ “ในอนาคต ถ้ามีคนถามเจ้าว่ามาจากไหน ข้าควรจะตอบอย่างไร?”

ฉินเย่จือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนี้เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย “ถ้ามีคนถามก็ให้บอกไปว่า เพราะข้าไม่มีพ่อหรือแม่และเร่ร่อนมา เจ้าจึงเก็บข้ามาดูแล”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “จากนี้ไป เจ้าจะเป็นพี่ชายคนโตของเรา”

นางยังอธิบายให้กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ฟัง จากนั้นก็มีบ้านของป้าจาง ป้าจางรู้อยู่แล้วว่าฉินเย่จือถูกกู้เสี่ยวหวานช่วยเอาไว้ และหลังจากนั้นฉินเย่จือก็ช่วยชีวิตกู้เสี่ยวหวานเช่นกัน ทุกคนจึงยอมรับในตัวของฉินเย่จือ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่นานทุกคนในหมู่บ้านก็รู้ว่าครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานรับเด็กเร่ร่อนที่ไม่มีพ่อแม่เข้ามา

ตอนแรกทุกคนไม่ได้คิดว่ามันแปลก เพราะในปีนี้เกิดเหตุการณ์ข้าวยากหมากแพงและภัยธรรมชาติในหลายพื้นที่จึงมีหลายคนที่ต้องพลัดถิ่นและมาขออาหารในหมู่บ้านจนเป็นเรื่องปกติ

เช่นเดียวกับในหมู่บ้านนี้ มีลูกสะใภ้หลายคนขออาหารกับพ่อแม่ของพวกเขา คนจนในหมู่บ้านไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียว พวกเขาจึงต้องถือชามข้าวเพื่อไปขออาหารจากแม่สามี

ทั้งมีข้าวให้กินและมีที่กำบังลมฝน ใครเล่าจะไม่อยากอยู่เช่นนี้บ้าง?

ดังนั้นในปีที่เกิดภัยพิบัติเช่นนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงไม่แปลกใจ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีคนเห็นการปรากฏตัวของฉินเย่จือ พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง

“พวกเจ้าเคยเห็นชายหนุ่มผู้นั้นจากบ้านของกู้เสี่ยวหวานหรือไม่?”

“เคยเห็นแล้ว เมื่อวานเขามาตักน้ำที่ริมแม่น้ำ เลยเห็นเข้าน่ะ”

“เขาหล่อเหลามาก! จมูกโด่ง ตาโต คิ้วหนา และยังสูงมากอีก”

“ใช่แล้ว วันนั้นข้ากำลังกวาดพื้นอยู่ในลานบ้าน และเห็นเขาหาบน้ำเดินผ่านประตูของข้า เขาช่างหล่อเหลาเสียจริง”

“ไม่รู้ว่าครอบครัวของเสี่ยวหวานโชคดีแค่ไหน ถึงสามารถรับชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้มาได้”

“ใช่แล้ว พวกเราทำอย่างไรก็ไม่โชคดีเช่นนั้น”

เมื่อเห็นผู้หญิงสองคนซุบซิบกัน คนหนึ่งก็เยาะเย้ยขึ้น “หืม หล่อเหลาแล้วอย่างไร? เป็นข้าวให้กินได้อย่างนั้นหรือ? จะหล่อเหลาแค่ไหนก็เป็นขอทานอยู่ริมถนนอยู่ดี หล่อเหลามากแล้วพวกเจ้าจึงอยากจะแย่งมาเป็นลูกเขยหรือ?”

“เรื่องนั้นจะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร” หนึ่งในนั้นโต้กลับ “หล่อเหลาถึงขนาดนั้น มองดูแล้วสบายตา แต่งงานกับคนขี้เหร่ไปจะมีประโยชน์อะไร เผชิญหน้ากันทุกวัน มีภูเขาทองภูเขาเงินแล้วจะมีประโยชน์อะไร เกรงว่าถ้าเห็นหน้ามากไปจะอาเจียนเอาน่ะสิ!”

“เฮ้อ ขนาดนั้นเลยหรือ? แค่ดับไฟก็เหมือนกันแล้ว!” ผู้หญิงอีกคนกล่าวติดตลก คนรอบข้างจึงส่งเสียงหัวเราะ และหญิงผู้นั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความโกรธ

หญิงคนที่กล่าวติดตลก มีชื่อเล่นที่คนอื่นเรียกว่า ‘ดับไฟ’ นางเป็นคนรูปร่างอ้วนเตี้ย แต่ดีที่ครอบครัวของนางค่อนข้างมีฐานะ หลังจากลูกสาวแต่งงานออกไปก็กลับมาโวยวายว่าชายที่แต่งงานด้วยนั้นจมูกเหมือนไม่ใช่จมูก ดวงตาก็เหมือนไม่ใช่ดวงตา ถ้าให้มองก็มองไม่ลง

ในตอนนั้นนางจึงกล่าวอย่างมีปัญญาว่า “เด็กโง่ หน้าตาดีจะมีประโยชน์อะไร ถ้าที่บ้านไม่มีเงินก็ต้องทนกับความลำบาก ถ้าแต่งงานกับเศรษฐี น่าเกลียดแล้วอย่างไร? แค่ดับไฟเจ้าก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว!”

ในตอนนั้นที่ลูกสาวแต่งงานออกไป เมื่อถึงวันที่สามของการแต่งงาน*[1] ญาติของพวกนางก็มาถึง และพวกเขาทั้งหมดได้ยินนางที่สอนลูกสาวเช่นนี้

ต่อมาไม่รู้ว่าใครที่ปากมากเอาเรื่องนี้ไปพูดที่อื่น ทุกคนจึงต่างเรียกนางว่า ‘ดับไฟ’

ในครั้งนี้ เมื่อทุกคนได้ยินว่านางพูดถึงเรื่องไม่สนรูปลักษณ์ภายนอกออกมา ทุกคนจึงหวนนึกถึงเรื่องนั้นและพูดกันอย่างสนุกปาก

“ฮึ่ม…” เมื่อ ‘ดับไฟ’ เห็นทุกคนกำลังล้อเลียนตนเอง นางจึงถอนหายใจอย่างเย็นชาและกล่าวกลับไปว่า “พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน ลูกเขยของข้าถึงจะน่าเกลียด แต่ก็มีเงินมีบ้าน หึ ถ้าลูกสาวมัวแต่จะหาคนที่หน้าตาดี ไม่แน่ว่ามื้อต่อไปอาจจะไม่มีข้าวกินก็ได้”

*[1] วันที่สามของการแต่งงาน คู่บ่าวสาวจะนำของขวัญมาที่บ้านของผู้หญิงเพื่อเยี่ยมญาติ