บทที่ 291 ทำให้โกรธเคือง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 291 ทำให้โกรธเคือง

คำพูดนี้ค่อนข้างจะเกินไปเสียหน่อย หญิงสาวทุกนางต่างก็มีลูกสาว นี่ไม่ใช่การด่าว่าลูกสาวของคนอื่นจะหาสามีที่ดีไม่ได้หรอกหรือ?

คำพูดนี้ช่างรุนแรงเสียจริง! ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างเกลียดนาง

‘ดับไฟ’ ผู้นี้ได้ทำให้ทุกคนโกรธเคืองไปเสียแล้ว ทุกคนที่นั่นต่างจ้องมองมาที่นาง คนที่หัวเราะไปกับนางในตอนแรก ตอนนี้กลับไม่พูดไม่จาและไม่รู้ว่าจะล้อเลียนอะไรอีก

คนเหล่านี้คงอิจฉาที่นางได้พบลูกเขยที่ร่ำรวย

หลังจากนั้นนางก็เห็นว่าผู้คนที่อยู่โดยรอบกำลังจ้องมาที่ตนเอง นางจึงตื่นตระหนกและกรีดร้องออกมา “พวกเจ้าจะทำอะไร?ตี…”

ปากของนางถูกปิดเอาไว้และคำพูดต่อจากนั้นก็ถูกกลืนลงไป พวกเขาทั้งหมดเป็นสตรีชาวนาในหมู่บ้านที่หาบน้ำและแบกฟืนจึงมีเรี่ยวแรงมาก คนหลายคนต่อคนหนึ่งคน นางก็ถูกคนโดยรอบ เจ้าต่อย ข้าเตะ ถูกทำร้ายจนร้องไห้ออกมา

เมื่อทุกคนได้ระบายความโกรธแล้วก็แยกย้ายกันไป โดยปล่อยให้แม่ยาย ‘ดับไฟ’ ถูกทิ้งให้ร้องไห้อยู่เพียงลำพังกับใบหน้าที่ฟกช้ำ

ตั้งแต่ฉินเย่จือเข้ามา ไม่ว่าจะทำอะไรกู้เสี่ยวหวานก็มีความกล้ามากขึ้น นางขึ้นภูเขาไปจับปลาและขุดผักป่า ส่วนฉินเย่จือก็จะตามไปด้วย กู้หนิงผิงรู้ดีว่าศิลปะการต่อสู้ของอาจารย์ของเขานั้นดีมาก เขาจึงพาน้องสาวไปปักผ้ารอที่เชิงเขา และตนเองก็แอบฝึกซ้อมเงียบ ๆ

ในวันนี้กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ออกไปไหน นางจะสอนให้กู้หนิงผิงฝึกคัดลายมืออยู่ที่บ้าน และฉินเย่จือก็เข้าร่วมกับนางด้วย เมื่อเห็นว่าสาวน้อยเขียนตัวอักษรออกมาได้สวยงามเช่นนี้ เขาก็รู้สึกทึ่ง

บรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากข้างนอกดังขึ้น “สาวน้อยกู้ สาวน้อยกู้!”

เมื่อได้ยินว่าเสียงนั้นเป็นของชายวัยกลางคน เสียงนั้นดูเร่งรีบและค่อนข้างร้อนใจเล็กน้อย กู้เสี่ยวหวานจึงลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเห็นหลิวต้าจ้วงและเถาต๋ายืนอยู่ข้างนอก

มีคราบเลือดบนหน้าผากของหลิวต้าจ้วงราวกับว่าเขาเพิ่งทะเลาะกับคนอื่นมา

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อมองดูท่าทางร้อนใจของพวกเขา นางรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นนางจึงรีบเปิดประตูพลางกล่าวว่า “ท่านลุงหลิว ท่านลุงเถา ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”

ทันทีที่หลิวต้าจ้วงและเถาต๋าเข้ามา พวกเขาจับแขนกู้เสี่ยวหวานเอาไว้ “สาวน้อยกู้ อย่าหลอกพวกเราเลย ที่ดินในเมืองนั้นเป็นของเจ้าจริงหรือเปล่า?”

กู้เสี่ยวหวานตกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งสองคนถึงถามเช่นนี้ “แน่นอนว่าเป็นของข้า ข้าไม่ได้ให้ท่านดูโฉนดทางการแล้วหรอกหรือ?”

“แล้วเจ้าได้ให้ผู้อื่นเช่าที่ดินหรือไม่?” เถาต๋าถามอย่างกังวล

“นอกจากท่าน ยังมีคนอีกสองคนที่ท่านพามาครั้งล่าสุด” เมื่อเห็นท่าทางน่ากังวลและอาการบาดเจ็บบนใบหน้าของหลิวต้าจ้วง กู้เสี่ยวหวานก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”

“สาวน้อยกู้ วันนี้เราซื้อเมล็ดพืชและนำวัวมา และทั้งครอบครัวก็ไปที่ที่ดินเพื่อที่จะหว่านเมล็ดพืช แต่เมื่อเราลงไปที่ที่ดินและไถไปเล็กน้อย และทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นและกล่าวถามว่าพวกเรามาทำอะไรในที่ดินของเขา” เถาต๋ากล่าว

หลิวต้าจ้วงกล่าวเสริมว่า “เราคิดว่าเจ้าได้ให้ผู้อื่นเช่าที่ดินด้วย ดังนั้นเราจึงกังวลว่าพวกเขาจะเข้าใจผิด ดังนั้นเราจึงบอกพวกเขาดี ๆ และแสดงให้คนเหล่านั้นเห็นถึงสัญญาที่ลงนามกับเจ้า แต่คนเหล่านั้นก็หยิบสัญญาออกมาเช่นกัน และที่ดินในสัญญานั้นก็เป็นที่ดินของเขา”

“ในตอนนั้นเราคิดว่าจะมีสัญญาที่เหมือนกันสองฉบับได้อย่างไร เราจึงตรวจสอบอย่างละเอียดและพบว่าสัญญานั้นลงนามโดยบุคคลแซ่เหลย คนผู้นั้นบอกเราว่าพวกเขาเช่ามันมาจากคนแซ่เหลย ต่อมาเมื่อได้ยินมาว่าเราจ่ายค่าเช่าเพียงสามส่วน แน่นอนว่าพวกเราได้เจอคนโกหกเข้าแล้ว” หลิวต้าจ้วงกำหมัดและกล่าวว่า “ญาติของเราทั้งหมดก็มาแล้ว และที่ดินของพวกเขาก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาก็ต่างพากันมา พวกนั้นก็บอกว่าพวกเขาเช่ามันแล้ว แต่คนที่ให้พวกเขาเช่าคือคนแซ่ซุน”

“ใช่แล้ว พวกเขาเอาสัญญาออกมา ข้อความขาวดำบนนั้น ตำแหน่งที่ดินตรงกับสัญญาของเราโดยสิ้นเชิง พวกเราเชื่อแม่นางและบอกว่าของพวกเขาเป็นของปลอม แต่พวกเขาก็บอกว่าของเราเป็นของปลอม และก็บอกด้วยว่าโฉนดทางการเป็นตัวอักษรขาวดำและมีตราประทับสีแดง ต่อมาพวกเขาก็เริ่มต่อสู้กัน” หลิวต้าจ้วงกุมศีรษะและกล่าวอย่างเศร้าใจ

ถ้าเขารู้มาก่อน เขาไม่ควรอยากได้หนึ่งส่วนนั้นเลย

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินนางก็โกรธจัด ฉินเย่จือก็มีสีหน้าเย็นชาเช่นกัน ครั้งที่แล้วที่กู้เสี่ยวหวานไปหานายหน้าค้าที่ดิน โฉนดอย่างเป็นทางการก็เป็นเขาผู้นั้นที่ยื่นให้กู้เสี่ยวหวานเองกับมือ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นนกสองหัว และที่ดินผืนหนึ่งก็ขายให้สองครอบครัว

ยิ่งกว่านั้นพวกเขาทั้งหมดไปทำโฉนดทางการที่ที่ว่าการอำเภอ? ฉินเย่จือคิดอย่างเงียบ ๆ ในใจ

กู้เสี่ยวหวานรีบเข้าไปในห้อง เอาโฉนดออกมาแสดงให้หลิวต้าจ้วงและเถาต๋าดู “พวกท่านดูสิ นี่คือโฉนดทางการ และบนนี้ก็มีตราประทับของทางการอยู่ มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”

สมัยนี้การแกะสลักตราประทับปลอมเป็นที่นิยมหรือ? ข่งฟางผู้นี้เป็นเพียงคนโกหก แต่นางยังคงคิดว่าคนผู้นี้ฉลาดและน่าเชื่อถือ และจะซื้อที่ดินจากเขาในอนาคต

แต่ตอนนี้ เมื่อนางคิดถึงครั้งสุดท้ายที่ไปที่บ้านของข่งฟาง เพื่อนบ้านบอกว่าเขาหายไปนานแล้ว กู้เสี่ยวหวานจึงเริ่มสงสัยขึ้นมา กลับกลายเป็นว่าเขาทำผิดศีลธรรมและขายที่ดินผืนหนึ่งให้สองครอบครัว แล้วเขาก็หนีไปพร้อมกับเงิน

จนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าข่งฟางให้ใครทำโฉนดอย่างเป็นทางการให้ หรือว่าเป็นโฉนดทางการทั้งสองอันเป็นของปลอม

“สาวน้อย เราไม่เคยเห็นตราประทับอย่างเป็นทางการมาก่อน พวกเราไม่รู้!” หลิวต้าจ้วงร้องไห้ทั้งน้ำตา “พวกเราเชื่อในเจ้า ดังนั้นญาติและสหายของข้าที่เช่าที่ดินจึงอยากมาหาเจ้าเพื่อถามความจริง แต่พวกเราก็ขอให้พวกเขากลับไปก่อน ถ้าพวกเราไม่เชื่อเจ้า พวกเราคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้”

“ท่านลุงหลิว ท่านลุงเถา ขอบคุณที่เชื่อในตัวข้า! ข้าจะหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้อย่างแน่นอน” กู้เสี่ยวหวานไม่อาจรับรองได้ว่าโฉนดที่ดินที่ของตนเองเป็นของจริง แต่ถ้าเป็นของปลอม ข่งฟางผู้นั้นต้องคืนเงินมา

“ท่านลุงหลิว ท่านกลับไปรักษาบาดแผลก่อนเถอะ ถ้าโฉนดของข้าเป็นของปลอม ข้าจะชดเชยความสูญเสียให้ท่านแน่” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างใจเย็น

ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าโฉนดทางการนั้นเป็นของจริงหรือไม่ และกู้เสี่ยวหวานไม่สามารถรับประกันได้ว่านางจะยังสามารถให้พวกเขาเช่าที่ดินได้ แต่ถ้าเป็นของปลอม นางก็ทำได้เพียงชดเชยความสูญเสียได้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คนอย่างข่งฟางนี่น่ารังเกียจเสียจริง