บทที่ 323 ปฏิบัติการครั้งเดียว ดุเดือดดุจเสือ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 323 : ปฏิบัติการครั้งเดียว ดุเดือดดุจเสือ

งานเลี้ยงระดับไฮเอนด์ที่จี้ป๋อหนงจัดขึ้นในคฤหาสน์ A16 เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และไม่ใช่งานที่ใครก็ไม่รู้จะเข้าร่วมได้

งานเลี้ยงนี้ถือว่าเป็นธรณีประตูในการเข้าสู่วงการระดับสูงสุดของนอร์ซิน เป็นหนทางสู่เวทีระดับท็อป ลือกันว่ามีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามหลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ ดังนั้นคุณสมบัติของการได้รับเชิญก็คือ จะต้องมีความสามารถเพียงพอให้ภาคภูมิและโอ้อวดได้ ไม่อย่างนั้นผู้คนจะอยากเบียดกันเข้ามาหรือ?

ส่วนสำคัญที่สุดของงานเลี้ยงนี้ก็คือการสร้างสัมพันธ์ระหว่างแขก แล้วคนที่มีสถานะสั้น ๆ แค่นี้จะเข้าร่วมได้อย่างไร?

เพราะเหตุนี้ เฟจจึงเชื่ออย่างสุดใจว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงนักต้มตุ๋น

แน่นอน…นี่เป็นเพียงเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดข้อหนึ่ง ยังมีเหตุผลอีกหลายข้อให้มองหาด้วย

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายอาจเป็นคนใหญ่คนโตที่ซ่อนอยู่เลย บุคคลลึกลับกี่คนกันที่อ้าปากพูดไม่กี่คำแล้วจะเป็นคนใหญ่คนโต ถือบัตรเชิญที่ไม่เหมือนชาวบ้านได้?

เฟจเชื่อว่าหลักฐานข้อสำคัญที่สุดคือเสื้อผ้าของอีกฝ่าย

ชุดทางการที่เจ้าหมอนี่ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ สวมอยู่ในตอนนี้เป็นชุดล้าสมัยไปเป็นปี ๆ แล้ว ราคาทั้งชุดไม่มีทางเกินห้าร้อยเหรียญไปได้

และราคาห้าร้อยเหรียญก็เป็นราคาของเมื่อสองปีก่อน และถ้าเป็นการซื้อใหม่ ราคาก็น่าจะลงไปอีกอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์ได้

หือ? ถามว่าทำไมคนเร่ร่อนอย่างเฟจถึงรู้เรื่องพวกนี้ดีน่ะหรือ?

นั่นย่อมเป็นเพราะในตอนที่เขายังสัญจรไปทั่ว เขาเคยไปแสดงตามห้างสรรพสินค้ามาหลายปี และเมื่อพวกผู้ฟังแยกย้ายกันไป เขาก็เก็บกล่องไวโอลินที่มีเหรียญและธนบัตรย่อยหรอมแหรม จากนั้นก็เที่ยวหยุดมองตามหน้าต่างร้านขายเสื้อผ้าอย่างอิจฉาเป็นเวลานานน่ะสิ

เขาตัดสินจุดดีจุดด้อยของเสื้อผ้าเหล่านี้อย่างพิถีพิถันแล้วนึกภาพตัวเองสวมชุดเหล่านั้น จากนั้นก็จินตนาการว่าสายตาของผู้อื่นจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

…แล้วสุดท้ายเมื่อเห็นราคาและนึกถึงเงินในกระเป๋าไวโอลิน เขาก็ต้องเดินคอตกจากไป

หลังจากมาเกาะกระจกมองวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เฟจก็ค่อย ๆ เข้าใจการเปลี่ยนราคาของชุดพวกนี้ การออกแบบแบบไหนที่ได้รับความนิยม เข้าใจกระทั่งวิธีการขายเสื้อผ้าเหล่านี้ทีละน้อย

แน่นอนว่า…เขาจะไม่มีทางมองพลาด

แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เป็นไปได้ไหมว่าคนใหญ่คนโตจะสวมชุดถูก ๆ แบบนี้มาออกงานเลี้ยง จงใจปิดบังฐานะของตัวเอง แต่แล้วก็เปิดเผยบัตรเชิญระดับหรูสุดออกมาต่อหน้าต่อตา?

มองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล!

ดังนั้น ความจริงจึงมีเพียงหนึ่งเดียว

เขาไม่ใช่แค่นักต้มตุ๋น แต่ยังใจกล้าพอที่จะหลอกลวงประธานเครือบริษัทโรลล์ด้วย!

หากถามว่าเขาหลอกลวงอย่างไร?

คำตอบนั้นง่ายมาก เหมือนจิตวิทยาเบื้องต้นที่ใช้กับเฟจเมื่อครู่ เขาตกใจกับบัตรเชิญ ‘ไฮโซ’ ในมืออีกฝ่าย และภายใต้สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติของอีกฝ่าย เขาก็ถูกทำให้คิดว่าเป็นคนใหญ่คนโตเป็นลำดับแรก แล้วจากความเฉื่อยทางจิตวิทยา การที่ผู้อื่นจะคิดว่าการกระทำของอีกฝ่ายมีความหมายลึกซึ้งจึงเป็นเรื่องปกติ

เฟจจัดการกับนักต้มตุ๋นในระหว่างสัญจรมามากมาย และเห็นวิธีการทำนองนี้มาหลายครั้ง

เฟจคาดเดาความคิดและสภาพจิตใจของอีกฝ่ายอย่างกล้าหาญ เขาคงคิดมองหาแขกที่มีฐานะไม่สูงเป็นลำดับแรกเพื่อให้อีกฝ่ายคิดว่าเขาก็เป็นแขกผู้เข้าร่วมงานนี้จริง ๆ

แล้วคน ๆ นี้ก็จะกลายเป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนของเขาในการต้มตุ๋นที่จะตามมา หลอกคนเฝ้าประตู แล้วในที่สุดก็แทรกซึมเข้าไปในงานเลี้ยงได้

และเรื่องจากจี้ป๋อหนงเป็นที่รู้จักดีว่าเขาต้อนรับผู้มีฝีมือจากทุกวงการทั่วสารทิศ เจ้าหมอนี่คงไม่ถูกไล่ออกจากงานจริง ๆ แต่กลายเป็นแขกของแท้ในฐานะ ‘สุดยอดนักต้มตุ๋น’ แทน

ต้องบอกว่านั่นเป็นความคิดที่ดี

แต่น่าเสียดายมาก…ที่เจ้าหมอนี่ต้องมาเจอเขาผู้ฉลาดเป็นกรด

เฟจรู้สึกราวกับได้มองชายผู้นี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว และคิดภาพท่าทางของอีกฝ่ายหลังจากถูกเขาเปิดโปงได้อย่างชัดเจนในหัว มุมปากของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะยกขึ้น แล้วเกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“?”

หลินเจี๋ยมองแขกที่ทำตัวแปลก ๆ อยู่ข้างเขาอย่างแปลกใจ เหมือนนักไวโอลินคนนี้จะจมอยู่ในโลกส่วนตัวไปเสียแล้ว

ในสมัยที่หลินเจี๋ยทำงานเป็นอาจารย์ เขาก็เคยพบลูกศิษย์แบบนี้มาก่อน

ตอนเรียนก็ก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ทำอะไรอยู่ ตอนเดินบนถนนก็มีแววตาว่างเปล่าเหมือนจมในภวังค์บางอย่าง แม้จะดูเหมือนไม่มีเพื่อน แต่ก็มักจะยิ้มเก้อ ๆ อยู่บ่อย ๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงสีหน้าเล็กน้อยอยู่เนือง ๆ แสดงถึงความผันผวนของอารมณ์ในจิตใจ…

แต่นี่ไม่ใช่ความบกพร่องทางจิตใจแต่อย่างใด จากมุมมองทั่วไปของหลินเจี๋ยแล้ว นักเรียนประเภทนี้บริสุทธิ์และซื่อสัตย์กว่า แถมชีวิตของพวกเขาก็เรียบง่ายและมีความสุขกว่าด้วย

แล้วเฟจที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นคนแบบนั้นด้วยสินะ?

บางทีเขาอาจอยากหลีกหนีชีวิตจนตรอกของเขาก็ได้

หลินเจี๋ยมองเสื้อผ้าที่ไม่เข้าชุดกันของเฟจแล้วพยักหน้าในใจ ถ้าเป็นแบบนี้ การที่จี้ป๋อหนงจะชวนเข้ามาเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ ก็คงเป็นเพราะเขามีพรสวรรค์ด้านดนตรีอย่างลึกซึ้งแน่นอน

เพราะถึงอย่างไร เขาก็ไม่ใช่บุคคลเล่นเส้นแบบหลินเจี๋ยที่เข้าร่วมงานจากความสัมพันธ์กับคุณหนูจี้ (หมายถึงเพื่อนที่ช่วยเธอจัดการกับเดนมนุษย์น่ะนะ)

ทั้งสองเดินไปที่ประตูคฤหาสน์ด้วยบรรยากาศที่กลมกลืนแต่ก็แปลกตา

ในตอนนี้ แขกแต่ละคนต่างทะยอยปรากฏตัวบนถนนเส้นกว้างที่นำไปยังคฤหาสน์แล้ว แต่เครื่องแต่งกายของพวกเขาส่วนใหญ่ต่างเลิศหรูอลังการ มีทั้งผู้ที่ควงสาวงามไว้ในวงแขนหรือเป็นสาวงามผู้เจิดจรัสเสียเอง หรือกระทั่งคนขับรถในชุดสุดเนี้ยบที่เดินออกไปหาคนเฝ้าประตูอย่างเป็นมืออาชีพเพื่อแสดงบัตรเชิญ

อืม…หลินเจี๋ยคิดว่ากระทั่งคนขับรถพวกนี้ยังดูเหมือนแขกผู้มีเกียรติเลย

แต่มันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?

หลินเจี๋ยผ่อนคลาย อย่างไรเสียการมาครั้งนี้ของเขาก็เพื่อกินฟรีอยู่ฟรีอยู่แล้ว ตราบใดที่ชายหนุ่มอยู่ที่โซนอาหารในบริเวณรอบนอก ก็คงไม่มีใครมารบกวนเขาหรอก

ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะเคยเข้าร่วมงานประชุมทางวิชาการที่มีการกินเลี้ยงอาหารค่ำแล้วหลบอยู่มุมห้อง แต่ก็ยังมีคนแปลก ๆ เข้ามาหาเขาอยู่ดีก็ตาม

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ขึ้นกับความจริงที่ว่าเขาเคยมีออร่าของรองศาสตราจารย์และฐานะที่เป็นลูกชายของหลินหมิงไห่อยู่ ตอนนี้อย่างมากเขาก็เป็นแค่เพื่อนไร้ชื่อของคุณหนูจี้เท่านั้น เหตุการณ์ข้างบนคงไม่เกิดขึ้น

“สวัสดีครับ รบกวนแสดงบัตรเชิญด้วยครับ”

ผู้เฝ้าประตูแบมือออกแล้วพูดอย่างสุภาพ

เฟจอยู่ใกล้ผู้เฝ้าประตูกว่า เขาเชิดหน้าขึ้นแล้วแสดงบัตรเชิญก่อน จากนั้นก็วางมันลงบนมือของผู้เฝ้าประตู

ผู้เฝ้าประตูได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและรักษารอยยิ้มสุภาพไว้ เขาตรวจสอบบัตรเชิญแล้วกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ A16 ครับคุณฮูสตัน เฟจ โชคดีนะครับ”

ในพริบตานั้น เห็นได้ชัดว่าคนรอบ ๆ ตัวต่างหันมามองเฟจอย่างสนอกสนใจแล้วกระซิบกระซาบกันเบา ๆ

คาดว่าเฟจคงชอบความรู้สึกที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เขากระแอมสองครั้ง เชิดคอผายอกเพื่อให้เสื้อผ้าของเขาเรียบตึง รับบัตรเชิญคืนแล้วเดินเข้าประตูไป มิวายหันกลับมามองหลินเจี๋ยโดยหวังจะได้เห็นการแสดงสนุก ๆ

หลินเจี๋ยหยิบบัตรเชิญของเขาออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนบัตรเชิญที่คนอื่นมี แต่นี่คือบัตรเชิญที่คุณหนูจี้ส่งให้เขาเองกับมือ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะเป็นบัตรปลอมได้

ทันทีที่ผู้เฝ้าประตูเห็นบัตรเชิญในนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็รีบควบคุมสีหน้าแล้วตรวจสอบมันอย่างระมัดระวังและจริงจัง กระทั่งหยิบอุปกรณ์พิเศษจากอกเสื้อของเขาออกมาส่องด้วย

คนที่หันกลับมาเพราะชื่อของเฟจค่อย ๆ ถูกดึงดูดความสนใจมาที่เขาทีละน้อย สีหน้าของพวกเขาประหลาดใจ แล้วเสียงซุบซิบก็เริ่มดังหนาหู

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยเห็นคนยืนค้างที่หน้าประตูทางเข้าเพราะบัตรเชิญนานขนาดนี้มาก่อน

เฟจไพล่มือไว้ข้างหลังแล้วยืนอย่างใจเย็น รอภาพที่จินตนาการไว้เป็นจริงขึ้นมา

แล้วเจ้าหมอนี่ก็จะถูกสอบปากคำ จากนั้นก็จะลากเราไปช่วยยืนยันตัวตน พอถึงตอนนั้นก็…

ฮี่ ๆๆ

มุมปากของเฟจเผยรอยยิ้มแปลก ๆ เบิกตามองทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวของผู้เฝ้าประตูคนนั้นด้วยความกลัวจะพลาด ‘ช็อตเด็ด’ ไป

ทว่า หลังจากผู้เฝ้าประตูตรวจสอบมันซ้ำ ๆ เขาก็เก็บอุปกรณ์พิเศษไปแล้วเผยรอยยิ้มสุภาพเหมือนเดิม จากนั้นก็พากันโค้งน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ A16 ครับคุณหลินเจี๋ย ขอให้คุณผ่านสามวันนี้ไปอย่างมีความสุขครับ”

รอยยิ้มของเฟจค้างกลางหน้า เขาหน้าเสีย

เป็นไปได้อย่างไรเนี่ย?

บัตรเชิญในนี้ หรือว่า…ไม่หรอก ไม่ใช่ของจริงแน่ ๆ ฮูสตัน เฟจผู้ปราดเปรื่องจะเดาผิดได้อย่างไร!

บุคคลรอบ ๆ มีความสงสัยแบบเดียวกันบนสีหน้าอย่างชัดเจน ประเด็นของเสียงซุบซิบค่อย ๆ เปลี่ยนไป และคนจำนวนมากขึ้นก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้แล้วถามคนอื่นว่าเกิดอะไรขึ้น

เฟจรู้สึกหน้าร้อนวูบขึ้นมากะทันหัน ราวกับถูกพวกเขาหัวเราะเยาะ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอับอาย

ไม่สิ เป็นอย่างนี้ไปไม่ได้สิ…เขาแน่ใจว่าตัวเองถูก!

แววตาของเฟจเปลี่ยนไปกะทันหัน ดวงตาสีฟ้ามืดมัวของเขามองไปที่คนเฝ้าประตูที่ยังไม่ได้ส่งบัตรเชิญคืน

พูดสิ…ยืนยันให้ฉันสิว่าเขาเป็นแขกปลอม!

เฟจตะโกนอยู่ในใจ แม้ว่าจากภายนอกเขาจะเป็นเพียงนักไวโอลินพเนจร แต่เขาก็ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของคนบางกลุ่มที่ไม่ควรถูกเปิดโปงและสังคมของพวกเขาอยู่บ้าง และยอมเสี่ยงจนได้รับความสามารถควบคุมจิตใจ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ ‘อัจฉริยะสัญจร’ ฮูสตัน เฟจมีชื่อเสียงขึ้นมาได้

ในตอนที่เขาอยู่หน้าทางเข้าโถงดนตรีทอง เขาก็ใช้ความสามารถควบคุมจิตใจจนชนะมาได้นี่แหละ

และจุดประสงค์ที่แท้จริงในการเข้าร่วมงานเลี้ยงของเขาก็คือข่าวที่จะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาเข้าร่วมงานนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงอยากยกระดับตัวเองเข้าไปอยู่ในวงการผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้อย่างแท้จริง

นี่แหละคือการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมอย่างแท้จริง

แต่หลังจากเฟจใช้ความสามารถ ผลที่ได้กลับไม่เกิดขึ้นรวดเร็วเหมือนอย่างเคย

ผู้เฝ้าประตูส่งบัตรเชิญคืนให้หลินเจี๋ยโดยไม่แม้แต่จะชะงักสักนิด ขณะที่หลินเจี๋ยรับคำเชิญด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปหาเขา

ทุกขั้นตอนราบรื่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ที่บอกว่า ‘จะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาเข้าร่วมงานนี้เป็นจำนวนมาก’ ไม่น่า…” สมองของเฟจว่างเปล่า เขามองหลินเจี๋ยที่เดินเข้ามาใกล้ทีละนิดแล้วกลืนน้ำลาย

จู่ ๆ เขาก็รู้สึกอยากหนีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หลินเจี๋ยมองเขาแล้วพูดอย่างประหลาดใจ “ไปกันเถอะครับ เราควรเข้างานเลี้ยงได้แล้ว คุณยืนรออะไรอยู่ครับ?”

แล้วเขาก็หันไปมองผู้เฝ้าประตู หันหลังของเขาให้กับปราสาทอันเจิดจรัส เงาร่างด้านข้างของหลินเจี๋ยดูเหมือนจะยิ้ม แต่ก็ไม่ยิ้ม “ต่อให้คุณจ้องเขานานแค่ไหน เขาก็จะไม่เหลียวกลับมามองคุณหรอกครับ”