บทที่ 322 คำถาม

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 322 : คำถาม

เมื่อชายหนุ่มเห็นบัตรเชิญที่หลินเจี๋ยหยิบออกมา เขาก็มีความสงสัยในใจ

เพราะการออกแบบของบัตรเชิญนี้ไม่เหมือนกับบัตรเชิญในมือของเขาเลย… มันดูดีกว่าและสุภาพจนลำเอียงเกินไป ซึ่งแตกต่างไปกันราวฟ้ากับเหว

บัตรเชิญในมือของหลินเจี๋ยเป็นบัตรสีดำ ความหนาและแข็งของกระดาษดูเหมือนจะถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ มีตราบันไดกลับหัวอันเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์สีเข้มประทับอยู่และบริเวณขอบบัตรก็ตกแต่งด้วยรายละเอียดสีเงินเลื่อมพราย

มันดูเรียบหรูอย่างเห็นได้ชัด…

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะทอดสายตาลงมองบัตรเชิญในมือของเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นบัตรเชิญสีดำพิมพ์ข้อความสีทองที่ดูพิเศษเหมือนกัน แต่รายละเอียดอื่น ๆ ของมันก็เป็นตามรูปแบบบัตรเชิญธรรมดา

ช่องว่างนี้กว้างเกินไปแล้ว…

ถึงหลินเจี๋ยจะแน่ใจว่าบัตรเชิญในมือเขาเป็นของจริงก็เถอะ บัตรเชิญในรูปแบบนี้ก็ถูกกระจายออกไปทั่วนอร์ซิน ด้วยสถานะพิเศษของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์จึงไม่มีใครกล้าลอกเลียนแบบ และยิ่งกว่านั้น มันยังได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญแล้วด้วย

และข่าวที่จี้ป๋อหนงส่งบัตรเชิญพิเศษออกไปก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…

ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาต้องสงสัยว่าบัตรเชิญในมือตัวเองเป็นของปลอมแหง ๆ

คงไม่ใช่ว่า… เจ้าหมอนี่ถือบัตรปลอมอยู่หรอกนะ?

ชายหนุ่มมองสีหน้าท่าทางที่เป็นธรรมชาติของหลินเจี๋ยแล้วความคิดนี้ก็แล่นวาบเข้ามา จากนั้นก็ส่ายหัวปฏิเสธความคิดของตนเอง

ที่นี่มันหน้าคฤหาสน์แล้ว คงไม่มีคนโง่ที่ไหนเอาบัตรปลอมมาโบกไปมาให้โดนเตะหรอก

ยิ่งกว่านั้น ถ้านี่เป็นบัตรเชิญพิเศษจริง ๆ คนระดับรากหญ้าอย่างเราคงไม่ได้ยินข่าวหรอก บางทีคนนอกอาจไม่รู้เลยก็ได้?

เขาคิดอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วยกรอยยิ้มที่แข็งทื่อให้ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากนั้นก็แนะนำตัว “ผมชื่อฮูสตัน เฟจ เป็นนักไวโอลินต๊อกต๋อยครับ จะเรียกผมว่าเฟจก็ได้”

ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าตัวเองต๊อกต๋อย แต่สีหน้าของเฟจก็แสดงความภาคภูมิออกมาหน่อย ๆ

ผู้ที่สามารถได้รับบัตรเชิญร่วมงานเลี้ยงของจี้ป๋อหนงจะต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับของบุคคลระดับสูงกว่า เขาย่อมภาคภูมิเป็นธรรมดา

ในเมื่อเขากล้าแนะนำตัวเองว่าเป็นนักไวโอลิน ถ้าเช่นนั้น เขาก็ย่อมประสบความสำเร็จด้านการแสดงไวโอลิน

ที่จริงแล้ว ชื่อของ ‘อัจฉริยะสัญจร’ ฮูสตัน เฟจ นั้นดังเปรี้ยงปร้างในวงการเพลงของนอร์ซินเมื่อเร็ว ๆ นี้

เขาไม่ได้อยู่ในวงออเครสตร้าหรือองค์กรทางการอื่น ๆ แต่เป็นนักดนตรีสัญจรที่เชี่ยวชาญการด้นดนตรีสดตามจัตุรัสหรือตามข้างถนนในนอร์ซิน แต่เนื่องจากเขามีฝีมือยอดเยี่ยม เขาจึงมักดึงดูดผู้ชมได้หลายร้อยคนในแต่ละครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นในสายตาผู้คนขึ้นมาจริง ๆ ก็คือ ‘การดวลดนตรี’ ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน

เขาเอาชนะผู้นำนักไวโอลินของฝ่ายตรงข้ามที่ทางเข้า ‘โถงดนตรีทอง’ อันมีชื่อเสียงซึ่งอาศัยการโหวตของผู้ชมสด ทำให้ชื่อเฟจนี้แพร่กระจายไปในวงการดนตรี

แล้วเดือนถัดมา เขาก็ได้รับบัตรเชิญจากจี้ป๋อหนง

แต่ในฐานะวณิพกพเนจรตัวจริงที่ปฏิเสธทุกการลงทุน เพื่อที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ เขาทำได้เพียงใช้เงินเช่าชุดที่ถูกที่สุดและรองเท้าหนึ่งคู่อย่างไม่เต็มใจนัก…

ใช่แล้ว แค่ชุดเสื้อและรองเท้า แต่ไม่มีกางเกง

ส่วนกางเกงที่เขาสวมอยู่ตอนนี้เป็นการสนับสนุนอย่างเป็นมิตรของเจ้าของร้านเช่าเสื้อผ้า เจ้าของร้านผู้นี้ก็เคยได้ยินชื่อเฟจมาเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายได้รับบัตรเชิญของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ก็เถอะ แต่แค่ให้ยืมกางเกงสักตัวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย

แน่นอน ด้วยรูปร่างที่ต่างกันของทั้งสอง จึงไม่มีทางที่ขนาดจะพอดีตัวเขาได้

เฟจที่สวมชุดสูทราคาถูกเชิดหน้าผายอกอย่างภาคภูมิใจเหมือนอย่างเคย เขาแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายโดยหวังจะเห็นความประหลาดใจจากบุคคลรุ่นเดียวกันคนนี้

“หลินเจี๋ยครับ”

หลินเจี๋ยแจ้งชื่อของเขาสั้น ๆ คิดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “เป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ครับ”

เฟจนิ่งงันไป

แค่นี้…เหรอ?

เขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าว่างเปล่า พยายามจะจับอารมณ์อื่น ๆ จากสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย

การประลองดนตรีของเขาเมื่อเดือนที่ผ่านมาออกอากาศไปทั่วข่าวโทรทัศน์นอร์ซินเลยนะ!

สิ่งเดียวที่แซงหน้าข่าวนี้ได้ก็คือข่าวที่ศาสนาแห่งตะวันและกรมตำรวจเขตกลางร่วมกันถล่มโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ซึ่งพระสังฆราชและอัครสาวกต่างขัดขืนอย่างรุนแรงและถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุเท่านั้นเอง!

ชื่อเฟจควรเป็นชื่อที่คนส่วนมากในนอร์ซินรู้จักสิ!

เมื่อไม่กี่วันก่อน ฮูสตันจงใจเดินทางไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อทดสอบชื่อเสียงของเขา และต่อให้ที่ที่เขาไปจะไม่เคยเป็นจุดแสดงของเขามาก่อน ก็ยังมีคนรู้จักเขาอยู่ดี…

หลินเจี๋ยกะพริบตาอย่างประหลาดใจเมื่อถูกจ้อง “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

เฟจไม่กล้าถามหยาบคายด้วยการถาม ‘คุณไม่เคยได้ยินชื่อผมเหรอ?’ ออกไป เขาจึงได้แต่โบกมือแล้วตอบอย่างอ้อมแอ้ม “เปล่า…”

ก่อนหน้านี้ เขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และกระทั่งซ้อมในใจว่าจะวางตัวอย่างไร รับมือกับความตกใจและคำชมของผู้ฟังอย่างไร จัดการกับข้อสงสัยและความอิจฉาของผู้อื่นอย่างไร รวมไปถึงจะแสดงความถือตัวและความสามารถที่จะสยบผู้อื่นอย่างไร…

แต่ไม่คิดเลยว่าทันทีที่เจอเพื่อนคุยคนแรก เขาดันโดนปิดประตูใส่หน้าทันทีเสียนี่

แต่ว่า เจ้าของร้านหนังสือเหรอ?

ฐานะธรรมดาแบบนี้แต่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงของจี้ป๋อหนงเนี่ยนะ? เขาไม่ใช่นักต้มตุ๋นจริง ๆ ใช่ไหม?

คำถามอย่างคับข้องใจของเฟจทับถมเพิ่มพูน แล้วเขาก็ถามอย่างเคลือบแคลง “ไม่สิ ถามนี่ได้…ผมขอถามชื่อร้านหนังสือของคุณได้ไหม?”

การจะได้รับคำเชิญมาร่วมงานเลี้ยงจะต้องเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งอย่างสูง กระทั่งเจ้าของร้านหนังสือก็คงต้องเปิดร้านที่ใหญ่โตหรือมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง

ทั้งนอร์ซินมีร้านหนังสือชื่อดังสักกี่ร้านกันเชียว?

ร้านหนังสือส่วนบุคคลที่โด่งดังที่สุดคือร้านหนังสือมือสองทิวลิป แต่เจ้าของร้านชื่อธีโอดอร์…และเขาไม่เคยได้ยินว่ามีร้านหนังสือชื่อดังที่ไหนอีก

ผิดแล้ว นี่มันไม่ถูกต้อง!

เฟจพลันตื่นเต้น เขารู้สึกราวกับโอกาสโด่งดังมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

พอเขามาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ A16 ครั้งแรกก็จับพิรุธนักต้มตุ๋นที่พยายามปะปนเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยลางสังหรณ์และการลองเชิงที่แม่นยำ ยกระดับให้ชื่อฮูสตัน เฟจมีทั้งความสามารถและสติปัญญา

อื้อ…เป็นวิธีแสดงตัวที่ดีจริง ๆ

เฟจพยายามกดมุมปากไม่ให้ยกขึ้นอย่างสุดความสามารถ ยกคางสูงขึ้นแล้วเหล่ตามองหลินเจี๋ยด้วยสายตาหมิ่นประมาท ตั้งใจให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดันทางจิตใจ

หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว ลูบคาง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “นี่เป็นคำถามที่ดีจริง ๆ ครับ…”

นี่สื่อความหมายเป็นนัยว่า ‘ผมเปิดร้านมาสามปีแล้ว แต่ขี้เกียจตั้งชื่อซะอย่างนั้น’ หรือเปล่านะ?

เฟจพูดฮึดฮัด “หรือร้านหนังสือของคุณจะไม่มีแม้แต่ชื่อกันล่ะ?”

เป็นนักต้มตุ๋นจริง ๆ ด้วย

หลินเจี๋ยแสร้งพูดอย่างจริงจัง “คุณภาพเป็นตัวตัดสินลูกค้า ตราบใดที่หนังสือดีและขายได้ การจะมีชื่อหรือป้ายร้าน ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยครับ”

เฟจยิ้มเยาะในใจแล้วพูดล้อเล่นต่อไป ไม่ว่านายจะลื่นเป็นปลาไหลแค่ไหน ฉันก็จะเปิดโปงนายมันหน้าทางเข้าคฤหาสน์นี่แหละ!