บทที่ 321 : ความเป็นสมาคม
บทที่ 321 : ความเป็นสมาคม
จากมุมมองของแอนดรูว์แล้ว ความไม่บริสุทธิ์ของโจเซฟอยู่ที่ว่าเขาเป็นเพียง ‘ผู้รับน้ำใจของร้านหนังสือ’ อย่างเดียว
โจเซฟมีความรู้สึกขอบคุณและเกรงขามต่อเจ้าของร้านหลิน แต่ลึก ๆ แล้วเขาแตกต่างจากลูกค้าคนอื่น ๆ โดยสมบูรณ์ เขาไม่ใช่สาวกและไม่ได้เชื่อในร้านหนังสือ
แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้แสวงหาปัญญาก็ดี นิกายกลืนศพก็ดี หรือศาสนาแห่งตะวันก็ดี ที่จริงแล้วพวกเขาก็ล้วนแต่กำเนิดมาจากรากเหง้าเดียวกัน แต่ละฝ่ายต่างถูกก่อตั้งภายใต้อิทธิพลของร้านหนังสือ เชื่อฟังคำพูดและเจตจำนงของเจ้าของร้านหลิน ดังนั้นจึงอาจเรียกได้ว่าในสายตาของผู้คนนับพันหมื่น พวกเขาต่างมองสิ่งเดียวกันแตกต่างออกไปจากมุมมองของตน
แต่โจเซฟและหอพิธีกรรมต้องห้ามที่อยู่เบื้องหลังเขานั้นต่างออกไป
แอนดรูว์เห็นความกลัว ความหวาดระแวง ความโลภ ความทะเยอทะยาน และความคิดหลอกใช้ในแววตาของสภาผู้อาวุโสจากหอพิธีกรรมต้องห้ามอย่างชัดเจน!
พวกเขาโง่เขลาไม่ต่างจากคนธรรมดาเอาเสียเลย และไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ที่จะพึ่งพาได้!
แต่โจเซฟง่อนแง่นอยู่ที่ปลายหน้าผาแล้ว
ทันทีที่เขาตระหนักได้ว่าไวลด์ไม่ได้ก่อตั้งนิกายกลืนศพขึ้นมาเอง แต่มันงอกรากออกมาจากรากฐานที่เจ้าของร้านหลินสร้างไว้ และการกระทำชั่วร้ายทั้งหมดต่างเป็นการบูชาเจ้าของร้านหลินล่ะก็…ไม่ว่าเขาจะงุนงงแค่ไหน แต่เขาจะแปรพักตร์อย่างแน่นอนในที่สุด!
พูดอีกอย่างก็คือ จนตอนนี้ แม้ว่าเจ้าของร้านหลินจะมีพระคุณล้นพ้นในการดึงเขากลับมาจากนรกที่สร้างขึ้นโดยดาบปีศาจ แต่หัวใจที่ตั้งมั่นในความเป็นธรรมของเขาก็จะยังอยู่เหนือความซาบซึ้งต่อร้านหนังสือ
แอนดรูว์แน่ใจว่าสุดท้ายแล้ว โจเซฟจะเปลี่ยนเป็นศัตรูกับร้านหนังสืออย่างแน่นอน
เพราะนี่คือโจเซฟ เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานผู้เกลียดความชั่วร้าย!
ที่จริงแล้วเจ้าของร้านหลินก็เปลี่ยนบุคลิกนิสัยของเขาไปในระดับหนึ่ง…คิดว่าถ้าเจ้าของร้านหลินมองเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ เขาคงดีใจมากแน่ ๆ
แอนดรูว์คิดในใจ ก่อนจะส่งลูกน้องของตัวเองกลับไป แล้วหันไปพูดกับเรซิเอลที่อยู่ใกล้ ๆ กันว่า “ตอนนี้เราคุยกันต่อได้แล้วนะครับ…ผมคิดว่า ในเมื่อคุณคิดจะนำสมาคมแห่งสัจธรรมไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของเราก็ตรงกัน ผมหวังว่าคุณจะกลับมาสู่สายตาของโลกอีกครั้ง และกลับมาเป็นผู้นำของนักวิชาการเหมือนเมื่อสหัสวรรษก่อนครับ”
สายตาของเขามั่นคง และน้ำเสียงก็เยือกเย็น
เขาดูพูดจาเหมือนได้สื่อสารกันอย่างละเอียดถ่องแท้ทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่ที่จริงแอนดรูว์แค่ ‘เดา’ ความคิดของเรซิเอลเท่านั้น
เมื่อไรก็ตามที่เขาเอ่ย ‘ความสงสัย’ และ ‘การคาดเดา’ ออกมา เรซิเอลก็จะตอบตกลงทันที…ราวกับว่าในใจเขาคิดเช่นนั้นจริง ๆ
ระหว่างการใช้การคาดเดาแปลก ๆ เพื่อลองเชิงไปมาหลายต่อหลายครั้ง แอนดรูว์ก็สรุปแนวคิดที่เคยแล่นเข้ามาในใจก่อนหน้านี้ได้
ในตอนนี้ หลังจากคุยกันอย่างสันติราวครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ไม่ปิดบังเรื่องใด ๆ ต่อกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน…
เรซิเอลดันแว่นตาของเขาแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ “จริงของเจ้า สมาคมแห่งสัจธรรมคือองค์กรที่ข้าตั้งขึ้น แต่ยามนี้ข้ามิเห็นความรุ่งโรจน์ในอดีตของมันอีกต่อไปแล้ว”
เขาลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่างสูงของสำนักงานนี้แล้วมองไปที่พวกนักวิชาการหน้าตายที่รีบร้อนเดินไปมาบนทางเดินฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ทอดถอนใจ “ข้ามองการพัฒนาของสมาคมแห่งสัจธรรมอยู่ในสังสาระจักรกลมาโดยตลอด แต่ก็เหมือนนักวิชาการสมัยนี้ดูจะรู้จักแต่การทำตัวเย่อหยิ่งแข็งทื่อ แถมยังไร้ซึ่งการพัฒนาหรือนวัตกรรมใด ๆ และมิมีผู้ใดเดินออกนอกกรอบเส้นทางของข้าเลย”
เขาชี้ไปที่จุดติดตั้งปืนใหญ่ทลายอีเธอร์ “โครงสร้างพื้นฐานของอาวุธนี้ ข้าเป็นผู้สร้างมันเอง แต่ไม่มีผู้ใดพยายามปรับปรุงมันเลยสักนิด!”
แอนดรูว์เองก็ลุกขึ้นเดินตามเขาไป แล้วกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น ผมถึงไม่เถียงเลยถ้าคุณจะโกรธ”
เรซิเอลได้ยินคำพูดนี้แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างสะเทือนใจ “นอกจากข้าแล้ว สมาคมแห่งสัจธรรมก็ไม่มีนักวิชาการระดับเหนือนภาอีกเลย…ในยามนั้นข้าคิดว่า ขอเพียงข้าลบตัวตนกลายเป็นเงาในห้วงกาลไป สมาคมแห่งสัจธรรมก็จะพัฒนาได้แน่ ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าข้าตั้งจุดเริ่มต้นไว้สูงเกินไป แล้วนับวันรังแต่จะยิ่งถอยหลังลงคลอง”
“หลายปีมานี้ ข้ามองการเปลี่ยนแปลงของสมาคมแห่งสัจธรรมที่ค่อย ๆ แปรไปเป็น ‘นิกายที่มีเหตุผล’ ที่รู้จักแต่แผนงานและทำตามกฏเกณฑ์อย่างเดียวไปทีละน้อย และเมื่อพบแนวคิดใหม่ สิ่งแรกที่พวกเจ้าทำก็คือกีดกันผู้เห็นต่าง และลบความคิดที่อาจเกินตัวออกไป”
“พูดตรง ๆ แล้ว พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างถึงที่สุด”
“เจ้า ‘หนอนหนังสือ’ ที่ตอนนี้ติดตามไวลด์ไปเอะอะอยู่กับพวกหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ไม่เห็นต้องถูกไล่ออกจากสมาคมแห่งสัจธรรมแค่เพราะทำการทดลองดัดแปลงร่างกายมนุษย์เลย ในสายตาข้าแล้ว ความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุของเขาสูงเสียจนเข้าถึงระดับภัยพิบัติได้ไม่ยากเลยด้วยซ้ำ”
“เขาน่ะเป็นหนึ่งในอัญมณีดิบที่ยังไม่ผ่านการเจียระไนที่แสดงความฉลาดในบางแง่มุมออกมาต่างหาก”
แล้วเขาก็มองแอนดรูว์ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ย “ฮี่ ๆ แม้แต่โครงการ ‘เทวรูปดิน’ จริง ๆ แล้วก็อยู่ภายใต้การชักนำของข้า ในฐานะรองประธาน เจ้าควรจะรู้ดี”
“หากข้าไม่ใช้อุบายนี้ พวกเจ้าก็จะไม่มีทางบังคับใช้แผนนี้แน่นอน นี่ก็เป็นการชักจูงให้เกิดผลอย่างหนึ่ง หากไม่กล้าแบกรับต้นทุนในการลองผิดลองถูกจะได้รับผลลัพธ์สำเร็จได้เยี่ยงไร?”
เห็นได้ชัดว่าเรซิเอลถูกแอนดรูว์ชักจูงให้พ่นความในใจออกมา แล้วเขาก็พูดความคิดทั้งหมดที่เก็บงำไว้ในใจมานานแสนนานภายใต้สังสาระจักรกลในรวดเดียว
แอนดรูว์ไม่แสดงท่าทีต่อมุมมองของเรซิเอล ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
ถ้าสมาคมแห่งสัจธรรมพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องจริง ๆ พวกเขาก็อาจจะไขว่ขว้าผลลัพธ์ด้วยทุกวิธีการจนไม่อาจต่อรองได้เลย
บางทีอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้นอีก…
เขากังวลว่าการปรากฏตัวของเรซิเอลจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและความสามัคคีภายในสมาคมแห่งสัจธรรมได้หรือไม่
ต้องขอบคุณ ‘ชานมไข่มุก’ ของร้านหนังสือที่ส่งมาให้ตัวเองทันเวลาพอดี ฝ่ายผู้แสวงหาปัญญาจึงได้เข้ายึดเก้าอี้ตำแหน่งสูงสุดไปแล้ว แต่นักวิชาการในระดับกลางและระดับล่างยังมีความภักดีไม่เพียงพอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ยังมีกลุ่มของประธานมาเรียที่ยังเกาะเกี่ยวตำแหน่งไว้อย่างเหนียวแน่นอยู่ด้วย
แต่ถ้ามหาปราชญ์ในตำราเรียนเกิดคืนชีพขึ้นมาล่ะ…
ไม่กล้าพูดเลยว่าการเชิญเขากลับมาจะส่งผลอย่างไร บางทีคนพวกนี้อาจตกใจกลัวจนหัวใจวายตายเลยก็ได้?
แอนดรูว์ลอบขำในใจ
เขากระแอมไอด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “เราละเลยหน้าที่จริง ๆ ครับ แต่ในใจผมก็ไม่พอใจกับสภาพความเป็นอยู่ในตอนนี้มากเหมือนกัน แล้วผมก็อยากจะปฏิรูปมันอยู่แหละ แต่ว่า…”
“แต่อันใด?”
“แต่ผมเป็นแค่รองประธานนะครับ ประธานสมาคมสามารถออกเสียงคัดค้านได้ ต่อให้มันจะเป็นแผนที่ดีก็เถอะ แต่ขอแค่เธอไม่เห็นด้วยก็ย่อมใช้งานไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นักวิชาการที่ต่อหน้าคล้อยตาม ลับหลังคัดค้านก็ยังมีอยู่เยอะครับ”
เรซิเอลยิ้มเยาะ “มิมีผู้ใดเป็นประธานไปได้ตลอดกาลหรอก ต่อให้นางเป็นได้ ข้าก็ทำให้นางมิใช่ได้เช่นกัน”
แอนดรูว์ยิ้มตาม
เขากำลังรอคำนี้อยู่เลย!
—
“เฮ้ คุณก็เข้าร่วมงานเลี้ยงที่คฤหาสน์นี้ด้วยเหรอ?”
หลินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองสถาปัตยกรรมขนาดยักษ์ที่โอ่โถงงดงามราวปราสาทแล้วทอดถอนใจว่าตระกูลนายทุนช่างรวยอะไรเช่นนี้ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเรียกแล้วหันไปมอง ที่ต้นเสียงมีชายร่างผอมแห้ง ผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้า และใบหน้าเปื้อนกระกำลังโบกมือทักทายเขาอยู่
เขาดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ใบหน้าใสซื่อ สวมชุดทักซีโดสีดำใหม่เอี่ยมและเสื้อโค้ตลายทาง กางเกงของเขาดูหลวม ๆ ไม่พอดีตัวสักเท่าไร รองเท้าหนังสีดำขัดเป็นมันวับ แต่เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ป้องกันเขาจากอากาศหนาวได้ไม่ดีเท่าไร เขาตัวสั่นเล็กน้อยท่ามกลางลมหนาว และมือที่โบกทักทายก็มีส่วนที่ด้านหยาบ
“ใช่ครับ” หลินเจี๋ยหยิบบัตรเชิญของเขาเองขึ้นมาโบก
—