บทที่ 259 เป็นที่โปรดปราน

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 259 เป็นที่โปรดปราน
ทุกคนประหลาดใจที่เขาไม่นั่งลงตรงที่ควรจะนั่ง แต่กลับไปนั่งข้างเซียวลิ่วหลังแทน

แต่พอมาคิดได้ว่าเมื่อคืนหนิงจื้อหย่วนเองก็รีบกลับ แถมวันนี้ยังมาร่วมงงานช้า สงสัยว่าคงไม่ได้รู้เรื่องนินทาของเซียวลิ่วหลัง แถมหนิงจื้อหย่วนเองก็เป็นคนฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่รู้กฎเกณฑ์อะไร คงคิดไปเองว่าจอหงวนกับปั้งเหยี่ยนอยู่ระดับเดียวกัน

นี่สินะพวกคนจน นอกจากจะไม่รู้กฎเกณฑ์สังคมแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกว่าทำให้คนอื่นเขารู้สึกแย่ไปด้วย

แต่กระนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงพุ่งเป้าและโยนความเกลียดชังไปที่เซียวลิ่วหลังมากกว่าอยู่ดี ด้วยความที่หนิงจื้อหย่วนไม่ใช่คนที่น่าดึงดูดขนาดนั้น เรียกได้ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

พอคิดได้ดังนั้น ผู้คนต่างก็มุ่งความสนใจและความเกลียดชังไปที่เซียวลิ่วหลังอีกครั้ง และเริ่มพูดคุยนินทาถึงเขากันอย่างสนุกปาก

เซียวลิ่วหลังนั่งเฉยๆ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

หนิงจื้อหย่วนจิบชาก่อนหนึ่งจอก ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง. “ข้าไปดูกระดาษคำตอบที่ฝ่ายพิธีการมาแล้วนะ เห็นเรียงความที่เจ้าเขียนแล้ว บอกได้เลยว่าสมแล้วที่เจ้าได้เป็นจอหงวน เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าคนอื่นจะมองอย่างไร ของอันจวิ้นอ๋องเองก็ใช้ได้ ไม่เลวเลย แต่พอเทียบกับของเจ้าแล้ว เขายังขาดความคมคายนัก ข้าว่า นี่คือจุดที่เจ้าซื้อพระทัยของฮ่องเต้ได้ กลับกันกับข้า คำตอบของข้าดูจะอ่อนกว่าของหยวนอวี่ไปเยอะ แต่กลับได้ที่สาม หยวนอวี่ได้ที่สี่ อาจเป็นเพราะหยวนอวี่เป็นลูกท่านหลานเธอ มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากอยู่แล้ว แต่กับข้าผู้ซึ่งเป็นเด็กบ้านฐานะยากจน หากข้าสอบไม่ได้อันดับสูงๆ คงไม่ได้มีโอกาสโบยบินเช่นนี้”

พอเขาเอ่ยจบ เซียวลิ่วหลังก็มองเขาหนึ่งทีด้วยสายตาประหลาดใจ

เมื่อวานโดนขู่ขนาดนั้นแล้ว ไฉนมาพูดดีด้วยเสียอย่างนั้น

ดูเหมือนเขาเองก็คงได้ยินคำนินทาพวกนั้นมาบ้างแล้วสินะ

เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับหนิงจื้อหย่วนเบาๆ “เจ้าช่างกล้านักที่มาพูดกับข้าเช่นนี้ ไม่คิดหรือว่าตัวเองกำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยนอยู่น่ะ”

หนิงจื้อหย่วนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงได้กลายเป็นขี้ปากแทนน่ะสิ”

หนิงจื้อหย่วนเองก็มาจากครอบครัวฐานะยากจน แถมเขายังไม่ใช่คนที่เข้าตาใครง่ายๆ แบบเซียวลิ่วหลัง ไม่มีใครคอยสนับสนุนเขา หากเขาโดนแบบที่เซียวลิ่วหลังกำลังโดนอยู่มีหวังคงได้อยู่ในเมืองหลวงได้ไม่นานแน่นอน

คะแนนของเซียวลิ่วหลังดีกว่าเขามาก แถมดูมีอนาคตมากกว่า ไม่แปลกที่คนจะพากันอิจฉาเซียวลิ่วหลัง

“เจ้าต้องอดทนไว้นะ” หนิงจื้อหย่วนเอ่ยพลางสูดหายใจ “ถ้าเจ้าล้ม คนที่จะล้มต่อจากเจ้าคงเป็นข้า….”

เซียวลิ่วหลังที่ซึ้งจนเกือบคล้อยตาม “…”

เมื่อพอฮ่องเต้ปรากฏกาย ทุกคนก็พากันเงียบเสียงลง

พอฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรไปยังตำแหน่งที่อันจวิ้นอ๋องนั่งอยู่ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ก่อนจะทรงนั่งลง แล้วให้นักสังคีตบรรเลงเพลง “ลู่หมิง”จากนั้นทรงให้จิ้นซื่อทุกคนร้องตามทำนอง ก่อนจะให้บัณฑิตสามอันดับแรกร่วมกันแต่งกลอนขึ้นเพื่อคล้องกับบรรยากาศ

อาหารในงานเลี้ยงถูกจัดเตรียมโดยครัวของวังหลวง เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก หลายๆ คนเกิดมายังไม่เคยได้ลิ้มลองอาหารมากหน้าหลายตาและรสชาติเยี่ยมยอดขนาดนี้มาก่อน นี่อาจเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียวของพวกเขาก็เป็นได้

แม้บรรยากาศในวังจะชวนน่าเกรงขามอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็กินอาหารกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

ฮ่องเต้อยู่ในงานแค่ครู่พักเดียวจากนั้นแล้วก็ทรงเดินออกไป และฝากฝังให้ขุนนางฝ่ายพิธีการดูแลต่อ

ช่วงพลบค่ำ งานเลี้ยงเป็นอันเลิกรา เหล่าจิ้นซื่อต่างพากันทยอยกลับ

เซียวลิ่วหลังและพรรคพวกคนอื่นๆ เดินออกจากตำหนักไท่เหอพร้อมกัน. หลังจากที่พอเดินออกไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีขันทีนายหนึ่งปรากฏตรงหน้าพวกเขา ก่อนจะเอ่ยถาม “มิทราบว่า ท่านคือเซียวจอหงวนใช่หรือไม่”

เซียวลิ่วหลังมองขันทีตรงหน้าปราดนึง ก่อนเอ่ยถาม “ท่านเป็นใครรึ”

ขันทีหัวเราะ “ข้าน้อยมาจากตระกูลหวง เป็นข้ารับใช้ของท่านไท่จื่อ ฝ่าบาททรงมีความประสงค์อยากขอพบกับท่านจอหงวน ได้โปรดเชิญที่ตำหนักบูรพาด้วยขอรับ”

เซียวลิ่วหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนถามต่อ “ฝ่าบาททรงอยากพบข้าด้วยเหตุใดหรือ”

ขันทีทำหน้ายิ้ม ก่อนตอบ “ข้าน้อยเพียงทำหน้าที่ส่งข่าวเท่านั้น หากท่านจอหงวนต้องการรู้เหตุผล สามารถถามฝ่าบาทโดยตรงได้เลยขอรับ”

ตู้รั่วหานขมวดคิ้ว

ไท่จื่อเจียนเรียกเข้าพบขนาดนี้แล้ว ปฏิเสธไม่ได้หรอก

เฝิงหลินทำท่าดีใจ “ดูสิ ลิ่วหลัง ไท่จื่ออยากพบเจ้าด้วยล่ะ!”

“อืมอ ข้ารู้แล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลาพยักหน้า ก่อนจะหันไปตอบขันที “โปรดท่านนำทางข้าด้วย”

ขันทีทำท่าผายมือ “ท่านเซียวจ้วหยวน เชิญทางนี้ขอรับ”

“พวกเจ้ากลับไปกันก่อนเลย ไม่ต้องรอข้า เดี๋ยวหลิวเฉวียนมารับข้าเอง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยจบก็เดินตามขันทีไปทางตำหนักบูรพา

เฝิงหลินยิ้มระรื่นพลางเอ่ย “เกรงว่าไท่จื่อคงได้ยินชื่อเสียงเรียงนามและความสามารถของลิ่วหลัง ก็เลยอยากรู้จักด้วยกระมัง”

ไม่แปลกใจที่เขาคิดอย่างนั้น เพราะไท่จื่อก็เป็นหลานชายของเซวียนผิงโหว และเซียวลิ่วหลังก็เป็นบุตรชายของเซวียนผิงโหว นั่นเท่ากับว่าพวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะสิ เป็นการรวมญาติงั้นรึ!

ตู้รั่วหานกลับไม่คิดเช่นนั้น พลางเบะปาก “ไท่จื่อแต่งงงานกับว่าที่เจ้าสาวของลูกพี่ลูกน้องมิใช่รึ คิดดูสิว่าถ้าเขาเห็นว่าเซียวลิ่วหลังมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับท่านโหวน้อย เขาจะมีปฏิริยาอย่างไร!”

พอเฝิงหลินได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มพะวง “จริงสิ เกือบลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลยนะเนี่ย!”

ณ จวนตระกูลหลิ่ว

ครั้งหนึ่งตระกูลหลิ่วเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลิ่วอันวิจิตร ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน คฤหาสถ์คฤหาสน์ที่ว่านั้นถูกยึดไปนานแล้ว ตอนนี้ตระกูลหลิ่วอัดแน่นอยู่ในเรือนหลังเล็ก ๆ ที่ทรุดโทรม โดยคนที่ยังอยู่ที่นี่เหลือเพียงหลิ่วอีเซิงเท่านั้นที่เป็นเจ้านาย และก็มีบ่าวใบ้ที่แทบจะไม่สามารถทำอะไรได้ กับบ่าวอีกคนที่อยู่ในวัยใกล้ฝั่งแล้ว

ขณะที่กู้เจียวก้าวเข้าไปในเรือนของตระกูลหลิ่ว ก็เห็นว่าหลิ่วอีเซิงกำลังนั่งยองอยู่บนพื้น กำลังนั่งฝึกเขียนตัวอักษรบนกระดานหินที่แตกระแหง โดยใช้แปรงเก่าๆ ชุบน้ำเพื่อใช้แทนพู่กัน

เขาไม่มีเงินซื้อพู่กันและกระดาษ จึงได้แต่ฝึกด้วยข้าวของที่มีอยู่

พอเห็นว่ามีเงาประหลาดปรากฏขึ้น หลิ่วอีเซิงเกิดผงะเล็กน้อย ก่อนจะพลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกละอายใจเข้ามาแทนที่

เอาเถอะ ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว มีอะไรให้น่าอายอีก

เขาก้มหน้าก้มตาฝึกเขียนตัวอักษรเหมือนเดิม ไม่ยุ่งกับกู้เจียว

จู่ๆ บ่าวที่เป็นใบ้ก็คว้าท่อนไม้และยืนกันหลิ่วอีเซิงไว้

ดูท่าแล้วที่ผ่านมาคงเจอคนบุกรุกมาไม่น้อยเลยสินะ

หลิ่วอีเซิงยิ้มเจื่อนๆ ก่อนเอ่ย “หลบไปเถอะ เจ้าสู้นางไม่ได้หรอก”

บ่าวใบคนนั้นไม่ถอยตามที่เขาบอก ยังคงใช้สายตาระแวงจ้องเขม็งที่กู้เจียว

บ่าวคนนี้ดูแล้วยังเด็กนัก น่าจะอายุราวๆ กู้เสี่ยวซุ่น กู้เจียวยื่นลูกอมให้เขา “กินไหม”

บ่าวตัวน้อยจากที่ทำท่าระแวงก็เริ่มตาโตเป็นประกาย

หลิ่วอีเซิงพอเห็นดังนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะ “จะกินก็กินเถอะ ถ้านางจะฆ่าเจ้าจริงๆ คงไม่ใจดีขนาดนี้หรอก”

บ่าวตัวน้อยลังเลอยู่พัก ก่อนจะตัดสินใจวางท่อนไม้ลงแล้วเข้าไปรับลูกอมจากมือกู้เจียวราวกับลิงที่เห็นกล้วย

เขาแบะลูกอมออกมากินครึ่งหนึ่ง ก่อนจะเก็บอีกครึ่งไว้ในกระเป๋า

“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใดรึ” หลิ่วอีเซิงเอ่ยถาม

“ยาของเจ้า” กู้เจียวโยนถุงผ้าให้เขา “ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”

“แต่ข้าไม่เจ็บแล้วนะ” เขากำลังพูดถึงถุงน้ำดีของเขา

“ต่อให้ไม่เจ็บก็ต้องกิน เจ้ายังต้องรักษาตัวอยู่นะ”

“แต่ข้า ไม่มีเงิน” หลิ่วอีเซิงเอ่ย

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีเงิน ยานี่แลกกับข่าวที่ข้าอยากรู้ ถ้าเจ้ายอมเปิดเผย ข้าจะไม่คิดเงินเจ้า”

ทั้งสองไม่ได้พูดถึงการเดิมพันและปิ่นดอกไม้ ราวกับว่าพวกเขาลืมไปแล้ว

หลิ่วอีเซิงชะงักมือลง ก่อนเอ่ย “เจ้าอยากรู้อะไร”

กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ยถาม “ตระกูลเจ้าเคยก่อกบฏจริงหรือ”

หลิ่วอีเซิงแสยะยิ้ม “เคยแล้วยังไง ไม่เคยแล้วยังไง”

กู้เจียวเอามือลูบคาง “ถ้าเคยก่อกบฏจริง ก็ต้องรู้จักวังหลวงเป็นอย่างดี อย่างเช่น…วิธีการเข้าไปยังวังหลวง”

หลิ่วอีเซิง “…”

อีกฝั่งหนึ่ง หวงกงกงกำลังพาเซียวลิ่วหลังไปยังตำหนักบูรพา จู่ๆ ฝีเท้าของเซียวลิ่วหลังพลันหยุดอยู่เบื้องหน้าสวนดอกไม้

หวงกงกงเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม “มีเรื่องอันใดรึท่านเซียวจอหงวน”

“ไม่มีอะไรน่ะ”

เซียวลิ่วหลังรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแมวร้อง แม้จะเป็นเสียงแหลมเล็ก แต่กลับทำให้เซียวลิ่วหลังขนลุกซู่ได้

หวงกงกงยิ้มให้ “หากไม่มีเรื่องอันใด โปรดรีบไปกันเถิดขอรับ เกรงว่าฝ่าบาทจะรอนาน”

เซียวลิ่วหลังพยักหน้าเบาๆ

มีแมวขาวตัวหนึ่งกำลังนอนเพลิดเพลินกับการแทะปลาแห้งตัวเล็ก ๆ บนต้นไม้

ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านสวนดอกไม้และกำลังจะผ่านต้นไม้ต้นนั้น ทันใดนั้น จู่ๆ เสียงนางกำนัลร้องตะโกนดังขึ้น “ไอ้หยา ไม่ดีแล้ว ไม่ดีแล้วๆ ใครก็ได้ มาตรงนี้ที!”

เซียวลิ่วหลังหันไปทางต้นเสียง

หวงกงกงขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปสั่งขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าไปดูหน่อยซิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าขอพาท่านจอหงวนไปพบฝ่าบาทก่อน”

“ขอรับ” ขันทีขานรับจบก็รีบวิ่งออกไป

แต่พอขันทีวิ่งไปทางต้นเสียง กลับถูกนางกำนัลผลักร่างออก จากนั้นนางกำนัลก็วิ่งไปขวางทางหวงกงกง “หวงกงกง! ท่านอยู่นี่เอง! ขอร้องล่ะท่านได้โปรดช่วยองค์ชายของหม่อมฉันด้วย! องค์ชายของหม่อมฉันเริ่มไม่ไหวแล้ว!”

“นางเป็นใครรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามหวงกงกง

หวงกงกงเริ่มมีน้ำโห พยายามจะสลัดนางกำนัลออกไป แต่นางกลับเกาะเข่าเขาไว้แน่น “หวงกงกง! ได้โปรดช่วยองค์ชายของหม่อมฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”

หวงกงกงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไปยุ่งเรื่ององค์ชายของเจ้าได้ที่ไหนกัน เจ้าต้องไปรายงานฝ่าบาทสิ!”

นางกำนัลยังคงเอ่ยอย่างร้อนรน “หากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น หม่อมฉันจะมาหาท่านทำไมเล่าเจ้าคะ ได้โปรดท่านช่วยองค์ชายของหม่อมฉันด้วยเถิด! แม้ที่นี่พระองค์จะทรงเป็นเชลย แต่อย่างน้อยพระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นองค์ชายแห่งแคว้นเฉิน ท่านจะปล่อยพระองค์ไว้แบบนั้นไม่ได้นะ! องค์ชายของหม่อมฉันทรงประชวรมานานแล้วนะเจ้าคะ!”

“เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

หนิงอ๋องเฟยที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนเองก็ได้ยินความเคลื่อนไหว จึงเดินตามเสียงไปโดยมีนางกำนัลคอยพยุงร่างไว้

จวงกุ้ยเฟยให้ความสำคัญกับครรภ์นี้ของหนิงอ๋องเฟยเป็นพิเศษ จึงขอให้หนิงอ๋องเฟยมาพำนักที่หย่งโส้วกงเป็นกรณีพิเศษ

พอหวงกงกงเห็นว่าหนิงอ๋องเฟยกำลังมาทางนี้ ก่อนจะสลับหันไปทางต้นไม้ ก่อนจะหันมาทำตาขึงใส่นางกำนัลจอมวุ่นวายคนนี้

หวงกงกงนึกในใจ องค์ชายของแคว้นเฉินเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี ในเมื่อเขามาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นเชลย ไม่ได้มาเป็นองค์ชาย ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย

น่าโมโหชะมัด!