บทที่ 260 ยอดกลอุบาย (1)
“กระหม่อมถวายบังคมหนิงอ๋องเฟยพ่ะย่ะค่ะ” หวงกงกงค้อมกายทำความเคารพ
เหล่านางกำนัลเองก็รีบคุกเข่าโขกหัวกับพื้น “หม่อมฉันถวายบังคับหนิงอ๋องเฟยเพคะ”
เซียวลิ่วหลังประสานมือคำนับหนิงอ๋องเฟย ท่าทางสงบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย
เซียวลิ่วหลังสวมเครื่องแบบจอหงวน บ่งบอกสถานะได้อย่างชัดเจน เพียงแต่หนิงอ๋องเฟยไม่เคยพบท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจามาก่อน ประกอบกับช่วงนี้จวงกุ้ยเฟยไม่ได้เล่าเรื่องราวภายนอกให้นางได้รู้นัก เพราะต้องการให้นางบำรุงครรภ์อย่างไร้กังวล ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่รู้เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับจอหงวนหมาดๆ ผู้นี้
หนิงอ๋องเฟยพยักหน้าตอบตามมารยาท ถึงอย่างไรก็เป็นชายอื่น นางจึงไม่อาจพูดคุยด้วยได้มากนัก สายตาของนางจึงกลับมาหยุดอยู่ที่นางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ข้าจำได้ว่าเจ้าคือนางกำนัลข้างกายขององค์ชายหกแห่งแคว้นเฉิน ที่ตำหนักองค์ชายเจ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึ”
นางกำนัลเอ่ยเสียงสะอื้น “ทูลหนิงอ๋องเฟย องค์ชายหกป่วยเพคะ จวบจนยามนี้ยังไม่มีหมอหลวงมารักษาพระองค์ หม่อมฉันเป็นกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าองค์ชายหกจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร…”
มือของหนิงอ๋องเฟยลูบท้องของตนเองอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาฉายแววสลับซับซ้อนพลางเอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปเถิด ข้าจะทูลเรื่องนี้ให้พระสนมทราบเอง”
เรื่องแบบนี้หากไม่รู้เสียแต่แรกก็ดี แต่หากรู้แล้วไม่สนใจก็คงจะไม่ได้ คิดเสียว่าสั่งสมบุญให้กับลูกในท้องก็แล้วกัน
“เพคะ! เพคะ! ขอบพระทัยหนิงอ๋องเฟยมากเพคะ!” นางกำนัลโขกหัวอยู่หลายต่อหลายหน หลังจากเอ่ยขอบคุณก็ลุกยืนขึ้นแล้วกลับไป
หนิงอ๋องเฟยเองก็ออกไปจากสวนดอกไม้หลวงไปพร้อมกับนางกำนัลของตน
“ส่งเสด็จหนิงอ๋องเฟย” หวงกงกงแสดงความเคารพ จนกระทั่งหนิงออกไปเดินลับหายไปจนสุดทางเดิน เขาถึงหยัดตัวขึ้น ก่อนจะส่งสายตาให้เซียวหลิวหลังแล้วเอ่ยพูดว่า “จอหงวนเซียว เชิญทางนี้ขอรับ”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า พลางเดินตามหวงกงกงมุ่งหน้าต่อไปยังตำหนักบูรพา
ขณะที่เซียวลิ่วหลังสังเกตเห็นต้นไทรสูงใหญ่ริมทางเดิน สองตาของหวงกงกงเองเผลอมองไปที่ต้นไม้อย่างไม่รู้ตัว เขาราวกับมองหาบางสิ่งบางอย่าง ทว่าบนต้นไม้นั้นกลับไม่มีสิ่งใด
เซียวลิ่วหลังละสายตากลับมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกไปเองว่าราวกับได้หลุดพ้นจากเคราะห์ร้ายอะไรบางอย่าง รู้สึกแปลกพิกล
หลังจากหนิงอ๋องเฟยกลับมาถึงตำหนัก ก็ทูลเรื่องที่บังเอิญเจอกับนางกำนัลของแคว้นเฉินให้จวงกุ้ยเฟยได้รู้ จวงกุ้ยเฟยเกลียดชังเชลยศึกแคว้นเฉินเป็นที่สุด เพราะพวกเขาลูกหลานตระกูลจวงต้องกลายเป็นเชลยที่แคว้นเฉิน ทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่แคว้นเฉิน นางอยากจะให้เฉลยแคว้นเฉินได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างที่อันจวิ้นอ๋องเคยได้รับเช่นกัน
ทว่านางเองก็ทำได้เพียงแค่คิด นางเองก็ไม่โง่ถึงขนาดลงมือทำเช่นนั้นจริงๆ
จวงกุ้ยเฟยไปยังห้องหนังสือ บอกเรื่องที่เชลยแคว้นเฉินป่วยหนักกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้รับสั่งให้เว่ยกงกงส่งหมอหลวงคนหนึ่งไป
ภายในเรือนตระกูลหลิ่ว
แสงอาทิตย์เจิดจ้า หลิ่วอีเซิงนั่งถักเชือกป่านอยู่บนตั่งหน้าเรือน ส่วนอาหนูกับแม่นมเองก็สานตะกร้าอยู่ข้างกัน นี่เป็นรายได้หลักของคนทั้งครอบครัว ตะกร้าหนึ่งใบขายได้สิบเหรียญทองแดง เชือกป่านเส้นหนึ่งขายได้หนึ่งเหรียญทองแดง
หากโชคดี หนึ่งวันพวกเขาจะสานตะกร้าได้สี่ใบ และถักเชือกป่านได้สิบเส้น ก็เท่ากับห้าสิบเหรียญทองแดง ทว่าหลิ่วอีเซิงมักจะถูกคนกลั่นแกล้งอยู่เสมอ จึงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถทำงานได้ทุกวัน
ตรงหน้าหลิ่วอีเซิงมีคนนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งคือกู้เจียวที่กำลังลูบเจ้าแมวขาว ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มสวมชุดยาวสีน้ำเงิน
ใบหน้าของชายคนนั้นคล้ายกับหลิ่วอีเซิงอยู่ไม่น้อย หากไม่มองให้ดีคงมองไม่ออก
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แค่คมคายน้อยกว่าหลิ่วอีเซิงนิดหน่อย แต่ก็นับว่าเป็นชายรูปงามที่แสนสะดุดตาคนหนึ่ง
เขาสวมเสื้อผ้าหรูหรา ดูไม่เข้ากับเรือนผุพังหลังนี้แม้แต่น้อย แตกต่างจากหลิ่วอีเซิงที่มอซอราวฟ้ากับเหว
กระนั้นแล้วคนผู้นี้กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย โบกพัดในมือเล่นไปพลาง พูดคุยกับหลิ่วอีเซิงอย่างผ่อนคลายไปพลาง
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมติดต่อข้าแล้วสินะ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วอีเซิงถักเชือกป่านจนเหงื่อชุ่มไปทั้งหัว ไม่รู้ว่าไม่มีเวลามาสนใจเขา หรือคร้านจะสนใจเขามากกว่า
ชายหนุ่มไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด เขาสะบัดกางพัดพลางโบกด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะรวบพับเก็บดังพรึ่บ จากนั้นสายตาก็มองไปที่กู้เจียวแล้วเอ่ย “นางเป็นใครหรือ”
“หมอ” ในที่สุดหลิ่วอีเซิงก็ยอมปริปากพูด ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่เชือกป่าน ไม่มองคู่สนทนาของตัวเอง แต่ก็คาดเดาได้ว่าเขาถามถึงกู้เจียว
ชายหนุ่มรวบเก็บแล้วฟาดลงบนฝ่ามือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ป่านนี้ยังมีหมอยอมรักษาเจ้าอยู่อีกหรือ คงไม่ใช่หมอทั่วไปสินะ”
คำพูดนั้นมีความนัยแฝงอยู่ ราวกับรู้สภาวะของหลิวอีเซิงเป็นอย่างดี
กู้เจียวคลอเคลียเจ้าแมวอย่างเพลิดเพลิน พอได้ยินดังนั้นก็เหลียวไปมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเย็นชา “แน่นอนว่าไม่ใช่หมอทั่วไป ข้าเป็นหมอเทวดา”
ชายหนุ่ม “…”
หญิงแคว้นเจาของพวกเจ้าเหตุใดถึงกล้าพูดเอาดีเข้าตัวเช่นนี้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร” คราวนี้ชายหนุ่มถามกู้เจียว
“หลิ่วอีเชิง” กู้เจียวลูบแมวต่อ
ชายหนุ่มยกยิ้ม พลางใช้ด้ามพัดชี้ไปที่หลิ่วอีเซิง “เขาเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของข้า”
“หืม” กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ
ชายหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครที่ไหน แต่เป็นองค์ชายหกแห่งแคว้นเฉินที่แสร้งทำเป็นล้มป่วยในวังหลวงเมื่อครู่นี้
เดิมทีกู้เจียวตั้งใจว่าจะหาทางเข้าวังด้วยตัวเอง ทว่าหลิ่วอีเซิงบอกว่านางเข้าไปไม่ได้ แต่สามารถส่งสาส์น์ของนางสามารถส่งเข้าไปได้
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มที่เรียกตนเองว่าองค์ชายหกแห่งแคว้นเฉินก็มาหาหลิ่วอีเซิงพร้อมกับเจ้าแมวขาวที่จับได้
กู้เจียวมองหลิ่วอีเซิง “ชาวแคว้นเฉินรึ”
เอ่อ… เรื่องสำคัญเช่นนี้หากบอกนางไปจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ
ปฏิกิริยาของกู้เจียวนิ่งสงบกว่าที่องค์ชายหกคาดการณ์ไว้ แต่พอนึกถึงยามที่เขาเปิดเผยตัวตนของตัวเอง นางเองก็ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด องค์ชายหกจึงหายสงสัยไปโดยปริยาย
นับว่าเป็นเด็กสาวที่สงบนิ่งคนหนึ่ง
กู้เจียวยังคงลูบแมวต่อไป
“เจ้ายังไม่กลับอีกหรือ” หลิ่วอีเซิงพูดกับองค์ชายหก
องค์ชายหกเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าติดต่อข้ามาทั้งที จะไม่ให้ข้านั่งเล่นที่เรือนเจ้าสักหน่อยได้อย่างไร เกือบนึกว่าชาตินี้เจ้าจะไม่ติดต่อข้ามาแล้วเสียอีก”
เขาพูดไปพลางหันไปมองกู้เจียว ไม่มีท่าทีปิดบังความสัมพันธ์ของตนเองกับหลิ่วอีเซิงเลยสักนิด “ข้ามาเป็นเชลยศึกที่แคว้นเจา ก็เพื่อมาเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปกับข้า แต่เขาไม่ฟังข้าเนี่ยสิ หากไม่เป็นการรบกวนเจ้าก็ช่วยข้าเกลี่ยกล่อมเขาอีกแรงด้วยสิ”
กู้เจียวคิดในใจ ‘ข้าไม่ได้อยากรู้เรื่องมากมายขนาดนั้น…’
“อาหนู๋ ส่งแขก!” หลิ่วอีเซิงสั่งให้ส่งแขกโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมามอง
อาหนู๋วางตะกร้าที่สานได้เพียงครึ่งหนึ่งในมือลง ก่อนจะลุกยืนขึ้นแล้วหยุดอยู่ข้างกายองค์ชาย จากนั้นก็คำนับให้เขา ส่งสัญญาณบอกให้เขาออกไป
องค์ชายหกที่มาเยือนเรือนหลังซอมซ่อเช่นนี้แต่ยังถูกไล่ตะเพิด “…”
องค์ชายหกตบเก้าอี้หวายเบาๆ อย่างจนใจ ก่อนจะทอดถอนใจแล้วจากไป
เจ้าแมวขาวช่างน่ารักเหลือเกิน อ้วนจ้ำม่ำ เส้นขนอ่อนนุ่มทั้งยังเป็นเงาวับ กู้เจียวลูบไปมาด้วยความพึงพอใจ
เจ้าแมวขาวที่ถูกลูบเองก็สบายตัวเป็นอย่างมาก นอนแผ่หลาอยู่บนตักของกู้เจียว สี่ขาชี้ขึ้นฟ้า เผยส่วนหน้าท้องที่นุ่มหยุ่นที่สุกให้กู้เจียวได้เห็น
ทว่าหลิ่วอี้เซิงกลับไม่ได้ไล่แขกอย่างกู้เจียว เขายังคงถักเชือกป่านต่อก่อนจะโพล่งขึ้นมาว่า “แม่ข้าเป็นคนแคว้นเฉิน”
“ฮะ” กู้เจียวที่กำลังฟัดแมวอยู่ชะงักไป แล้วเหลียวไปมองเขา
หลิ่วอีเซิงก้มหน้าถักเชือกป่าน เดิมทีมือคู่นี้ก็เป็นมือที่เรียวยาวงดงามคู่หนึ่ง ทว่าชีวิตได้ทารุณมันจนเต็มไปด้วยไตแข็งด้านและบาดแผล “เป็นพี่น้องกับแม่ของเหอหยวนถัง”
อ๋อ ที่แท้องค์ชายหกผู้นั้นชื่อว่าเหอหยวนถังสินะ
กู้เจียวเข้าใจในทันใด สองพี่น้อง คนหนึ่งเข้าวังไปเป็นนางสนม อีกคนหนึ่งถูกส่งมาไส้ศึกที่แคว้นศัตรู ครอบครัวที่บ่มเพาะลูกสาวสองคนเช่นนี้ออกมาได้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“ฮ่องเต้รู้หรือไม่” กู้เจียวถาม
หลิ่วอีเซิงส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าเขารู้หรือไม่”
ยามที่ตระกูลหลิ่วถูกสำเร็จโทษหลิ่วอีเซิงยังเด็กนัก ไม่มีผู้ใดบอกเขาด้วยซ้ำว่าตระกูลหลิ่วทำอะไรลงไป เขาทำได้เพียงมองตระกูลหลิ่วถูกยืดเรือน คนที่โดนประหารก็ถูกประหาร คนที่ถูกเนรเทศก็ถูกเนรเทศ สุดท้ายเหลือเพียงเขาที่เป็นลูกหลานเพียงคนเดียว กับแม่นมที่กระดูกกระเดี้ยวแทบจะไม่มีแรงอีกนางหนึ่ง
อาหนู๋เพิ่งจะเก็บมาเลี้ยงเอาทีหลัง
หลิ่วอีเซิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นต่อ “คงไม่รู้กระมัง แต่ก็ไม่สำคัญหรอก อย่างไรเสียข้าเป็นเพียงหมาที่ไม่มีบ้านให้กลับ”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่กลับไป” กู้เจียวถาม
หลิ่วอีเซิงเย้ยหยันตัวเอง “กลับที่ไหน แคว้นเฉินหรือ อยู่แคว้นเจาข้าก็เป็นหมาที่ไม่มีบ้านให้กลับ กลับแคว้นเฉินก็คงเหมือนกัน”
ในตัวเขามีสายเลือดของแคว้นเจาไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง ในสายตาของคนแคว้นเฉินแล้ว เขานั้นสกปรกโสโครก
กู้เจียวไม่โน้มน้าวเขาอีกต่อไป
ทุกคนล้วนแต่มีชีวิตของตนเอง ล้วนแต่มีทางเลือกของตัวเอง กู้เจียวปล่อยเจ้าแมวขาวลงก่อนจะลุกยืนขึ้นเอ่ยลา “เช่นนั้นข้ากลับก่อน”
หลิ่วอีเซิงมองเจ้าแมวขาวสีหน้างุนงงบนพื้น แล้วเอ่ยถามนาง “เจ้าไม่เอาแมวไปด้วยหรือ”
“เจ้าเลี้ยงไว้เถิด” กู้เจียวตอบ ไม่รอให้เขาเอ่ยคำว่าข้าไม่มีเงินเลี้ยง ก็ควักถุงเงินออกมาแล้ววางบนโต๊ะ “ค่าอาหารเลี้ยงแมว”
พูดจบก็สาวเท้าเดินออกจากเรือนไป
หลิ่วอีเซิงมึนงงไปหมด คลอเคลียแมวได้เป็นชั่วยาม เห็นอยู่ชัดๆ ว่าชอบใจเหลือเกิน แต่เหตุใดถึงให้เขาเลี้ยงไว้ที่นี่ โรงหมอใหญ่โตถึงเพียงนั้น จะเลี้ยงแมวสักตัวไม่ได้เชียวหรือ
แน่นอนว่าเขาเพียงแค่นึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไป เขาไม่ถามแม้แต่ว่าเหตุใดกู้เจียวถึงอยากเข้าไปในวังหลวงเพื่อจับแมวเพียงตัวเดียว มีหรือจะถามเรื่องเช่นนี้
คนบางคน แม้จะไม่ได้สนิทชิดเชื้อ แต่กลับเชื่อใจซึ่งกันและกัน
เจ้าแมวขาวที่ถูกลูบเกามาตลอดทั้งบ่าย จู่ๆ ก็ไม่มีคนมาคลอเคลีย รู้สึกเหงาเป็นอย่างมาก จึงกระโดดขึ้นบนตักของหลิ่วอีเซิง อ้อนขอสัมผัส
หลิวอีเซิงไม่มีเวลามาเล่นกันแมว เขาไม่สนใจมันก่อนจะถักเชือกป่านต่อ
“เจ้ารู้ไหม หากจับตัวเจ้าแมวนี้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น”
นั่นคือเสียงของหยวนถัง