บทที่ 260 ยอดกลอุบาย (2)
หลิ่วอีเซิงหันกลับไปมอง หยวนถังกลับเดินออกมาจากโถงของเรือน ท่าทางคงจะเดินเข้ามาจากทางประตูหลัง
หลิ่วอีเซิงขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่กลับไปอีกรึ”
“ก็บอกแล้วอย่างไรเล่ากว่าจะเจ้าเรียกข้ามาหาสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะไม่ให้ข้าอยู่นานๆ สักหน่อยได้อย่างไร” หยวนถังเอนกายลงบนเก้าอี้หวายตัวเดิมที่นอนเมื่อครู่นี้ มือข้างหนึ่งโบกพัดเล่นไปมา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ใช้หนุนท้ายทอยของตัวเอง ก่อนจะพูดหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ต่อ
“หากจับเจ้าแมวตัวนี้ไว้ไม่ทัน จอหงวนคนใหม่ผู้นั้นจะสะดุดเจ้าแมวนี้จนล้ม เจ้าแมวตกใจจอหงวน จอหงวนเองก็ตกใจเจ้าแมว สุดท้ายเจ้าแมวที่ตื่นกลัวก็จะชนหนิงอ๋องเฟยจนล้มระหว่างทาง หนิงอ๋องเฟยที่ตั้งครรภ์ ก็จะไม่อาจปกป้องลูกเอาไว้ได้ จอหงวนคนใหม่ หนิงอ๋องเฟย และเจ้าของแมว ธนูดอกเดียวยิ่งโดนสามเป้ารวด ช่วงเป็นแผนการที่แยบยลนัก”
กู้เจียวไปจับแมว หลิ่วอีเซิงนึกว่าต้องการเพียงแค่จับแมวเท่านั้นเสียอีก เขาหันไปมองหยวนถังด้วยความสงสัย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หยวนถังกวักมือเรียกเจ้าแมวขาว
เจ้าแมวขาวกระโดดลงพื้นอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะกระโดดขึ้นบนตักของหยวนถังอย่างไม่เต็มใจ
หยวนถังลูบแมวพลางเอ่ย “เพราะนี่คือแมวของข้า มีคนใช้ปลาแห้งหลอกล่อแมวของข้าออกไป”
เขาพูดพลางหิ้วเจ้าแมวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบนะเยือก “เจ้าแมวโง่ เกือบพาข้าซวยแล้วไหมเล่า หากคราวหน้าถูกหลอกง่ายถึงเพียงนี้ แล้วถูกข้าจับไปทำเนื้อแมวตุ๋นก็อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน!”
ความฝันของกู้เจียวมีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับเซียวลิ่วหลังเท่านั้น ส่วนจุดจบของเจ้าแมวขาวและเจ้าของแมวนั้น นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
“เมี๊ยว เมี๊ยว” เจ้าแมวร้องด้วยความน้อยอกน้อยใจ
หยวนถังบิดพุงเจ้าแมวขาว เจ้าแมวปล่อยให้บิดอย่างว่าง่ายด้วยความรู้สึกผิด “หากเทียบกันแล้ว เจ้าสงสัยว่าข้ารู้ได้อย่างไร แล้วแม่หนูนั่นรู้ได้อย่างไร ไม่น่าสงสัยว่ามากกว่าหรือ ข้ามาคาดเดาเอาที่หลังจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่แม่หนูนั่นราวกับรู้เรื่องนี้ก่อนล่วงหน้า”
ไม่รู้ว่าหลิ่วอีเซิงคิดอะไรได้บางอย่าง จู่ๆ ก็นิ่งเงียบไป
หยวนถังยิ้มอย่างมีเลศนัย “ให้ข้าสืบเรื่องแม่หนูนั่นไหม”
หลิ่วอีเซิงสีหน้าจริงจัง “เจ้าอย่าทำจะเป็นการดีที่สุด”
หยวนถังถาม “เป็นอะไรไป เจ้าโมโหรึ”
หลิ่วอีเซิงหลุบตาลงถักเชือกต่อ “ข้ากับนางมิได้ข้องเกี่ยวกัน ข้าจะโมโหไปทำไม แต่หากเจ้าสืบเรื่องนาง เกิดความแตกขึ้นมาแล้วนางพลอยโดนหางเลขไปด้วย นางอุตส่าห์ช่วยเจ้าโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง”
หยวนถังครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า “ที่พูดมาก็ถูก” เขาทอดสายตามองฟ้า “นี่ก็เลยเวลามากแล้ว คราวนี้ข้าต้องจริงๆ แล้ว นี่ให้เจ้า”
หยวนถังล้วงตั๋วเงินออกมาสามสี่ใบแล้ววางบนโต๊ะ
หลิ่วอีเซิงพูดออกไปอย่างไม่มีเสแสร้ง “เอากลับไปเสีย”
หยวนถังรู้สึกขัดใจไม่น้อย เขาสูดลมหายใจดับอารมณ์ ก่อนจะถามเขาอย่างสงสัย “แม่หนูนั่นให้ของเจ้า เจ้าก็รับ พอข้าให้เจ้าบ้าง เจ้ากลับไม่รับ ยอมใช้ชีวิตอย่างอดอยาก แต่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากข้า ไม่อยากข้องแวะกับแคว้นเฉินถึงเพียงนั้นเชียว”
“เจ้าให้ข้าจริงหรือ” หลิ่วอีเซิงมองเขา
“ใช่!” หยวนถังตาเบิกโพลงพลางพยักหน้า
หลิ่วอีเซิงเอ่ย “ทิ้งแมวตัวนั้นไว้ อย่างอื่น เอากลับไป”
หยวนถัง “…”
สุดท้ายหยวนถังก็เก็บตั๋วเงินกลับไปจริงๆ เพราะเขารู้ว่าหากหลิ่วอีเซิงบอกว่าไม่ต้องการ นั่นก็แปลว่าต่อให้จะโยนทิ้งก็ไม่ต้องการ
ส่วนเจ้าแมวขาวนั้นเขาก็ทิ้งไว้ที่นั่น
หลังจากเขาเดินออกไปไกล หลิ่วอีเซิงถึงได้จับแมวตัวนั้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ ขณะเดียวกันสายตาก็หยุดอยู่ที่ถุงเงิน เขาสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าถุงเงินขึ้นมาแล้วเปิดออก แต่กลับพบว่าภายในไม่ได้มีเพียงอัฐเงินจำนวนหนึ่ง แต่ยังมีเครื่องประดับผมอีกสามชิ้น
ณ ตำหนักบูรพา
เซียวลิ่วหลังได้พบกับองค์รัชทายาทไท่จื่อ
ไท่จื่อจ้องมองเด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบขุนนางเฟยหลัวของจอหงวนตรงหน้า สีหน้าของเขาตกตะลึง ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่เอ่ยปากพูด
เขาลุกยืนขึ้น เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซียวลิ่วหลัง เดินวนรอบเขาหนึ่งรอบ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าหากเป็นไปได้ก็อยากจะพินิจพิจารณาเส้นผมทีละเส้นอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าสำรวจมานานเท่าใด ในที่สุดเข้าก็เรียกสติของตัวเองกลับคืนมา “เจ้า เจ้าคือจอหงวนคนใหม่ของการสอบครั้งนี้ใช่ไหม ผู้เข้าสอบแซ่เซียวผู้นั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยแววตาไม่ไหวติง
หากเทียบกับท่าทีลุกลี้ลุกลนของไท่จื่อแล้ว เขาดูสงบนิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรเสียนี่ก็มิใช่วันแรกที่เข้าเมืองหลวงมาเสียหน่อย เรื่องบางเรื่องช้าหรือเร็วก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี คืนวันนับไม่ถ้วนที่เขากระสับกระส่าย เขาเคยลองสมมติเหตุการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงไม่สะทกสะท้านมานานแล้ว
ไท่จื่อกลับมายังที่นั่งอย่างไม่เชื่อสายตา จ้องมองใบหน้าที่เหมือนกับในความทรงจำด้วยแววตาวาวโรจน์ เขาขยับปากเอ่ย “เจ้าชื่อว่าอะไร”
“เซียวลิ่วหลังพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดถึงชื่อเรียบง่ายเช่นนี้”
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ญาติผู้ใหญ่ในบ้านไม่ค่อยรู้หนังสือนัก กระหม่อมเกิดวันที่หกต้นเดือน จึงชื่อว่าลิ่วหลัง”
ไท่จื่อถามด้วยความสงสัย “เจ้าบอกว่าเจ้าเกิดวันที่หก เดือนอะไรหรือ”
เซียวลิ่วหลังตอบ “เดือนสิบเอ็ด”
“น้องชายเกิดเดือนสิบสอง…” ไท่จื่อพึมพำ นิ้วมือบีบคลึงไปมา สายตาหยุดอยู่ที่ไม้เท้าและขาของเขา “ขาเจ้าเป็นอะไรหรือ”
เซียวลิ่วหลัง “ปีสองปีก่อนได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อ “รักษาไม่หายหรือ”
เซียวลิ่วหลัง “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
อันที่จริงคนพิการก็เท่ากับว่าไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ ไท่จื่อกระแอมให้โล่งคอก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเซวียนผิงโหวหรือ”
“ไม่เกี่ยวข้องพ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ
ญาติผู้น้องของเขาไม่ใช่คนเย็นชาเช่นนี้ น้องชายเคารพเขามาก มักจะดีใจเสมอเมื่อได้พบเขา รอยยิ้มของน้อยชายนั้นแสนอบอุ่น ไม่มีเหมือนเจ้าหนุ่มคนนี้ที่แผ่รังสีเย็นชาไปทั้งตัว
แต่ใบหน้านี้ช่างเหมือนกันยิ่งนัก ได้เห็นเขาก็เหมือนราวกับเห็นน้องชายฟื้นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น ขาดเพียงอย่างเดียวก็คือไฝร่องน้ำตาใต้ดวงตาข้างขวา
ใบหน้าของไท่จื่อซีดเผือด
หวงกงกงกระซิบ “ฝ่าบาท ไม่เป็นไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ หรือจะให้…กระหม่อมพาเซียวจอหงวนออกไปก่อน วันหลังฝ่าบาทค่อยถามเขา”
ไท่จื่อยกมือปัด ส่งสัญญาณให้หวงกงกงถอยไป ก่อนจะหันไปมองเซียวลิ่วหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง “ชอบกินเกาลัดหรือไม่”
“ชอบพ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังตอบ
น้องชายไม่ชอบ
ไท่จื่อถามอีกครั้ง “กินเผ็ดหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังตอบ “กินพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อส่งสัญญาณมือเรียกข้าหลวงในวัง ข้าหลวงยกเนื้อแดดเดียวราดพริกชามหนึ่งเข้ามา
เซียวลิ่วหลังมองเนื้อแดดเดียวที่ราดพริกจนท่วม ไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะใช้เรียวนิ้วยาวดุจแท่งหยกหยิบเนื้อชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วกินลงไปอย่างอ้อยอิ่ง
ไท่จื่อมองเขาตาไม่กะพริบ ไม่มีปฏิกิริยาใดของเขารอดพ้นไปจากสายตา
น้องชายกินเผ็ดไม่ได้ เพียงแค่รสเผ็ดเพียงน้อยนิดก็เผ็ดจนอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง เนื้อแดดเดียวที่รสจัดถึงเพียงนี้คงสำลักจนหน้าดำหน้าแดงเป็นแน่
ทว่าเซียวลิ่วหลังกลับกินได้อย่างง่ายดาย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดไท่จื่อถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
เซียวลิ่วหลังออกมาจากวังหลวง
ตะวันลับขอบฟ้า วังหลวงถูกปกคลุมด้วยแสงสีส้มอบอุ่นยามสนธยา
รถม้าของหลิวเฉวียนจอดอยู่ใกล้ๆ กับวังหลวง เซียวลิ่วหลังถือไม้เท้าเดินออกมา เมื่อเขากำลังจะขึ้นรถม้าก็พบว่ากู้เจียวมานั่งรอเขาอยู่แล้ว
กู้เจียวนั่งชิดกับตัวรถ ดวงตาหลับปรือ คล้ายว่าหลับไปแล้ว ดูท่าทางสงบนิ่ง ทั้งยังดูน่าเอ็นดูไม่น้อย
สายตาของเซียวหลิวหลังกวาดมองริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางอย่างไม่รู้ตัว ลูกกระเดือกสั่นกระตุก ก่อนจะรีบเบนสายตามองไปทางอื่นแล้วขึ้นรถม้าไป
รถม้าสั่นไหวไปมา กู้เจียวจึงตื่นขึ้น นางลืมตาขึ้น พอมองเห็นเขา แววตาก็เป็นประกายขึ้นมา
“เจ้ามาแล้วหรือ”
“อืม” เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวฝั่งตรงข้ามนาง
หลิวเฉวียนสะบัดแส้ม้า ล้อรถหมุนเคลื่อนออกไป
เดิมทีตอนที่จี้จิ่วอาวุโสซื้อม้าคันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะให้สองคนนั่ง เพราะเหตุนั้นพื้นที่จึงไม่กว้างนัก ยามมีสองคนนั้นอยู่ในรถ ไม่นานลมหายของทั้งคู่ก็สอดประสานกัน
อากาศยามปลายเดือนสี่ช่างร้อนอบอ้าวนัก
เซียวลิ่วหลังคิดในใจ
“เมื่อคืน…ข้าดื่มมากไปหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น
“อืม” กู้เจียวกลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นสักเท่าไหร่
เซียวลิ่วหลังสีหน้าจริงจัง “คราวหลังจะไม่ทำเช่นนั้นอีก”
“หืม” กู้เจียวหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
เซียวลิ่วหลังไม่ได้หันไปมองแววตาของนาง แต่กลับกำมือที่วางอยู่บนหน้าขาไว้แน่น ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น “จะไม่ดื่มเยอะเช่นนั้นอีกแล้ว…ทำกับเจ้าเช่นนั้น”
“อ๋อ” กู้เจียวสีหน้าเศร้าหมอง
พอเห็นความเศร้าสร้อยมีฉายในแววตาของนาง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เซียวลิ่วหลังถึงร้อนใจขึ้นมา “แต่จะทำตอนมีสติ”
กู้เจียว “เอ๊ะ”
เซียวลิ่วหลังพูดจบ แม้แต่ตัวเองยังนิ่งงันไป เขาสาบานเลยว่าเขาไม่ตั้งใจจะพูดเช่นนั้น! เขาตั้งใจจะบอกกับนางว่า จะไม่ทำรุ่มร่ามอันใดกับนางตอนเมาอีกเป็นอันขาด แต่คำพูดที่ออกมาจากปาก ไฉนถึงกลายเป็นอีกประโยคไปได้
จะทำตอนมีสติอย่างนั้นหรือ
นี่เป็นคำพูดที่ควรพูดหรือ
ทะลึ่งตึงตังเกินดไปแล้ว นี่หรือบัณฑิตผู้คงแก่เรียน!
จู่ๆ ใบหน้าของเซียวลิ่วหลังก็แดงระเรื่อขึ้นมา อยากจะขุดรูมุดหนีให้รู้แล้วรู้รอด
“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้า…ข้าไม่ได้จะ…” สำหรับเซียวลิ่วหลังคำคำนั้นยากจะเอ่ยออกมาเสียเหลือเกิน
กู้เจียวพูดแทนเขา “ไม่ได้จะจูบ”
เซียวลิ่วหลังละล้าละลัง “อืม”
กู้เจียวครุ่นคิด พลางยกนิ้วขึ้นชนกันแล้วเอ่ยว่า “แต่จะนอนกับข้าหรือ”
“อืม…” เซียวลิ่วหลังตื่นตกใจ ก่อนจะส่ายหน้ารัว “ไม่ใช่!”